สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
อย่าปฏิเสธ..แต่..ก็อย่าหลงงมงาย..กับ..อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์..ที่มีอยู่จริง!!!
“สยามประเทศ”ในอดีตหรือ“ประเทศไทย”ในปัจจุบัน เต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหลือคณานัป อีกทั้งยังมากมายด้วยเกจิอาจารย์ผู้ทรงฤทธิ์ และเกจิอาจารย์ผู้มากทั้งอิทธิปาฏิหาริย์และพระธรรม ที่เจริญตามรอย“พระพุทธเจ้า”สู่นิพพาน
ต้องยอมรับตรงนี้ก่อนว่า ฤาษี-ชี-พราหมณ์-นักบวชลัทธิเชนและลัทธิต่างๆ หากฝึกจิตจนถึงขั้นอภิญญา 6 ได้ เขาเหล่านั้นย่อมแสดงฤทธิ์ได้ไม่มากก็น้อย อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จึงมีมาแต่โบราณกาล หรือเกิดก่อนพุทธกาล
ในปัญจวัคคีย์หรือพราหมณ์ทั้ง 5 ที่ได้เฝ้าฟังธรรมครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงมคธ เมืองพาราณสี พราหมณ์หนุ่มที่สุดชื่ออัญญาโกณฑัญญะ ได้ทำนายพระพุทธเจ้าแบบฟันธงว่า
“ต้องออกบวชและจะได้เป็นพระพุทธเจ้า”
พระพุทธเจ้าเองยังเคยทำนายบางเรื่องด้วยพระองค์เอง ดังทำนายนักบวชนอกศาสนาผู้หนึ่งว่า..จะตายใน 7 วัน แล้วนักบวชผู้นั้น..ก็ตายจริงๆ
พระพุทธเจ้ามิได้ปฏิเสธเรื่องอิทธิฤทธิ์ว่ามีจริง และพระองค์ยังเคยแสดงยมกปาฏิหาริย์ด้วยตัวพระองค์เองหลายครั้ง เพื่อให้เดียรถีย์หรือนักบวช(ลัทธินอกศาสนา)เห็น จนส่งผลให้เดียรถีย์ส่วนหนึ่งเปลี่ยนใจมานับถือพุทธศาสนา
นอกจากนั้นพระพุทธเจ้ายังเคยให้ พระโมกคัลลานะแสดงปาฎิหาริย์ให้เห็นว่า ไม่เพียงศาสดาเท่านั้นที่ทำได้ แต่สาวกที่ฝึกจิตถึงขั้นแสดงปาฏิหาริย์ได้..ก็มีนะ
ในพระไตรปิฎกอธิบายคำว่า ฤทธิ์(คือความสำเร็จ) แสดงฤทธิ์ 10 อย่าง คือ
1.ฤทธิ์เกิดจากการอธิษฐาน 2.ฤทธิ์เกิดจากการบันดาล 3.ฤทธิ์เกิดจากใจ 4.ฤทธิ์เกิดจากการแผ่ญาณ 5.ฤทธิ์เกิดจากการแผ่สมาธิ 6.ฤทธิ์อันเป็นอริยะ 7.ฤทธิ์เกิดจากผลกรรม 8.ฤทธิ์ของผู้มีบุญ 9.ฤทธิ์เกิดจากวิชชา 10.ฤทธิ์มีการประกอบถูกส่วนเป็นปัจจัย
หากแต่พระพุทธเจ้าทรงสอนสั่งว่า อย่ายึด-อย่างมงาย-อย่าเสียเวลาอยู่แค่โลกอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เพราะนั่นเป็นหนทางแห่งโลกียะ..มิใช่หนทางโลกุตระ หรือหนทางแห่งการหลุดพ้น
ในหนังสือพระไตรปิฎก ภาค 4 ความย่อแห่งพระไตรปิฎก เล่ม 9 ใน11 เกวัฎฎสูตร สูตรว่าด้วยการแสดงธรรมแก่บุตรคฤหบดีชื่อเกวัฎฎะ เล่าว่า
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่ามะม่วงของปาวาริกะ ใกล้เมืองนาฬันทา ณ ที่นั้น บุตรคฤหบดีชื่อเกวัฎฎะเข้าไปเฝ้า ขอให้ทรงชวนภิกษุผู้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้-ให้แสดง ก็จะมีคนเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคยิ่งขึ้น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระองค์มิได้แสดงธรรมว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านจงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่คฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาว
