สอง-สามเดือนที่ผ่านมา ประชาชนในหลายจังหวัดเผชิญกับอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 60 ปี ทั้งที่เสียชีวิต ทั้งหมดเนื้อหมดตัว บ้านเรือน เรือกสวนไร่นาสาจมอยู่ใต้น้ำ นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่ง ถูกกระแสน้ำถล่มเสียหายยับเยินนับแสนล้านบาท ประชาชนต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัยไปอยู่กับญาติพี่น้องบ้าง สถานที่ที่ทางราชการจัดให้บ้างนับหมื่นนับแสนคน
แต่รัฐบาลกลับเพลิดเพลินกับการแสวงหาประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชนอย่างไร้ยางอายที่สุด
นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายถึงกรณีการจัดซื้อถุงยังชีพจากเงินบริจาคของประชาชนและภาคเอกชนผ่านศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดยมีการจัดซื้อถุงยังชีพ 1 แสนชุดเป็นสิ่งของอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นเงิน 135,877,500 บาท เป็นการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใส
นายวิลาศตั้งข้อสังเกตว่า 2 บริษัทเสนอราคาเดียวกันทุกรายการ แม้กระทั่งเศษสตางค์ก็ตรงกันเป๊ะ
นอกจากนี้นายวิลาศยังเปิดเผยถึงการซื้อเรือไฟเบอร์กลาสขนาด 5,400 คูณ 2,400 คูณ 580 ทั้งหมด 30 ลำๆ ละ 2.5 แสนบาท หจก.พูนเจริญพาณิชย์ เป็นผู้เสนอขาย เป็นบริษัทเดียวกับที่เคยขายถุงยังชีพ 6 หมื่นถุง
นายวิลาศกล่าวว่าแม้กระทั่งรองอธิบดี อธิบดีก็ไม่กล้าเซ็น ต้องให้ข้าราชการ ระดับหัวหน้าสำนักงานเซ็น
ก่อนที่นายวิลาศจะเปิดเผยเรื่องนี้มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้แล้วถึงความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อถุงยังชีพถุงละ 300 บาท 500 บาท 800 บาท แล้วมีข่าวว่าได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ พบว่า ไม่มีการทุจริตแต่อย่างใด เป็นการแถลงโดยที่ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงได้ฟังแล้วก็ไม่เชื่อน้ำหน้าคนแถลง เพราะไม่มีรายละเอียด ไม่มีหลักฐานยืนยัน เพราะไม่รู้ว่าถุงยังชีพ 300 บาท 500 บาท 800 บาทแจกไปที่ไหน ใครได้รับ ภายในถุงที่ว่านั้นมีอะไรอยู่บ้าง ไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมตรงนี้แจกถุง 300 บาท 500 บาทหรือ 800 บาท
เริ่มตั้งแต่มี ศปภ.ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่เชื่อขี้หน้า ไม่เชื่อในฝีไม้ลายมือ ไม่เชื่อในความซื่อสัตย์สุจริตอยู่แล้ว
ความไม่ซื่อสัตย์นั้นเห็นกันตั้งแต่เอาของที่ประชาชนทั้งหลายบริจาคเปลี่ยนมาใส่ชื่อคนนั้นคนนี้ ในพรรคพวกรัฐบาลเพื่อที่จะได้หน้าได้ตาได้ชื่อเสียงว่า ห่วงใยความทุกข์ยากของประชาชน โดยที่ตัวเองไม่ต้องควักเงินสักบาทเดียว หากเอาของที่บริจาคไปใส่ในถุงของตัว รถของตัวแล้วก็ให้คนของตัวไปแจก นั่นก็หน้าด้านพออยู่แล้ว
หน้าด้านหนักเข้าไปอีกก็ตรงเลือกแจกให้แต่เฉพาะที่เป็นฐานเสียงของตัว หรือหวังว่าจะทำคะแนนให้ตัว ทั้งที่ประชาชนที่เขาบริจาคข้าวของนั้น เขาบริจาคก็เพื่อที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยที่ไม่เลือกว่าจะเป็นใคร นิยมชมชอบพรรคไหน สนับสนุนใคร คนที่เขาบริจาคเขาเพียงแต่เห็นความทุกข์ของพี่น้องร่วมชาติ ของเพื่อนมนุษย์ แต่นักการเมืองเลว นักการเมืองชั่วกลับเอาของบริจาคไปแสวงหาประโยชน์ให้กับพรรคพวกเพื่อนพ้องของมัน
