But a mightier power and stronger ถึงชายได้กวัดแกว่งแผลงจากอาสน์
Man from his throne has hurled, ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า
And the hand that rocks the cradle อันมือไกวเปลไซร้แต่ไรมา
Is the hand that rules the world. คือหัตถาครองพิภพจบสากล
William Ross Wallace (1819 -1881) แปลโดย พระราชธรรมนิเทศ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมเป็นคนรักและเคารพแม่อย่างที่สุด เกินกว่าที่ผมจะดูถูกใครที่เป็นเพศแม่
บทความนี้ตอนที่ 1 พิมพ์วันที่ 12 ตุลาคม กว่าจะถึงบทที่ 2 ผมเขียนบทความอื่นคั่นถึง 4 บทด้วยกันคือ การเมืองกาลี ผู้นำไม่ดี อัปรีย์กินประเทศ, ชาติ ศาสนา ประชาชนหม่นหมอง เพราะการปกครองวิปลาส, เพราะการเมืองอุบาทว์ ภัยธรรมชาติจึงร้ายกว่าเดิม, ความเชื่อและความจริงที่จะทำให้บ้านเมืองล่มสลาย ทุกๆ บทยืนยันได้ว่าผมเห็นโครงสร้างและระบบสำคัญกว่าบุคคล
ผมมิได้ประณามบุคคล แต่พูดถึงการเมืองที่อุบาทว์ วิปลาส และกาลี ที่เริ่มเกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2490 มหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าระบบทุกอย่างมันล่มแล้ว ไม่ใช่กำลังล่ม
ระบบหรือโครงสร้างของเราที่เลวสุดๆ อยู่แล้ว มาบรรจบกันกับผู้นำเลว ก็ยิ่งล่มจมหนักขึ้นอีก
แต่ผู้นำจะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่ต่างกัน ขอแต่ให้มีความซื่อสัตย์สามารถ กล้าหาญ และเสียสละ ไม่เป็นทาสของโครงสร้างหรือผลประโยชน์ของครอบครัวหรือพวกพ้อง อาเพศที่เกิดและซ้ำเติมสังคมนั้นเป็นเพราะระบบฝนตกขี้หมูไหล ไม่เลือกว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล
ที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ เป็นเรื่องของเหตุผล และเหตุกับผล ผมขอเตือนยิ่งลักษณ์กับสังคมไทยอีกครั้งว่า ในเรื่องการเมืองความเชื่อมักจะสำคัญกว่าความจริง ระบบการเมืองที่ดีต้องปรับจูนทั้งสองอย่างให้ใกล้เคียงและสัมพันธ์กัน ห่างทั้งสองยิ่งทิ้งกัน ห่างเท่าไรก็ยิ่งอันตราย ความเชื่อผิดจะนำไปสู่การกระทำที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อเรื่องรัฐไทยใหม่หรือนิวไทยแลนด์ก็ดี หรือเรื่องอาเพศของผู้นำหญิงก็ดี เรื่องหลังนี้ หากยิ่งงมงายก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์จึงสมควรเคลียร์เรื่องนี้ให้ดี
ผู้หญิงทั้งที่เป็นผู้นำและคนธรรมดาถูกสังหารอย่างทารุณโหดร้ายมีอยู่ทั่วโลก รวมทั้งหญิงที่ถูกหาว่าเป็นผีปอบซึ่งกลายเป็นเหยื่อทารุณกรรมแสนสาหัสในเมืองไทย ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหลงเหลืออยู่ ระวังอย่าให้เขาหาว่ายิ่งลักษณ์เป็นผีปอบการเมืองไทยได้
