xs
xsm
sm
md
lg

ขุนศึก ตอนที่ ๑๑

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขุนศึก ตอนที่ ๑๑
บริเวณท่าน้ำ บ้านขุนรามเดชะ เอื้อยแตงนุ่งกระโจมอกกำลังถูกพิณและบรรดาทาสหญิงช่วยกันเอามะขามเปียกถูตัวอยู่จนต้องดิ้นพล่านพร้อมกับร้องลั่นเพราะแสบผิว

“โอ๊ยๆ แสบไปหมดแล้ว พอทีเถอะ”
พิณพูดไปพลางถูไปตามเนื้อตัวให้เอื้อยแตง
“อยู่นิ่งๆสิเจ้าคะแม่หญิงเอื้อยแตง ดิ้นเช่นนี้ แล้วบ่าวจะขัดผิวให้ได้เช่นไรเล่าเจ้าคะ”
“ก็ไม่ต้องขัดซี แสบจะตายอยู่แล้ว”
เอื้อยแตงอาละวาด ผลักพิณกับพวกทาสแล้ววิ่งหนี
“จับตัวแม่หญิงเอาไว้” พิณสั่ง
พิณกับพวกทาสเข้าไปช่วยจับ แต่เอื้อยแตงก็ดิ้นสู้จนอลหม่านไปหมด ครั้นเอื้อยแตงจะหนีอีกก็ต้องชะงัก เมื่อเรไรยืนขวางหน้าอยู่ เรไรพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่แฝงแววตำหนิ
“เพียงแต่ให้อาบน้ำขัดผิวเท่านี้ เหตุใดต้องวุ่นวายเป็นโกลาหลด้วย”
“ก็มันทั้งเจ็บทั้งแสบ จนผิวจะถลอกอยู่แล้ว แม่หญิงมาโดนเองบ้างซี แล้วค่อยมาต่อว่าฉัน”
“แหม ก็ขี้ไคลมันหนาก็ต้องขัดแรงหน่อยซีเจ้าคะ นี่บ่าวก็ขัดออกมาได้ครึ่งค่อนหาบแล้วนะเจ้าคะ” พิณว่า เอื้อยแตงหันไปถลึงตาใส่พิณ จนพิณกลัวหงอไม่กล้าพูดอีก
“ฉันรู้ว่า แม่เอื้อยแตงเจ็บแสบผิว แต่เมื่อแม่ได้ชื่อว่าเป็นหลานหลวงรามเดชะแล้ว จะกระทำตัวดังก่อนกระไรได้ หากมีผู้เห็นเข้าย่อมต้องตำหนิมาถึงพ่อแม่ฉันด้วย”
เรไรพูดแล้วหันไปสั่งพิณ
“พิณ อาบน้ำให้แม่หญิงเอื้อยแตงเสร็จก็หาผ้าผ่อนท่อนสไบให้แม่หญิงสวมใส่ให้สมสง่าราศี พ่อท่านรอรับสำรับเย็นด้วยกันอยู่”
เรไรสั่งงานเสร็จก็เดินเลี่ยงไป เอื้อยแตงได้แต่จิกตามองตามเรไรไปด้วยความเจ็บใจ ไม่ทันไร เรไรก็วางอำนาจเหนือตนซะแล้ว

เวลาผ่านไปเพียงครู่ พิณก็เดินนำเอื้อยแตงในชุดสวยดูมีสง่าราศีผู้ดีจับ เดินเรียบร้อยเข้ามาหาเรไร รามเดชะ ลำภู และแต้มที่กำลังรอทานข้าวเย็นอยู่ แต้มยิ้มแย้มแล้วบอก
“แม่เจ้าโว้ย นังเอื้อยแตงลูกพ่อ ช่างงามราวกับสาวชาววังโดยแท้
เอื้อยแตงยิ้มรับบางๆ ก่อนจะไหว้รามเดชะ และลำภูด้วยกิริยามารยาทเรียบร้อย
“ฉันไหว้จ้ะ ท่านลุง ท่านป้า”
ขุนรามเดชะและลำภูรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“งามจริงหลานสาวฉันคนนี้ ไหนพ่อแต้มบอกว่าลูกสาวแก่นแก้วเป็นม้าดีดกะโหลกไงเล่า ไม่เห็นสมจริงดังพูดเลย” ขุนรามเดชะว่า