นอกจากนักการเมืองเลวแล้ว ยังมีหน่วยงานหนึ่งที่อาศัยช่วงชุลมุนผลาญงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน นั่นก็คือ อาศัยช่วงที่ประชาชนประสบอุทกภัยจะต้องช่วยเหลือประชาชนในด้านพลังงาน ก็เลยเสนอโครงการขยายท่อน้ำมันไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการดังกล่าวนี้ใช้เงินงบประมาณ 15,000 ล้านบาทให้กรมธุรกิจพลังงานรับผิดชอบ ตัวบุคคลที่รับผิดชอบโครงการนี้คือ นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ยังมีอีก มีโครงการขยายกำลังการเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงสำรอง โครงการที่ว่านี้ใช้งบประมาณ 35,000 ล้านบาทให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบ มีนายพูนทรัพย์ สกุณี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงานรับผิดชอบ
การเกิดอุทกภัยนั้น เราคาดการณ์ไม่ได้ว่าปีหน้า ปีโน้น ปีนู้นจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ การเตรียมการไว้เป็นเรื่องดี ไม่ว่าจะเป็นการขยายท่อน้ำมันไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งการมีคลังน้ำมันไว้ที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แต่การขยายท่อส่งน้ำมันหรือการมีคลังน้ำมันที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจะต้องใช้งบประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเป็นเรื่องที่ ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจะต้องลงทุนเองมิใช่หรือ ทำไมจะต้องมาเอางบประมาณซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศไปจ่ายแทน ปตท.
จริงอยู่ ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนมีรัฐบาลหรือกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ ก็ถืออยู่ 51 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือไปจากนั้น 49 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นเรื่องที่นักการเมืองชั่วเอาไปแจก เอาไปขายกันก่อนที่ ปตท.จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิดมิใช่หรือ
ถ้าหากเอาเงิน 5 หมื่นล้านไปเอื้อประโยชน์ให้กับ ปตท.ในการลงทุนสร้างท่อส่งน้ำมัน สร้างคลังน้ำมันที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เท่ากับว่า รัฐบาลนี้อาศัยช่วงที่ประชาชนประสบอุทกภัย ประชาชนเดือดร้อนงุบงิบงบประมาณไปแสวงหาประโยชน์กันอีกทางหนึ่ง
เท่าที่ผลาญมาแล้วยังไม่สนุก จะผลาญกันให้สนุกอีกอย่างนั้นหรือ?
แต่รัฐบาลกลับเพลิดเพลินกับการแสวงหาประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชนอย่างไร้ยางอายที่สุด
นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายถึงกรณีการจัดซื้อถุงยังชีพจากเงินบริจาคของประชาชนและภาคเอกชนผ่านศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดยมีการจัดซื้อถุงยังชีพ 1 แสนชุดเป็นสิ่งของอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นเงิน 135,877,500 บาท เป็นการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใส
นายวิลาศตั้งข้อสังเกตว่า 2 บริษัทเสนอราคาเดียวกันทุกรายการ แม้กระทั่งเศษสตางค์ก็ตรงกันเป๊ะ
นอกจากนี้นายวิลาศยังเปิดเผยถึงการซื้อเรือไฟเบอร์กลาสขนาด 5,400 คูณ 2,400 คูณ 580 ทั้งหมด 30 ลำๆ ละ 2.5 แสนบาท หจก.พูนเจริญพาณิชย์ เป็นผู้เสนอขาย เป็นบริษัทเดียวกับที่เคยขายถุงยังชีพ 6 หมื่นถุง
นายวิลาศกล่าวว่าแม้กระทั่งรองอธิบดี อธิบดีก็ไม่กล้าเซ็น ต้องให้ข้าราชการ ระดับหัวหน้าสำนักงานเซ็น
ก่อนที่นายวิลาศจะเปิดเผยเรื่องนี้มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้แล้วถึงความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อถุงยังชีพถุงละ 300 บาท 500 บาท 800 บาท แล้วมีข่าวว่าได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ พบว่า ไม่มีการทุจริตแต่อย่างใด เป็นการแถลงโดยที่ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงได้ฟังแล้วก็ไม่เชื่อน้ำหน้าคนแถลง เพราะไม่มีรายละเอียด ไม่มีหลักฐานยืนยัน เพราะไม่รู้ว่าถุงยังชีพ 300 บาท 500 บาท 800 บาทแจกไปที่ไหน ใครได้รับ ภายในถุงที่ว่านั้นมีอะไรอยู่บ้าง ไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมตรงนี้แจกถุง 300 บาท 500 บาทหรือ 800 บาท