เรื่องผู้หญิงเป็นผู้นำนั้นมีมาแต่โบราณ เผ่าหรือสังคมที่เรียกว่า Matriarchal Society คือสังคมที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่ ทั้งที่เป็นหัวหน้าสูงสุดหรือเป็นกลุ่มก้อนที่ทรงอำนาจเหนือในสังคม แม้แต่ปัตตานีของเรา ใครว่าปัตตานีเป็นรัฐอิสลามมาแต่เก่าก่อน ความจริงผิดทั้งเพยุคทองของอาณาจักรปัตตานีนั้นอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21 มีกษัตรีย์ครองอำนาจติดต่อกันถึง 4 พระองค์ คือ Ratu Hijau (ราชินีเขียว), Ratu Biru (ราชินีน้ำเงิน), Ratu Ungu (ราชินีม่วง) และ Ratu Kuning (ราชินีเหลือง) มีเศรษฐกิจและการทหารเข้มแข็ง สามารถต่อต้านการรุกรานของสยามได้ (http://en.wikipedia.org/wiki/Pattani_Kingdom)
แม้แต่ในสังคมที่ผู้หญิงถูกกีดกันโดยวัฒนธรรมหรือศาสนา ผู้หญิงก็ยังก้าวออกมาแถวหน้าได้ เช่น โกลดา แมร์ของอิสราเอล อินทิรา คานธีของอินเดีย บุตโตของปากีสถาน เซีย และฮาซินาของบังกลาเทศ เป็นต้น
ตั้งแต่ปี 1945 มาจนถึงยิ่งลักษณ์ โลกมีนายกรัฐมนตรีหญิงมาแล้วกว่า 50 คน ที่เป็นประธานาธิบดี 51 คน เราได้ยินบ่อยคือ อากีโนกับมาคาปากัลของฟิลิปปินส์ และซูการ์โนบุตรีของอินโดนีเซีย เป็นต้น รวมประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรีแล้วก็เกิน 100 คน
นายกฯ หญิงที่โด่งดังที่สุดในโลกเห็นจะไม่มีผู้เกิน มาร์กาเรต แทตเชอร์ ของอังกฤษ คานธี ของอินเดีย และโกลดาแมร์ ของอิสราเอล ทั้งสามนี้ได้ชื่อว่าสตรีเหล็ก และรัฐมนตรีอกสามศอกพากันกลัวหงอทุกคน
ผมเห็นว่าผลงานโดยเฉลี่ยของผู้นำสตรีมักจะดีกว่าผู้ชาย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจำนวนน้อยกว่ากันมากอย่างหนึ่ง และฝ่ายผู้ชายขึ้นมาได้ยากอีกอย่างหนึ่ง ยกเว้นยิ่งลักษณ์ของเราที่จู่ๆพี่ชายก็ปกาศิตให้ขึ้นมานั่งแป้นภายใน 40 กว่าวัน มิไยที่เธอจะร้องไห้ฟูมฟายก็ตาม
ในประวัติศาสตร์ ผู้นำโลกที่โด่งดังเป็นกษัตริย์ได้แก่ แคทรีนมหาราช (1729-1796 เสวยราชย์ 34 ปีเศษจากกรกฎา 1762 ถึงพฤศจิกา 1976) เจ้าหญิงเยอรมนีผู้กลายเป็นจักรพรรดินีผู้สร้างนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและความยิ่งใหญ่ให้จักรภพรัสเซีย พระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งจักรภพอังกฤษ (1819-1901 ครองราชย์ 1876-1901) ผู้สร้างความรุ่งเรืองเป็นผู้นำอารยธรรมโลกให้กับอังกฤษ และสุดท้ายก็คือ ซูสีไทเฮา (1835-1908) ผู้สำเร็จราชการกุมบังเหียนจีนด้วยความเกรี้ยวกราดเจ้าอารมณ์โดยไม่ลืมพระเนตรดูโลกจนพาจักรภพไปสู่การพ่ายแพ้ตะวันตกและจุดจบ
ผมไม่มีเวลาและหน้ากระดาษเขียนเรื่องผู้นำหญิงของโลกมากกว่านี้ เรื่องการเมืองจัญไรอันเป็นทุกขลาภของยิ่งลักษณ์ก็ต้องไปต่อฉบับหน้า
ขอนำ quotations ของผู้นำข้างต้นมากำนัลยิ่งลักษณ์และสังคมไทยสักเล็กน้อยดังนี้
มาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ ครองอำนาจอยู่ถึง 11 ปี ร่วมกับประธานาธิบดีเรแกนนำไปสู่การล่มสลายของม่านเหล็กและกำแพงเบอร์ลินในที่สุด เธอกล่าวว่า ไม่เคยพบหรือรู้จักใครที่ขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุด โดยปราศจากการทำงานหนักมาก่อน เพราะนั่นเป็นสูตร ซึ่งถึงแม้จะไม่ถึงเป้าหมายเสมอไป อย่างน้อยก็เฉียดๆ เข้าไปใกล้ที่สุด. (I do not know anyone who has got to the top without hard work. That is the recipe. It will not always get you to the top, but should get you pretty near.)