“แหม เห็นเช่นนี้แล้ว น่าพาเข้าไปถวายตัวในวังนัก ฝึกเสียหน่อยต้องเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตระกูลของเราเป็นแน่เจ้าค่ะคุณหลวง” ลำภูพูดขึ้น
แต้มและขุนรามเดชะพากันยิ้มแย้มชอบใจ เอื้อยแตงแกล้งทำเป็นยิ้มอายๆ เรไรเหล่มองเอื้อยแตงเล็กน้อยเห็นเอื้อยแตงแอบเหยียดปาก ถลึงตาใส่แบบเอาเรื่อง เรไรผงะไปเล็กน้อยคิดจะปราบพยศเอื้อยแตง ไม่น่าใช่งานง่ายเลย

ภายในโรงเลี้ยงช้าง สินและสมบุญกำลังคุยกับเสมาอยู่เมื่อตอนหัวค่ำ
“แต่เป็นเพียงแม่เอื้อยแตงก็ยากแล้วแล้วนี่เป็นแม่หญิงเอื้อยแตง ฉันยังจะมีหวังกระไรอีก อ้ายสิน วาสนาเอ็งมันช่างน้อยกระไรเช่นนี้” สินเกาหัวด้วยความหงิดหงิด
“เอื้อยแตงเป็นเพียงหลาน แลเอ็งก็มียศเป็นหัวพันมีกรมกองสังกัดแล้วไม่ถือว่าหมดหวังดอก นับไปแล้วยังดีกว่าข้ามากนัก ตะพุ่นหญ้าช้างเช่นข้าต่างหากจึงนับว่าสิ้นหวังจริงๆ” เสมาว่า
“ไม่แน่ดอกพี่ คนมีฝีมือเช่นพี่คงไม่เป็นตะพุ่นไปตลอดชาติดอก” สมบุญพูดด้วยความสงสารเสมา
“เอ็งอย่าปลอบใจข้าเลย เคยมีตะพุ่นคนใดได้กลับไปรับราชการบ้างเล่า”
สมบุญไม่อยากพูดตอกย้ำเสมาจึงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“แล้วเรื่องแม่หญิงเรไร พี่จักตัดใจจริงรึ”
“นั่นซีพี่ พี่จะยอมให้แม่หญิงหมั้นกับคนเช่นอ้ายขันได้ลงคอเทียวรึ” สินถาม
เสมาสีหน้านิ่งเครียดในใจมีเรื่องที่ต้องขบคิดมากมาย

เวลาผ่านไปเจ็ดแปดวัน ภายในบ้านขุนรามเดชะกำลังมีงานหมั้นหมายของขันกับเรไร งานนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้ง บนเรือนวงดนตรีไทยเล่นดนตรีคลออยู่มุมหนึ่ง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย
ขุนรามเดชะ พันอิน ลำภู และอำพัน กำลังต้อนรับแขกเหรื่อและผู้ใหญ่ที่มางานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
แขกคนหนึ่งยิ้มๆแล้วบอก
“ ฉันจำไม่ใคร่ได้แล้วว่า มางานแต่งแลงานหมั้นลูกสาวออกหลวงกี่ครั้ง แต่หวังว่าครานี้ คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกระมัง”
ขุนรามเดชะ ลำภูและอำพันยิ้มแหยๆไม่รู้จะตอบยังไร
พันอินรีบแก้ให้
“คงไม่มีครั้งหน้าดอกขอรับท่านออกญา เพราะครานี้ แม่เรไรรับปากเองหาได้ฝืนใจกันไม่ จริงหรือไม่หลวงราม”
“ดังคำท่านขุนพิมานขอรับ ที่แล้วมาแม่เรไรเห็นผิดเป็นชอบ แต่เพลานี้ได้คิดแล้วขอรับ” ขุนรามเดชะปั้นยิ้มแล้วพูดขึ้น
ลำภูรีบตัดบท
“ถ้าอย่างไร เชิญออกญารับของว่างรองท้องก่อนเถิดเจ้าค่ะ อีฉันทำสุดฝีมือเลยเจ้าค่ะ”
“ผลไม้ก็มีนะเจ้าคะ สดๆเลย เชิญเจ้าค่ะ” อำพันว่า