เริ่มตั้งแต่มี ศปภ.ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่เชื่อขี้หน้า ไม่เชื่อในฝีไม้ลายมือ ไม่เชื่อในความซื่อสัตย์สุจริตอยู่แล้ว
ความไม่ซื่อสัตย์นั้นเห็นกันตั้งแต่เอาของที่ประชาชนทั้งหลายบริจาคเปลี่ยนมาใส่ชื่อคนนั้นคนนี้ ในพรรคพวกรัฐบาลเพื่อที่จะได้หน้าได้ตาได้ชื่อเสียงว่า ห่วงใยความทุกข์ยากของประชาชน โดยที่ตัวเองไม่ต้องควักเงินสักบาทเดียว หากเอาของที่บริจาคไปใส่ในถุงของตัว รถของตัวแล้วก็ให้คนของตัวไปแจก นั่นก็หน้าด้านพออยู่แล้ว
หน้าด้านหนักเข้าไปอีกก็ตรงเลือกแจกให้แต่เฉพาะที่เป็นฐานเสียงของตัว หรือหวังว่าจะทำคะแนนให้ตัว ทั้งที่ประชาชนที่เขาบริจาคข้าวของนั้น เขาบริจาคก็เพื่อที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยที่ไม่เลือกว่าจะเป็นใคร นิยมชมชอบพรรคไหน สนับสนุนใคร คนที่เขาบริจาคเขาเพียงแต่เห็นความทุกข์ของพี่น้องร่วมชาติ ของเพื่อนมนุษย์ แต่นักการเมืองเลว นักการเมืองชั่วกลับเอาของบริจาคไปแสวงหาประโยชน์ให้กับพรรคพวกเพื่อนพ้องของมัน
นอกจากนักการเมืองเลวแล้ว ยังมีหน่วยงานหนึ่งที่อาศัยช่วงชุลมุนผลาญงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน นั่นก็คือ อาศัยช่วงที่ประชาชนประสบอุทกภัยจะต้องช่วยเหลือประชาชนในด้านพลังงาน ก็เลยเสนอโครงการขยายท่อน้ำมันไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการดังกล่าวนี้ใช้เงินงบประมาณ 15,000 ล้านบาทให้กรมธุรกิจพลังงานรับผิดชอบ ตัวบุคคลที่รับผิดชอบโครงการนี้คือ นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
ยังมีอีก มีโครงการขยายกำลังการเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงสำรอง โครงการที่ว่านี้ใช้งบประมาณ 35,000 ล้านบาทให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบ มีนายพูนทรัพย์ สกุณี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงานรับผิดชอบ
การเกิดอุทกภัยนั้น เราคาดการณ์ไม่ได้ว่าปีหน้า ปีโน้น ปีนู้นจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ การเตรียมการไว้เป็นเรื่องดี ไม่ว่าจะเป็นการขยายท่อน้ำมันไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งการมีคลังน้ำมันไว้ที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แต่การขยายท่อส่งน้ำมันหรือการมีคลังน้ำมันที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจะต้องใช้งบประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเป็นเรื่องที่ ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจะต้องลงทุนเองมิใช่หรือ ทำไมจะต้องมาเอางบประมาณซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศไปจ่ายแทน ปตท.
จริงอยู่ ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนมีรัฐบาลหรือกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ ก็ถืออยู่ 51 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือไปจากนั้น 49 เปอร์เซ็นต์ก็เป็นเรื่องที่นักการเมืองชั่วเอาไปแจก เอาไปขายกันก่อนที่ ปตท.จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิดมิใช่หรือ
ถ้าหากเอาเงิน 5 หมื่นล้านไปเอื้อประโยชน์ให้กับ ปตท.ในการลงทุนสร้างท่อส่งน้ำมัน สร้างคลังน้ำมันที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เท่ากับว่า รัฐบาลนี้อาศัยช่วงที่ประชาชนประสบอุทกภัย ประชาชนเดือดร้อนงุบงิบงบประมาณไปแสวงหาประโยชน์กันอีกทางหนึ่ง
เท่าที่ผลาญมาแล้วยังไม่สนุก จะผลาญกันให้สนุกอีกอย่างนั้นหรือ?