ทั้งโกลดาแมร์และแทตเชอร์พูดคล้ายๆ กันว่าผู้หญิงมีคุณสมบัติพิเศษกว่าและต้องทำให้ดีกว่าผู้ชายจึงจะประสบความสำเร็จ และผู้นำสตรีจะไม่มีการทิ้งงานไปดื้อๆ
ส่วนผู้นำที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่รู้จักใช้ผู้ชาย ทั้งในเรื่องความรัก การทำงาน การแสวงหาและรักษาอำนาจ คือ แคทรีนมหาราช มีข้อคิดให้ยิ่งลักษณ์โดยไม่ต้องแปลว่า “Assuredly men of merit are never lacking at any time, for those are the men who manage affairs, and it is affairs that produce the men. I have never searched, and I have always found under my hand the men who have served me, and for the most part I have been well served.”
ตอนจบคือคำเตือนที่ควรจำที่สุด “Power without a nation's confidence is nothing : อำนาจที่ปราศจากความเชื่อถือของคนในชาติจะมีความหมายอะไร”
(แคทรีนมหาราช)
Man from his throne has hurled, ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า
And the hand that rocks the cradle อันมือไกวเปลไซร้แต่ไรมา
Is the hand that rules the world. คือหัตถาครองพิภพจบสากล
William Ross Wallace (1819 -1881) แปลโดย พระราชธรรมนิเทศ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมเป็นคนรักและเคารพแม่อย่างที่สุด เกินกว่าที่ผมจะดูถูกใครที่เป็นเพศแม่
บทความนี้ตอนที่ 1 พิมพ์วันที่ 12 ตุลาคม กว่าจะถึงบทที่ 2 ผมเขียนบทความอื่นคั่นถึง 4 บทด้วยกันคือ การเมืองกาลี ผู้นำไม่ดี อัปรีย์กินประเทศ, ชาติ ศาสนา ประชาชนหม่นหมอง เพราะการปกครองวิปลาส, เพราะการเมืองอุบาทว์ ภัยธรรมชาติจึงร้ายกว่าเดิม, ความเชื่อและความจริงที่จะทำให้บ้านเมืองล่มสลาย ทุกๆ บทยืนยันได้ว่าผมเห็นโครงสร้างและระบบสำคัญกว่าบุคคล
ผมมิได้ประณามบุคคล แต่พูดถึงการเมืองที่อุบาทว์ วิปลาส และกาลี ที่เริ่มเกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2490 มหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าระบบทุกอย่างมันล่มแล้ว ไม่ใช่กำลังล่ม
ระบบหรือโครงสร้างของเราที่เลวสุดๆ อยู่แล้ว มาบรรจบกันกับผู้นำเลว ก็ยิ่งล่มจมหนักขึ้นอีก
แต่ผู้นำจะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่ต่างกัน ขอแต่ให้มีความซื่อสัตย์สามารถ กล้าหาญ และเสียสละ ไม่เป็นทาสของโครงสร้างหรือผลประโยชน์ของครอบครัวหรือพวกพ้อง อาเพศที่เกิดและซ้ำเติมสังคมนั้นเป็นเพราะระบบฝนตกขี้หมูไหล ไม่เลือกว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล
ที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ เป็นเรื่องของเหตุผล และเหตุกับผล ผมขอเตือนยิ่งลักษณ์กับสังคมไทยอีกครั้งว่า ในเรื่องการเมืองความเชื่อมักจะสำคัญกว่าความจริง ระบบการเมืองที่ดีต้องปรับจูนทั้งสองอย่างให้ใกล้เคียงและสัมพันธ์กัน ห่างทั้งสองยิ่งทิ้งกัน ห่างเท่าไรก็ยิ่งอันตราย ความเชื่อผิดจะนำไปสู่การกระทำที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อเรื่องรัฐไทยใหม่หรือนิวไทยแลนด์ก็ดี หรือเรื่องอาเพศของผู้นำหญิงก็ดี เรื่องหลังนี้ หากยิ่งงมงายก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์จึงสมควรเคลียร์เรื่องนี้ให้ดี
ผู้หญิงทั้งที่เป็นผู้นำและคนธรรมดาถูกสังหารอย่างทารุณโหดร้ายมีอยู่ทั่วโลก รวมทั้งหญิงที่ถูกหาว่าเป็นผีปอบซึ่งกลายเป็นเหยื่อทารุณกรรมแสนสาหัสในเมืองไทย ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหลงเหลืออยู่ ระวังอย่าให้เขาหาว่ายิ่งลักษณ์เป็นผีปอบการเมืองไทยได้
เรื่องผู้หญิงเป็นผู้นำนั้นมีมาแต่โบราณ เผ่าหรือสังคมที่เรียกว่า Matriarchal Society คือสังคมที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่ ทั้งที่เป็นหัวหน้าสูงสุดหรือเป็นกลุ่มก้อนที่ทรงอำนาจเหนือในสังคม แม้แต่ปัตตานีของเรา ใครว่าปัตตานีเป็นรัฐอิสลามมาแต่เก่าก่อน ความจริงผิดทั้งเพยุคทองของอาณาจักรปัตตานีนั้นอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21 มีกษัตรีย์ครองอำนาจติดต่อกันถึง 4 พระองค์ คือ Ratu Hijau (ราชินีเขียว), Ratu Biru (ราชินีน้ำเงิน), Ratu Ungu (ราชินีม่วง) และ Ratu Kuning (ราชินีเหลือง) มีเศรษฐกิจและการทหารเข้มแข็ง สามารถต่อต้านการรุกรานของสยามได้ (http://en.wikipedia.org/wiki/Pattani_Kingdom)
แม้แต่ในสังคมที่ผู้หญิงถูกกีดกันโดยวัฒนธรรมหรือศาสนา ผู้หญิงก็ยังก้าวออกมาแถวหน้าได้ เช่น โกลดา แมร์ของอิสราเอล อินทิรา คานธีของอินเดีย บุตโตของปากีสถาน เซีย และฮาซินาของบังกลาเทศ เป็นต้น
ตั้งแต่ปี 1945 มาจนถึงยิ่งลักษณ์ โลกมีนายกรัฐมนตรีหญิงมาแล้วกว่า 50 คน ที่เป็นประธานาธิบดี 51 คน เราได้ยินบ่อยคือ อากีโนกับมาคาปากัลของฟิลิปปินส์ และซูการ์โนบุตรีของอินโดนีเซีย เป็นต้น รวมประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรีแล้วก็เกิน 100 คน
นายกฯ หญิงที่โด่งดังที่สุดในโลกเห็นจะไม่มีผู้เกิน มาร์กาเรต แทตเชอร์ ของอังกฤษ คานธี ของอินเดีย และโกลดาแมร์ ของอิสราเอล ทั้งสามนี้ได้ชื่อว่าสตรีเหล็ก และรัฐมนตรีอกสามศอกพากันกลัวหงอทุกคน
ผมเห็นว่าผลงานโดยเฉลี่ยของผู้นำสตรีมักจะดีกว่าผู้ชาย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจำนวนน้อยกว่ากันมากอย่างหนึ่ง และฝ่ายผู้ชายขึ้นมาได้ยากอีกอย่างหนึ่ง ยกเว้นยิ่งลักษณ์ของเราที่จู่ๆพี่ชายก็ปกาศิตให้ขึ้นมานั่งแป้นภายใน 40 กว่าวัน มิไยที่เธอจะร้องไห้ฟูมฟายก็ตาม