ลำภูและอำพันเดินนำแขกไป
แต้มจูงมือเอื้อยแตงเข้ามาในงาน เอื้อยแตงมีท่าทีหงุดหงิดไม่เต็มใจ
“ไม่รู้พ่อจักให้ฉันมาทำกระไร ถึงไม่มีฉันเค้าก็หมั้นกันได้ดอก”
“เอ๊ะ อีนังนี่ เอ็งไม่เห็นรึว่ามีแต่ขุนน้ำขุนนางทั้งนั้น ข้าให้เอ็งมาก็เพื่อให้เอ็งรู้จักผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไว้ หากโชคดีมีใครติดตาต้องใจเอ็ง ภายหน้าเอ็งอาจจะได้เป็นใหญ่เป็นโต เลวสุดอย่างไรเสียก็ดีกว่าเป็นเมียตะพุ่นหญ้าช้างหล่ะวะ” แต้มว่า
พ่อพูดแทงใจดำ เอื้อยแตงหน้าหงิกงอเดินสะบัดสะบิ้งปึงปังออกไป
“นังเอื้อย จะไปไหน กลับมา...”
แต้มได้แต่มองตามเอื้อยแตงด้วยความเจ็บใจที่ลูกไม่ได้อย่างใจ
ทางด้านขันและพุฒกำลังคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บัวเผื่อนเดินถือพานดอกไม้ผ่านมา จังหวะเดียวกับที่พุฒหันกลับไป ทั้งคู่เลยได้เจอหน้ากันจังๆ บัวเผื่อนชะงักไปนิดนึง ก่อนจะปั้นยิ้ม
“ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีรึ ท่านขุนวิเศษ”
“นึกว่าผู้ใด แม่หญิงบัวเผื่อนนี่เอง ขอขมาเถิดฉันจำไม่ใคร่ได้” พุฒยิ้มเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น
พุฒเดินหยิ่งๆแล้วเลี่ยงไป ทำเหมือนบัวเผื่อนเป็นคนละชั้นกับพุฒ บัวเผื่อนมองตามด้วยความแค้นใจ ดูรึ...อุตส่าห์พูดดีด้วยแล้ว แต่พุฒกลับมาหยิ่งใส่อีกต่างหาก

ดวงแขกำลังสั่งงานบรรดาทาสที่กำลังขนของที่ใช้ในงานหมั้นอยู่
“เร่งมือหน่อยใกล้จะได้ฤกษ์แล้ว อย่าให้ขาดตกบกพร่องเชียว”
“เจ้าค่ะ แม่หญิง”
พวกทาสขนของเลี่ยงไป ดวงแขจะเดินไปอีกทางแต่พุฒเดินเข้ามาหาก่อน พุฒยิ้มกรุ้มกริ่ม
“มาอยู่ที่นี่เอง แม่หญิงดวงแข ข้าพระเจ้าตามหาเสียทั่ว”
ดวงแขหน้าบึ้งตึงจะเดินเลี่ยงไป แต่พุฒรีบคว้ามือดวงแขไว้ทันที
“จะรีบไปที่ใดเล่า ไม่อยู่พูดจากับว่าที่เจ้าบ่าวเช่นข้าพระเจ้าหน่อยรึ”
ดวงแขพยายามดึงมือกลับ แต่พุฒก็ไม่ยอมปล่อยด้วยความโมโหมาก
“กระทำต่ำช้านัก คิดรึว่าฉันจะยอมออกเรือนด้วยคนเช่นท่าน”
“นี่ยังไม่รู้อีกหรือแม่หญิง ว่าพี่ชายแม่หญิงรับปากข้าพระเจ้าแล้วว่าเสร็จงานหมั้นเมื่อใดจะยกแม่หญิงให้ออกเรือนกับข้าพระเจ้า”
“อย่าเพ้อฝันเลย พี่ขันหามีอำนาจบังคับฉันไม่”
“หากเป็นเพลาอื่นก็คงใช่ แต่ยามนี้ต่อให้ต้องล่ามกรวนหรือถึงฟาดโบยขุนณรงค์ก็ต้องให้แม่หญิงออกเรือนกับข้าพระเจ้าเป็นแน่ เพราะขุนณรงค์กลัวหนักหนา ว่าแม่หญิงจะใฝ่ต่ำทำชั่ว รับอ้าย...”
