xs
xsm
sm
md
lg

น้ำท่วมแล้ว ...อำนาจจะอยู่ในมือใคร

เผยแพร่:   โดย: ดร.ประยูร อัครบวร

หันขวาก็น้ำท่วม หันซ้ายก็น้ำท่วม อากัปกิริยาที่เป็นอย่างนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เป็นผู้ประสบภัยเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าที่บ้านน้ำไม่ท่วมก็เปลี่ยนสถานภาพจาก “ชาวกรุง” เป็น “ชาวเกาะ” อยู่กันตามอัตภาพ หากพูดเอาสนุกก็ได้ แต่ภายใต้จิตใจก็รู้สึกขมขื่นและอดห่วงใยไม่ได้ว่า ประเทศต้องอยู่ภายใต้การบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพอีกนานแค่ไหน ด้วยเรื่องน้ำท่วมเพียงอย่างเดียว ประเทศเกิดความเสียหายทั้งภาพลักษณ์ เศรษฐกิจถูกทำลายให้ลำบากกันทั่วหน้า โรคภัย ความตายที่ตามมาซ้ำเติม เร่งเพิ่มหัวขโมยทุกหย่อมหญ้า ฯลฯ ซึ่งรายละเอียดแยกเป็นประเด็นได้ ดังนี้

1. ภาพลักษณ์ของประเทศความเสียหาย ในทัศนะของนานาชาติที่มาลงทุนในประเทศไทย ที่เชื่อข้อมูลรัฐบาลที่นั่งยัน นอนยันว่าป้องกันน้ำท่วมได้ ในที่สุดนิคมอุตสาหกรรมในอยุธยา นนทบุรี และปทุมธานี ก็ล่ม ซึ่งมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องในอีกหลายประเทศ ต่อมาภาพน้ำท่วมสนามบินดอนเมืองที่มีเครื่องบินจอดอยู่ โดยรัฐบาลบอกว่าเป็นเครื่องบินที่รอซ่อม แต่คนที่รู้จักดอนเมืองในนามสนามบินนานาชาติที่เคยเป็นหน้าด่านที่สำคัญของประเทศยังมีประสิทธิภาพใช้ได้อีกไม่ต่ำกว่า 50 ปี ทำใจให้ยอมรับคำอธิบายที่ไม่รับผิดชอบไม่ได้หรอกครับ อีกทั้งภูมิปัญญาของคนสร้างสนามบินดอนเมืองเพราะอยู่ในที่ดอนซึ่งหมายถึงที่สูง ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้น้ำท่วม ซึ่งท่วมมาก่อนหน้านี้เกือบสองเดือนแล้ว

การปล่อยให้น้ำมาท่วมถึงห้าแยกลาดพร้าวหนังสือ The Wall Street Journal ฉบับวันที่ 4 พ.ย. 2554 บรรยายให้เห็นภาพชัดเจนว่าห้าแยกลาดพร้าวนี้เป็นชุมทางที่มีถนนหลักสามสายมาบรรจบกัน มีอาคารสำนังาน คอนโดฯ และศูนย์การค้าที่คนนิยมชมชอบและชุมทางนี้อยู่ใกล้ตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเป็นกุญแจสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยว ผู้เขียนไม่รู้ว่าบรรดานักการเมืองในสภามีความรู้หรือไม่ว่า “ตลาดนัดจตุจักร” นี้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสามของโลกที่มีงานนวัตกรรมของสินค้าที่มีรูปแบบของตัวเอง มาวันนี้ตลาดนัดจตุจักรก็ต้องปิดเพราะน้ำท่วม คำถามที่ตามมาว่าตลาดที่สร้างชื่อโดยที่รัฐบาลไม่ได้ออกเงินค่าโฆษณาเลยนั้น ถูกน้ำท่วมโดยที่มีนายกรัฐมนตรีละอ่อน เป็นรัฐบาลที่จัดการน้ำไม่ถูกวิธี ไม่มีเอกภาพในการจัดการนั้น ยุติธรรมกับประเทศไทยไหมและถ้าบรรดาผู้บริหารบ้านเมืองไม่มีสำนึกว่าผิดพลาด ก็ไม่ต้องแปลกใจที่มีคนสรุปว่านายกรัฐมนตรีทำงานไม่เป็น แก้ปัญหาไม่ได้ ดีแต่สร้างภาพแจกของ ตีหน้าเศร้ากับการเป็นข่าวและให้กำลังใจ ลมๆ แล้งๆ

2. เศรษฐกิจถูกทำลายให้ลำบากกันทั่วหน้า เมื่อมีน้ำท่วม 24 จังหวัด แค่คนตกงานกว่า 7 แสนคนจาก 7 นิคมอุตสาหกรรมในอยุธยา นนทบุรี และปทุมธานี และถ้าถามถึงธุรกิจรายย่อยไม่ว่าขายโดยแผงลอย รถเข็น ร้านโชห่วย ร้านอาหาร ฯลฯ อีกไม่รู้จำนวนเท่าไรที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ และจากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ว่ามีราษฎรที่ได้รับผลเดือดร้อนถึง 1,078,502 ครัวเรือนหรือคน 2,921,898 คน(ไทยรัฐ/8-11-54) ซึ่งยังไม่นับคนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องอีกจำนวนมหาศาล
3. โรคภัย ความตายที่ตามมาซ้ำเติม ซึ่งตัวเลขที่บอกถึงจำนวนคนตายกว่า 527 คนในเหตุการณ์น้ำท่วมเข้าไปแล้ว และเชื้อโรคต่างๆ ที่ตามมากับน้ำท่วมโดยเฉพาะขยะที่กรุงเทพฯ มีขยะวันละ 8,700 ตันหรือประมาณ 1 ใน 4 ของขยะทั้งประเทศ (The Wall Street Journal/5 พ.ย. 2554) การตั้งข้อสังเกตนี้ ไม่เกินความจริงที่โรคที่ตามมากับน้ำ ไม่ว่าโรคฉี่หนู อหิวาตกโรค ไข้ไทฟอยด์ โรคตับอักเสบ โรคตาแดง ไข้เลือดออก ต่างเป็นโรคที่ปรากฏให้เห็นหรืออย่างเบาที่สุดก็โรคผิวหนัง ซึ่งโรคภัยเหล่านี้คงไม่มีใครอยากพบเห็น แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลจะรองรับอย่างไร โดยเฉพาะขยะที่เป็นเหตุของโรคควรจะมีมาตรการจัดการอย่างไรตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้น้ำท่วมไปก่อนแล้วค่อยคิด