แม้ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 บุตรคฤหบดีชื่อเกวัฎฎะ ก็ยืนยันจะให้ทรงชวนภิกษุผู้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้-ให้แสดง
พระผู้มีพระภาคจึงทรงชี้แจงว่า ปาฏิหาริย์ที่ทรงทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง ด้วยพระองค์เองและประกาศแล้ว มีอยู่ 3 อย่าง คือ
1.อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ 2. อาเทศนาปาฏิหาริย์ ดักทายใจได้เป็นอัศจรรย์ 3. อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ สั่งสอน(มีเหตุผลดี)เป็นอัศจรรย์
พระพุทธเจ้าทรงเลือกใช้หนทางที่ 3 เนื่องจากไม่มีอะไรดีไปกว่า“มีเหตุผลดี” เพราะทำให้“รู้ถึงต้นเหตุแห่งทุกข์”และ“รู้แจ้งในหนทางพ้นทุกข์” นั่นคือปัญญาแห่งพุทธปรัชญาอันลึกซึ้งของพระพุทธองค์
พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ภิกษุ ยึดติดหรืองมงายในฤทธิ์ หรือสนุกกับการสำแดงอิทธิฤทธิ์ เพื่อให้ผู้คนสรรเสริญด้วยหวังในลาภสักการะ ซึ่งมิใช่หนทางหลุดพ้นทั้งผู้ชอบชมและผู้ชอบสำแดงอิทธิฤทธิ์
พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง แต่ทรงสอนบางอย่างตามอัธยาศรัยผู้ฟัง หรือทรงสอนในสิ่งที่ต้องสอน หรือให้รู้ในสิ่งที่ควรรู้ มิใช่รู้เลอะเทอะจนไปปิดหนทางหลุดพ้น จึงมีคนถามว่า..สิ่งที่สอนกับสิ่งที่รู้อันไหนมากกว่ากัน?
พระพุทธเจ้าก็กำทรายขึ้นมา 1 กำมือ..แล้วถามว่า ทรายในกำมือกับทรายในแม่น้ำอันไหนมากกว่ากัน ทรายในกำมือน้อยกว่าทรายในแม่น้ำใช่ไหม? สิ่งที่เราสอนเท่ากับทรายในกำมือ สิ่งที่เราไม่สอนเท่ากับทรายในแม่น้ำ
พระพุทธเจ้ายังสอนให้รู้ในเรื่องควรรู้ เพราะรู้มากแต่เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ ก็เหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค ซึ่งได้แต่นับจำนวนโค แต่ไม่ได้ประโยชน์จากโค เนื้อก็ไม่ได้กิน นมก็ไม่ได้ดื่ม
ทุกยุคสมัยของเมืองพุทธนามว่า“ไทย” จึงมิเคยขาดซึ่งพระเถระที่มากทั้งอิทธิปาฎิหาริย์ และเปี่ยมด้วยคำสอนแห่งพุทธศาสนา ให้ชนชาวไทยได้เคารพบูชาไม่เคยสิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม..ยุคดิจิตอลนี้ เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ทุกคนจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะมีทั้งของจริงให้เห็นหรือจับต้องได้ ในขณะเดียวกันก็มีของปลอมสร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อมุ่งแสวงหาซึ่งลาภ-ยศ-เงินทอง ฯลฯ
โหราจารย์ก็มีทั้งจริงและปลอม และไม่มีโหราจารย์ใดในใต้หล้า ที่ทำนายถูก 100% ทุกเรื่อง ต้องประเมินจากรูปธรรมว่า..ถูกมากกว่าผิดหรือผิดมากกว่าถูก
สมัย พล.อ.สุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกฯ“เสียสัตย์อย่าเสียชีพ” “สุจินดา”มีทหารหนุนหลังทั้งกองทัพ โหราจารย์ทั้งจริงและปลอมส่วนใหญ่ ล้วนทำนายว่า
รัฐบาล“สุจินดา”จะอยู่ในอำนาจนับสิบปี แต่ด้วยความไม่ชอบธรรมในการขึ้นสู่อำนาจ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จึงนำประชาชนออกมาขับไล่ แค่ 40 กว่าวัน..รัฐบาล“สุจินดา”ก็ล้มครืน งานนี้ทำเอาโหราจารย์ทั้งจริงและปลอม“ตายหมู่”ครับ