พุฒพูดไม่ทันจบ ดวงแขก็ตบหน้าพุฒทันที พร้อมกับดึงมือหลุดออกมาแล้วบอกว่า
“ฉันยอมตายเสียดีกว่าที่จักยอมออกเรือนกับคนเยี่ยงท่าน โน่น คนปากร้ายคิดแต่จะเอาดีเข้าตัวเช่นแม่บัวเผื่อนโน่นถึงจะคู่ควรกับคนเช่นท่าน”
พุฒจ้องดวงแขตาเขม็ง
“ไม่ต้องเอาหญิงใจหยาบเช่นนั้น มายกให้ข้าพระเจ้า หญิงที่ฟังคำหวานไม่กี่คำก็ยอมให้ชายจับเนื้อต้องตัวหาคู่ควรกับข้าพระเจ้าไม่”
พุฒมองดวงแขหัวจรดเท้าแล้วยิ้มร้ายๆก่อนจะพูดต่อไป
“มันต้องหญิงที่ทั้งถือตัว ทั้งเกลียดชังข้าพระเจ้าเช่นแม่หญิงต่างหาก ยามที่ถูกสยบได้ถึงจักถือว่ามีชัย”
ดวงแขทั้งเกลียดทั้งสะอิดสะเอียนพุฒจนรีบเดินหนีไป พุฒมองตามอย่างหมายมั่นที่จะเอาชนะให้ได้ บัวเผื่อนที่ยืนแอบฟังอยู่ขบกรามแน่น กำหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อแค้นสุดๆที่โดนดวงแขและพุฒดูถูกลับหลัง

ศรีเมือง และพิณ ช่วยกันแต่งตัวให้เรไรจนสวยจับใจ ขณะที่เรไรกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้น พิณถอนหายใจแล้วว่า
“แม่หญิงแต่งชุดเช่นนี้คราใดงามจับใจทุกทีเลยนะเจ้าคะ แต่มิรู้ว่างานครานี้จะล่มอีกหรือไม่”
“เหตุใดพูดไม่เป็นมงคลเช่นนั้นล่ะจ๊ะพิณ” ศรีเมืองพูดปราม
“บ่าวไม่ได้แช่งนะเจ้าคะแม่หญิงศรีเมือง แต่บ่าวหาแน่ใจไม่ว่าหมั้นกับคนเช่นขุนณรงค์จะเป็นการดีจริง
“แล้วเจ้าจะให้ฉันหมั้นกับชายหลายใจอย่างเสมาน่ะรึ ถึงจักดีจริง” เรไรว่า
“ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ เพียงแต่แม่หญิงของบ่าวเพียบพร้อมถึงเพียงนี้อย่างไรก็ควรได้คนดีกว่าขุนณรงค์”
“แม่หญิงเจ้าคะเรื่องที่พี่เสมาหลายใจ แม่หญิงฟังจากปากแม่หญิงดวงแขเพียงผู้เดียว ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เรไรแปลกใจ
“ถามเช่นนี้ มีกระไรรึแม่ศรีเมือง”
ศรีเมืองตั้งท่าจะเล่า แต่ดวงแขเปิดประตูเข้ามาก่อน ศรีเมืองกลัวดวงแขเลยรีบหยุดพูดทันที
“แต่งตัวเสร็จแล้วหรือไม่แม่เรไร จวนได้ฤกษ์แล้ว” ดวงแขว่า
“เสร็จแล้วจ้ะ”
เรไรลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องพร้อมกับพิณ ดวงแขหันมามองศรีเมืองที่รีบหลบตาดวงแขแล้วรีบตามเรไรออกไปจนดวงแขรู้สึกผิดสังเกต แต่ไม่พูดอะไรมาก เพราะใกล้เวลาหมั้นแล้ว

เอื้อยแตงเดินหงุดหงิดมาถึงหน้าบ้านขุนรามเดชะ
“รำคาญใจนัก เมื่อใดจะเสร็จพิธีเสียทีก็ไม่รู้”
ขณะนั้นเอง เอื้อยแตงก็เห็นเสมาเดินถือพานเล็กๆพานหนึ่งเข้ามา โดยมีผ้าชุบน้ำปิดพานไว้ เอื้อยแตงยิ่งตกใจด้วยความกังวลพี่เสมา
“นี่พี่...”