4. เร่งเพิ่มหัวขโมยทุกหย่อมหญ้า ในเรื่องนี้ ไม่ต้องไปดูที่มาให้ไกล เพราะมีบทสรุปมานานแล้วว่า เมื่อจนมากๆ ไม่มีอาหารจะกินก็ง่ายต่อการเป็นโจร การปล้น ฆ่าจะตามมาไม่ต้องสงสัย น้ำท่วม 24 จังหวัด เพิ่มให้คนไร้ทางเลือกมากขึ้นเท่านั้น ตัวเลขนี้ไปตรวจสอบได้ในขณะนี้ มีคนโทร.แจ้งความว่าเห็นโจรกำลังขโมยรถ ถูกตำรวจถามว่าเป็นเจ้าของรถหรือเปล่า เมื่อบอกว่าไม่ใช่ คุณตำรวจนั้นก็แสนดี บอกว่าให้เจ้าของมาแจ้งความเองเถอะครับ ตำรวจโรงพักนี้ไม่พอ หรือตัวอย่างของสมาชิก pantip.com ถามว่า 2 วันก่อน – ขโมยงัดบ้านช่วงน้ำท่วม แจ้งความแล้วแต่ตำรวจไม่เข้ามาตรวจ ควรทำไงต่อดีคะ ฯลฯ ยังมีอีกหลายตัวอย่างที่เมืองไทยจะถูกบันทึกในเรื่องคุณเชื่อหรือไม่ ถ้ายังปล่อยให้เกิดความจนแบบไม่จำกัด

น้ำท่วมกับความหายนะในสังคมไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผู้เขียนมีความกังวลเพียง 4 ประเด็นข้างต้นเท่านั้น แต่ที่ยกมาก็เพื่อผู้อ่านบทความนี้ ได้มองเห็นภาพหลักๆ ที่กำลังเกิดและมีผลกระทบตามมา

ผู้เขียนไม่รู้ว่า คนรักชาติบ้านเมือง ที่ห่วงใยในอนาคตของประเทศช่วยพิจารณาว่า การปล่อยให้นักการเมืองที่ไร้คุณภาพ ไร้คุณธรรม ไร้สำนึกในผลประโยชน์ของชาติ อีกทั้งมีแต่ความโลภ ไม่มีเมตตาธรรมต่อเพื่อนร่วมชาติที่ต้องรับชะตากรรมในเหตุการณ์น้ำท่วมที่ไม่เป็นธรรมนั้น จะถึงจุดที่สุดอดทน อดกลั้นเมื่อไรและอดห่วงไม่ได้ว่า การปล่อยให้เขื่อนอารมณ์พัง โดยไม่ได้คิดอะไรรองรับ ก็เหมือนการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ประเทศที่มีการเปลี่ยนตัวคน โดยไม่ได้เปลี่ยนระบบ ในที่สุดก็สู่วังวนเก่าไม่มีที่สิ้นสุด

สังคมไทยวันนี้ จึงถึงทางสองแพร่งถึงบทพิสูจน์ว่าการบริหารแบบอ่อนหัดหรือความเห็นแก่ตัวของตน ของพวกพ้องที่ปล่อยให้น้ำท่วมกรุง ทำลายภาพลักษณ์ ทำลายความเชื่อมั่นของประเทศและทำให้สังคมไทยสู่เส้นทางหายนะได้นั้น ยังสามารถอยู่ได้ต่อไป หรือสังคมไทยสามารถสลัดหลุดจากวงจรชั่วร้ายของนักโกงเมืองและสามารถพัฒนาก้าวข้ามไปสู่สังคมอารยะ ดังนั้นจึงอยู่ที่ว่าคนไทยที่รักชาติ ห่วงใยอนาคตสังคมไทย กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจหรือไม่

ผู้เขียนเคยถูกตั้งคำถามว่า “ถ้าการแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยไม่ต้องแก้ ซึ่งจะทำให้คนไทยจนหรือเดือดร้อนมากขึ้น ในที่สุดคนไทยจะต้องพึ่งพิงใครและคนที่ให้ความช่วยเหลือในยามยากย่อมจะมีอิทธิพลในที่สุดใช่ไหม” จากปุจฉาวิสัชนานี้ ทำให้เกิดคำถามใหม่ๆ ว่า “ถ้าเผาเมืองแล้วเป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ถ้าปล่อยให้น้ำท่วม จนคนต้องการความช่วยเหลือไปทุกย่อมหญ้า อำนาจก็จะตกไปอยู่ในมือคนที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำดินได้เลยใช่หรือไม่” ผู้เขียนไม่มีทักษะทางโหรแต่คิดว่ามีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่บอกได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงกำลังก่อเป็นคลื่นจะถาโถมแผ่นดินไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น