ในประวัติศาสตร์ ผู้นำโลกที่โด่งดังเป็นกษัตริย์ได้แก่ แคทรีนมหาราช (1729-1796 เสวยราชย์ 34 ปีเศษจากกรกฎา 1762 ถึงพฤศจิกา 1976) เจ้าหญิงเยอรมนีผู้กลายเป็นจักรพรรดินีผู้สร้างนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและความยิ่งใหญ่ให้จักรภพรัสเซีย พระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งจักรภพอังกฤษ (1819-1901 ครองราชย์ 1876-1901) ผู้สร้างความรุ่งเรืองเป็นผู้นำอารยธรรมโลกให้กับอังกฤษ และสุดท้ายก็คือ ซูสีไทเฮา (1835-1908) ผู้สำเร็จราชการกุมบังเหียนจีนด้วยความเกรี้ยวกราดเจ้าอารมณ์โดยไม่ลืมพระเนตรดูโลกจนพาจักรภพไปสู่การพ่ายแพ้ตะวันตกและจุดจบ
ผมไม่มีเวลาและหน้ากระดาษเขียนเรื่องผู้นำหญิงของโลกมากกว่านี้ เรื่องการเมืองจัญไรอันเป็นทุกขลาภของยิ่งลักษณ์ก็ต้องไปต่อฉบับหน้า
ขอนำ quotations ของผู้นำข้างต้นมากำนัลยิ่งลักษณ์และสังคมไทยสักเล็กน้อยดังนี้
มาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ ครองอำนาจอยู่ถึง 11 ปี ร่วมกับประธานาธิบดีเรแกนนำไปสู่การล่มสลายของม่านเหล็กและกำแพงเบอร์ลินในที่สุด เธอกล่าวว่า ไม่เคยพบหรือรู้จักใครที่ขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุด โดยปราศจากการทำงานหนักมาก่อน เพราะนั่นเป็นสูตร ซึ่งถึงแม้จะไม่ถึงเป้าหมายเสมอไป อย่างน้อยก็เฉียดๆ เข้าไปใกล้ที่สุด. (I do not know anyone who has got to the top without hard work. That is the recipe. It will not always get you to the top, but should get you pretty near.)
ทั้งโกลดาแมร์และแทตเชอร์พูดคล้ายๆ กันว่าผู้หญิงมีคุณสมบัติพิเศษกว่าและต้องทำให้ดีกว่าผู้ชายจึงจะประสบความสำเร็จ และผู้นำสตรีจะไม่มีการทิ้งงานไปดื้อๆ
ส่วนผู้นำที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่รู้จักใช้ผู้ชาย ทั้งในเรื่องความรัก การทำงาน การแสวงหาและรักษาอำนาจ คือ แคทรีนมหาราช มีข้อคิดให้ยิ่งลักษณ์โดยไม่ต้องแปลว่า “Assuredly men of merit are never lacking at any time, for those are the men who manage affairs, and it is affairs that produce the men. I have never searched, and I have always found under my hand the men who have served me, and for the most part I have been well served.”
ตอนจบคือคำเตือนที่ควรจำที่สุด “Power without a nation's confidence is nothing : อำนาจที่ปราศจากความเชื่อถือของคนในชาติจะมีความหมายอะไร”
(แคทรีนมหาราช)