เสมามองขึ้นไปบนเรือน
“พิธีกำลังจะเริ่มแล้วรึทันพอดี”
เอื้อยแตงรีบตามไปทันที เพราะกลัวเสมาจะมาล้มงานอีก

บนเรือน ขันและเรไรก้มลงกราบพระยาผู้ใหญ่ซึ่งเป็นประธาน ท่ามกลางความยินดีของพุฒ ดวงแข อำพัน รามเดชะ ลำภู พันอิน ศรีเมือง แต้ม และแขกเหรื่อทุกคน มีเพียงแต่บัวเผื่อนผู้เดียวที่หน้าตาบึ้งตึง เพราะยังโกรธพุฒกับดวงแขอยู่
“ช่างงามสมกันจริง ยิ่งแม่เรไร ยิ่งงามจับตาต้องใจต่อผู้พบเห็นนัก จริงหรือไม่ขุนณรงค์”พระยาพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
ขันมองเรไรด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“จริงขอรับพระคุณ”
ขณะนั้นเอง เสมาก็เดินขึ้นเรือนมาโดยมีเอื้อยแตงรีบตามหลังมาติดๆ พุฒหันกลับไปเห็นเสมา ตกใจคิดไม่ถึงว่าเสมาจะกล้ามา
“อ้ายเสมา นี่มึงยังกล้ามาอีกรึ”
ทุกคนหันไปมองตาม พอเห็นเสมาก็ตกใจคิดว่างานจะล่มอีกแล้ว ขันรีบจับมือเรไรไว้ทันที ไม่ยอมให้เรไรโผเข้าไปหาเสมาให้งานล่มอีกแล้ว บัวเผื่อนยิ้มร้ายแล้วพูดเบาๆกับตัวเอง
“ดี งานล่มเสีย อ้ายขุนวิเศษจะได้รอเก้อไปอีก”
เอื้อยแตงเห็นท่าไม่ดีรีบสะกิดเสมาแล้วว่า
“ถึงเพลานี้แล้ว ตัดใจเสียเถิดพี่เสมา”
เสมายังมุ่งหน้าเดินเข้าไปในงาน หมดปัญญาจะที่เอื้อยแตงจะห้ามปราม
ดวงแขมีสีหน้าเคร่งเครียดกังวลใจกลัวงานล้มและเสมาจะมีความผิดด้วย
ขุนรามเดชะ ลำภู อำพัน พันอิน ศรีเมือง และแต้มรีบดาหน้าเข้าไปหาเสมาทันที แต้มชี้หน้าแล้วพูดขึ้น
“เอ็งมาทำกระไรวะ ที่นี่หามีคนต้อนรับเอ็งไม่กลับไปเสีย”
เอื้อยแตงไม่พอใจแต้ม เพราะอย่างน้อยๆ เสมาก็เคยให้ที่อยู่อาศัยเมื่อคราวลำบากมาก่อน
“เรือนของพ่อรึ ถึงออกหน้ามาไล่ผู้อื่น ที่พี่เสมามา ก็คงเพราะเหลือกลั้นแก่สติกระมัง ด้วยแบกรักอยู่จนมิอาจจะสะกดใจได้”
เรไรเห็นสายตาที่เอื้อยแตงที่มองมาก็รู้สึกไม่สบายใจ
ขุนรามเดชะทำสีหน้าถมึงทึงใส่
“เราก็ได้พูดแต่โดยดีหลายครั้งแล้วนะเสมา ว่าขออย่าได้ล่วงเกินในบ้านเราอีก เหตุใดไม่เชื่อกันบ้าง”
“พระคุณอย่ากังวลเลยขอรับ ที่ข้าพระเจ้ามาวันนี้ก็เพื่อจะอวยพรแม่หญิงเรไรกับขุนณรงค์เท่านั้น” พูดแล้ว … เสมาก็เปิดผ้าคลุมพานออก พานเล็กใบนั้นมีเพียงดอกจำปีกับน้ำอบขวดเล็กวางอยู่
