พลังแห่งชาติคือ พลังกลุ่มมวลชนที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กลุ่มพลังทางการเมืองที่ก้าวหน้าสูงสุดของชาติ เช่น กลุ่มชนโหวตโน ที่ไม่เอาเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน กลุ่มชนที่เชิดชูธรรมเป็นใหญ่คือธรรมาธิปไตย กลุ่มชนยินดีในเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น
นับแต่รัฐบาล “ปู” เข้าบริหารประเทศร่วม 4 เดือน เป็นไปอย่างทุลักทุเล หากในมุมมองส่วนตัว อาจจะมีเพื่อนพ้องญาติมิตรเห็นใจรัฐบาลปู ซึ่งกลายเป็นรัฐบาล “ปูนิ่ม” นิ่มด้วยปัญญา นิ่มในการบริหาร นิ่มในประสิทธิภาพ ฯลฯ
หากมองในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน รัฐบาลปูเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอที่สุด คนในรัฐบาลทำงานไม่เป็น คิดไม่เป็นวันๆ ไม่รู้จะทำอะไรก่อน ทำอะไรหลัง คิดป้องกันไม่เป็น นั่งตบยุงไปวันๆ รอให้ปัญหามาอยู่ตรงหน้าขณะเดียวกันฝ่ายที่มีช่องทางโกงได้ก็โกง ร่วมกันโกงสมบัติของประชาชนไปเป็นของตัว เช่น ทรัพย์สินบริจาคน้ำท่วม เป็นต้น
เคยกล่าวไว้เสมอว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ “ร้อยมาร์ค พันปู” ก็บริหารประเทศไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการ ระบอบเผด็จการหมายถึง ระบอบการเมืองที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมของของชาติ มีแต่เพียงวิธีการปกครอง เช่น รัฐธรรมนูญ ระบบรัฐสภา การเลือกตั้ง (แบบซื้อเอา) แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย นี่คือความเห็นผิดอย่างใหญ่หลวง นี่คือเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติของทุกคนคนไทย นี่คือวิธีคิดของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ อันเป็นแนวความคิดของผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียวที่ใช้เงิน เงิน เงิน เป็นใบเบิกทางเข้ายึดอำนาจทางการเมือง เพื่ออำนาจทางเศรษฐกิจ และเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ชาติมาเป็นของตนและพวกพ้อง
สภาพความเป็นจริงของประเทศไทยเป็นสัมพันธภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ยังคงรักษาสัมพันธภาพของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ โดยแนวคิดลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญที่ยึดเอารัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คือยึดเอากฎหมายไปสร้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ผิดพลาดทำลายชาติมาแล้วอย่างซ้ำซาก แนวคิดเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ จะทำซ้ำๆ สัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะมันเป็นขบวนการที่คิดผิด ทำผิด เปรียบได้ดังไข่ที่ไม่มีไข่แดง มีแต่ไข่ขาว
ไข่แดงคือหลักการปกครองฯ หลักการปกครองเป็นเช่นไร ระบอบฯ ก็เป็นเช่นนั้น ส่วนไข่ขาวก็คือรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายอันเป็นวิธีการปกครองมีเพียงรัฐธรรมนูญ แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อกันยกใหญ่ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย มีคำพูดว่า “พิษร้ายของระบอบประชาธิปไตย” ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันเป็น “พิษร้ายของระบอบเผด็จการ” หากไม่พิจารณาอย่างลึกซึ้งเห็นเหตุที่แท้จริง การพูดโจมตีว่าเป็น “พิษร้ายของระบอบประชาธิปไตย” ก็กลายเป็นว่า