เอาล่ะ..ร่ายยาวเพียงเพื่อจะบอกว่า ผู้เขียนมิได้งมงายและไม่เคยให้โหราจารย์ใดดูดวงชะตา แต่เคยเป็นร่างทรงอยู่หลายปีจนกระทั่งได้อ่านคำสอนของท่าน“พุทธทาส” อันเป็นวิทยาศาสตร์แห่งพุทธที่เข้าใจง่าย จึงได้ยุติหนทางแห่งการเข้าทรงลง
เรื่อง“พระสงฆ์รูปนั้น”เกิดขึ้น คราครั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นปฐมเหตุ
ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผมได้รู้จัก“พระสงฆ์รูปหนึ่ง” ซึ่งผมไม่รู้ประวัติของท่านแม้แต่น้อย รู้เพียงว่า..ท่านเป็นโหราจารย์ที่ร่ำลือกันว่า ทำนายชะตาชีวิตผู้คน และดวงบ้านเมืองล่วงหน้าแม่นราวตาเห็น
ผมไม่ได้มาเพื่อให้“พระสงฆ์รูปนั้น”ดูดวงชะตาใดๆ เลยหากแต่มีงานที่ต้องประสานกันอย่างไกล้ชิด จึงทำให้ผมได้รับรู้ถึงคำพยากรณ์ล่วงหน้า ทั้งของผู้คนที่มีชื่อเสียงและของบ้านเมืองโดยปริยาย
กลางปี 2539 ผมได้พา พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ไปพบปะพูดคุยกับ“พระสงฆ์รูปนั้น” และได้มีการกล่าว(ทำนาย)เตือน“น้าชาติ”ว่า
“ท่านนายกฯ ชาติชาย..ปลายปีนี้จะป่วยหนักนะ แต่ป่วยจะผ่านพ้นไปได้ แต่อีก 2 ปีข้างหน้า(2541) ราวเดือนเมษายนจะป่วยหนักอีกครั้ง ครั้งนี้..ให้ระวังมากๆ..ดีไม่ดีอาจถึงแก่ชีวิตในต่างแดน”
นั่นเป็นคำพยากรณ์สั้นๆ..แต่ทำให้ผมถูก“น้าชาติ”ตำหนิอย่างหนักว่า..
“พระรูปนี้..ทำนายผมได้ไงว่าจะป่วยหนัก ผมเพิ่งให้หมอตรวจสุขภาพมา ร่างกายผมแข็งแรงมาก ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติเลย..”
ทว่า..ไม่นาน..ทุกอย่างก็เริ่มเป็นจริงตามคำทำนายธันวาคม 2539 ได้มีการตรวจร่างกายอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 อย่างเงียบๆโดยนายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ก่อนจะพบว่า“น้าชาติ”ได้เป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่แล้ว
การรักษาโรคร้ายเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ต้องเป็นความลับสุดยอดอีกด้วย แพทย์ได้นัดหมายให้“น้าชาติ” เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาฯ..โดยผมในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัว“น้าชาติ”ไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
ทว่า..ได้เกิดปัญหาที่คาดไม่ถึงขึ้น เพราะได้มีหมายกำหนดการให้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวันเดียวกันกับที่แพทย์นัดหมาย
แน่นอน..สำหรับอดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตนายทหารแห่งกองทัพไทย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่จงรักภักดีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และราชวงศ์จักรี ยิ่งชีวิต ความเจ็บปวดจากมะเร็งร้ายจึงไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เพราะการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดเหนือชีวิต และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงในใต้หล้า!
เรื่องน่าทึ่งมากมาย..เกิดขึ้นหลัง พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งต้องอ่านต่อตอนหน้าครับ