1) ยอมรับว่าการเมืองปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยแล้วแต่ผู้ปกครองมันสาระเลว 2) พูดแล้วกลับกลายเป็นการเพิ่มกำลังให้กับฝ่ายแนวร่วมพรรคคอมฯ โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม โฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายคอมมิวนิสต์เขาก็บอกว่า “ระบอบประชาธิปไตยมันเลวมันเป็นของนายทุนเพื่อนายทุน” ทั้งๆ แท้จริงมันเป็นระบอบเผด็จการยังไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นเลย “ในขวดมันเป็นน้ำสุรา แล้วบอกว่านี่คือน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ” แล้วก็มีคนพูดว่า “พิษร้ายของน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ ยิ่งดื่มยิ่งแย่” แท้ที่จริงมันเป็นน้ำสุรา
คนที่จะได้ประโยชน์จากระบอบเผด็จการเต็มๆ คือ พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลเท่านั้น มันจึงกลายเป็นว่า “สมบัติผลัดกันกอบโกยผลประโยชน์แห่งชาติไปเป็นของพรรครัฐบาลนั้นๆ” ภาพที่ปรากฏจะเห็นได้ว่า รัฐบาลไหนๆ ก็โกง รัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งแท้จริงมันก็เป็นปลวกกัดกินบ้านเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล บอกเป็นสัตว์นรก มันปรากฏเช่นนั้นจริงๆ มีผู้เห็นด้วยมากมาย
จากสภาพที่แท้จริง “มันเป็นระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ” เป็นระบอบที่ไม่มีไข่แดง คือไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมของปวงชน อันเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของปวงชนในชาติ พูดง่ายๆ ไม่มีเสาหลักหรือร่มธงการเมืองโดยธรรมของปวงชนในชาติที่จะให้ยึดโยงอาศัยได้ จึงไม่มีหลักความมั่นคงแห่งชาติของปวงชน ประชาชนจึงไปแอบอิงอยู่ใต้ร่มธงเน่าๆ ของนักการเมือง อันเป็นร่มธงนรก หาแก่นสารไม่ได้ จึงเห็นชัดว่าประชาชนบางส่วนแยกไปอยู่ใต้ร่มธงเน่าๆ ของทักษิณบ้าง ของพรรคประชาธิปัตย์บ้าง ของเสือเตี้ยบรรหารบ้าง ฯลฯ เพราะได้ประโยชน์ตอบแทนบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่รู้เท่าทันบ้าง เพราะกระแสโฆษณาชวนเชื่อบ้าง เป็นต้น
นอกจากนี้ประชาชนยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นเลวๆ ทั่วประเทศอีกมาก อาทิ สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกเทศบาล อบต. เป็นต้น ต้องช่วยกันเปิดโปงระบอบเผด็จการอันเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวง
ดังกล่าวนี้ประชาชนไทยจึงแตกแยกกันไปคนละทิศละทางตามความเชื่อลมปากของนักการเมืองชั่วๆ ที่หวังแต่ประโยชน์ตน แต่ประเทศชาติต้องล่มจมเพราะนักธุรกิจการเมืองเพียงไม่กี่คน ใช้เงินหว่านว่าจ้างสร้างความชอบธรรม แล้วก็เป็นกันไปหมดทุกวงการสูงสุดยันต่ำสุดทั้งนักการเมือง ข้าราชการวงการสงฆ์ก็ไม่เว้น เหลวแหลกเละเทะกันไปหมด
ระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญเป็นเหตุร้าย เป็นมารร้ายของแผ่นดิน ดังนั้น เราจำเป็นต้อง “โยนิโสมนสิการ” คือคิดพิจารณาอย่างไตร่ตรองสืบสาวไปหาเหตุของมัน แหล่งกำเนิดของมัน หากยังแก้ไขเหตุแห่งมารร้ายไม่ได้ เราจะเจอกับพิษทักษิณ พิษมาร์ค พิษปู พิษ... อย่างไม่รู้จบสิ้น
พลังแห่งชาติ อันเป็นพลังแห่งแผ่นดินอันบริสุทธิ์ นอกจากจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “ปูนิ่ม” แล้ว ยังจะต้องไม่ไว้วางใจระบอบเผด็จการอันเป็นเหตุร้ายทั้งปวงของแผ่นดินด้วย “ไล่ “ปู” ยกขึ้นสู่ไล่ระบอบเผด็จการ”
นับแต่รัฐบาล “ปู” เข้าบริหารประเทศร่วม 4 เดือน เป็นไปอย่างทุลักทุเล หากในมุมมองส่วนตัว อาจจะมีเพื่อนพ้องญาติมิตรเห็นใจรัฐบาลปู ซึ่งกลายเป็นรัฐบาล “ปูนิ่ม” นิ่มด้วยปัญญา นิ่มในการบริหาร นิ่มในประสิทธิภาพ ฯลฯ
หากมองในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน รัฐบาลปูเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอที่สุด คนในรัฐบาลทำงานไม่เป็น คิดไม่เป็นวันๆ ไม่รู้จะทำอะไรก่อน ทำอะไรหลัง คิดป้องกันไม่เป็น นั่งตบยุงไปวันๆ รอให้ปัญหามาอยู่ตรงหน้าขณะเดียวกันฝ่ายที่มีช่องทางโกงได้ก็โกง ร่วมกันโกงสมบัติของประชาชนไปเป็นของตัว เช่น ทรัพย์สินบริจาคน้ำท่วม เป็นต้น
เคยกล่าวไว้เสมอว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ “ร้อยมาร์ค พันปู” ก็บริหารประเทศไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการ ระบอบเผด็จการหมายถึง ระบอบการเมืองที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมของของชาติ มีแต่เพียงวิธีการปกครอง เช่น รัฐธรรมนูญ ระบบรัฐสภา การเลือกตั้ง (แบบซื้อเอา) แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย นี่คือความเห็นผิดอย่างใหญ่หลวง นี่คือเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติของทุกคนคนไทย นี่คือวิธีคิดของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ อันเป็นแนวความคิดของผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียวที่ใช้เงิน เงิน เงิน เป็นใบเบิกทางเข้ายึดอำนาจทางการเมือง เพื่ออำนาจทางเศรษฐกิจ และเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ชาติมาเป็นของตนและพวกพ้อง
สภาพความเป็นจริงของประเทศไทยเป็นสัมพันธภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ยังคงรักษาสัมพันธภาพของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ โดยแนวคิดลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญที่ยึดเอารัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คือยึดเอากฎหมายไปสร้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ผิดพลาดทำลายชาติมาแล้วอย่างซ้ำซาก แนวคิดเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ จะทำซ้ำๆ สัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะมันเป็นขบวนการที่คิดผิด ทำผิด เปรียบได้ดังไข่ที่ไม่มีไข่แดง มีแต่ไข่ขาว
ไข่แดงคือหลักการปกครองฯ หลักการปกครองเป็นเช่นไร ระบอบฯ ก็เป็นเช่นนั้น ส่วนไข่ขาวก็คือรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายอันเป็นวิธีการปกครองมีเพียงรัฐธรรมนูญ แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อกันยกใหญ่ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย มีคำพูดว่า “พิษร้ายของระบอบประชาธิปไตย” ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันเป็น “พิษร้ายของระบอบเผด็จการ” หากไม่พิจารณาอย่างลึกซึ้งเห็นเหตุที่แท้จริง การพูดโจมตีว่าเป็น “พิษร้ายของระบอบประชาธิปไตย” ก็กลายเป็นว่า
1) ยอมรับว่าการเมืองปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยแล้วแต่ผู้ปกครองมันสาระเลว 2) พูดแล้วกลับกลายเป็นการเพิ่มกำลังให้กับฝ่ายแนวร่วมพรรคคอมฯ โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม โฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายคอมมิวนิสต์เขาก็บอกว่า “ระบอบประชาธิปไตยมันเลวมันเป็นของนายทุนเพื่อนายทุน” ทั้งๆ แท้จริงมันเป็นระบอบเผด็จการยังไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นเลย “ในขวดมันเป็นน้ำสุรา แล้วบอกว่านี่คือน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ” แล้วก็มีคนพูดว่า “พิษร้ายของน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ ยิ่งดื่มยิ่งแย่” แท้ที่จริงมันเป็นน้ำสุรา
คนที่จะได้ประโยชน์จากระบอบเผด็จการเต็มๆ คือ พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลเท่านั้น มันจึงกลายเป็นว่า “สมบัติผลัดกันกอบโกยผลประโยชน์แห่งชาติไปเป็นของพรรครัฐบาลนั้นๆ” ภาพที่ปรากฏจะเห็นได้ว่า รัฐบาลไหนๆ ก็โกง รัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งแท้จริงมันก็เป็นปลวกกัดกินบ้านเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล บอกเป็นสัตว์นรก มันปรากฏเช่นนั้นจริงๆ มีผู้เห็นด้วยมากมาย
จากสภาพที่แท้จริง “มันเป็นระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ” เป็นระบอบที่ไม่มีไข่แดง คือไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมของปวงชน อันเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของปวงชนในชาติ พูดง่ายๆ ไม่มีเสาหลักหรือร่มธงการเมืองโดยธรรมของปวงชนในชาติที่จะให้ยึดโยงอาศัยได้ จึงไม่มีหลักความมั่นคงแห่งชาติของปวงชน ประชาชนจึงไปแอบอิงอยู่ใต้ร่มธงเน่าๆ ของนักการเมือง อันเป็นร่มธงนรก หาแก่นสารไม่ได้ จึงเห็นชัดว่าประชาชนบางส่วนแยกไปอยู่ใต้ร่มธงเน่าๆ ของทักษิณบ้าง ของพรรคประชาธิปัตย์บ้าง ของเสือเตี้ยบรรหารบ้าง ฯลฯ เพราะได้ประโยชน์ตอบแทนบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่รู้เท่าทันบ้าง เพราะกระแสโฆษณาชวนเชื่อบ้าง เป็นต้น
นอกจากนี้ประชาชนยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นเลวๆ ทั่วประเทศอีกมาก อาทิ สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกเทศบาล อบต. เป็นต้น ต้องช่วยกันเปิดโปงระบอบเผด็จการอันเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวง
ดังกล่าวนี้ประชาชนไทยจึงแตกแยกกันไปคนละทิศละทางตามความเชื่อลมปากของนักการเมืองชั่วๆ ที่หวังแต่ประโยชน์ตน แต่ประเทศชาติต้องล่มจมเพราะนักธุรกิจการเมืองเพียงไม่กี่คน ใช้เงินหว่านว่าจ้างสร้างความชอบธรรม แล้วก็เป็นกันไปหมดทุกวงการสูงสุดยันต่ำสุดทั้งนักการเมือง ข้าราชการวงการสงฆ์ก็ไม่เว้น เหลวแหลกเละเทะกันไปหมด
ระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญเป็นเหตุร้าย เป็นมารร้ายของแผ่นดิน ดังนั้น เราจำเป็นต้อง “โยนิโสมนสิการ” คือคิดพิจารณาอย่างไตร่ตรองสืบสาวไปหาเหตุของมัน แหล่งกำเนิดของมัน หากยังแก้ไขเหตุแห่งมารร้ายไม่ได้ เราจะเจอกับพิษทักษิณ พิษมาร์ค พิษปู พิษ... อย่างไม่รู้จบสิ้น
พลังแห่งชาติ อันเป็นพลังแห่งแผ่นดินอันบริสุทธิ์ นอกจากจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “ปูนิ่ม” แล้ว ยังจะต้องไม่ไว้วางใจระบอบเผด็จการอันเป็นเหตุร้ายทั้งปวงของแผ่นดินด้วย “ไล่ “ปู” ยกขึ้นสู่ไล่ระบอบเผด็จการ”