ทุกคนเห็นก็ผิดคาด
“ข้าพระเจ้าสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว จึงหามาได้แต่เพียงเท่านี้ แต่ก็ใคร่จักได้ขมาแม่หญิงแลขุนณรงค์สักครั้งหนึ่ง พอให้สิ้นบาปกรรมในใจตัวขอรับ”
อำพันถอนใจโล่งอกแล้วยิ้มรับ
“ถ้าพ่อเสมาต้องการเช่นนั้น ก็เชิญข้างในเถิดจ้ะ”
พุฒรีบห้ามทันที
“ไม่ได้นะขอรับ อ้ายเสมามันมากเล่ห์นัก มิรู้ว่าจะวางแผนกระไรไว้”
พันอินชักไม่พอใจ
“ก็เห็นอยู่ว่าเสมามาแต่ตัวกับพานดอกไม้ หรือขุนวิเศษเห็นพานดอกไม้นี้จักทำร้ายคนได้”
“พี่เสมาตั้งใจมาอำนวยพรแลขอขมาหากไม่ให้เข้าจะไม่เป็นมงคลนะจ๊ะ” ศรีเมืองว่า
ลำภูหันไปพูดกับขุนรามเดชะ
“แม่ศรีเมืองกล่าวถูกแล้วต่อหน้าออกญาผู้ใหญ่ทั้งหลาย อย่ากระทำเรื่องเสื่อมเสียเลยเจ้าค่ะ”
ขุนรามเดชะถอนหายใจหน้าเครียดเพราะไม่เต็มใจ แต่ไม่มีทางเลือกจึงว่า
“เมื่อเจ้ามาดี ก็ขอบน้ำใจนัก เชิญเถิด”
เสมาเดินเข้าไปข้างในเพื่อเข้าไปหาเรไร และขัน บัวเผื่อนทิ้งค้อนไม่พอใจที่เสมามาดี ฝ่ายดวงแขคอยจับตาดูตลอดเวลา กลัวเกิดเรื่องแล้วยังแอบระแวงหึงหวงเสมาด้วย
เสมาคุกเข่าลงต่อหน้าขันกับเรไร
“ขอขุนณรงค์กับแม่หญิงเรไร จงรับไมตรีข้าพระเจ้านี้เถิด แต่แรกที่ได้ยินข่าว น้ำใจข้าพระเจ้ายังพลอยปลื้มเกิดปีติไปด้วยจึงขอใช้ดอกไม้เป็นเครื่องเคารพโดยน้ำใจ”
ขันมองไปรอบๆ ครั้นจะอาละวาดก็ไม่สะดวกจึงได้แต่ปั้นยิ้ม
“ขอบน้ำใจนักออตะพุ่นเพียงที่อุตสาหะมาเองเช่นนี้ ก็เป็นคุณอยู่แล้ว”
เสมาหยิบขวดน้ำอบออกมาวางข้างนอกแล้วหยิบพานขึ้นมา
“ข้าพระเจ้าเคยทราบว่า แม่หญิงท่านโปรดชอบดอกไม้จำปีว่าเป็นเอกจึงสู้แสวงมาด้วยยาก แลขอทั้งสองท่านจงคุ้มครองกันให้ถาวรจำเริญเถิด”
เรไรเมื่อเห็นดอกจำปีก็น้ำตาคลอเบ้ารู้ดีว่าเสมากล่าวตัดพ้อ เพราะดอกจำปีเป็นดอกไม้แห่งความหลังของทั้งเรไรและเสมา เมื่อเอามาให้ในงานหมั้นก็เหมือนกับเสมาบอกให้เรไรรู้ว่า ยังไม่ลืมครั้งหลังไม่ได้แต่ต้องตัดใจ
เรไรน้ำพูดตาคลอเจ็บปวดใจไม่แพ้กัน
“ขอบน้ำใจนักเสมา ฉันจะไม่ลืมเลยว่าเราเป็นมิตรเก่าแห่งกัน”
เสมาขบกรามแน่นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เพราะเรไรพูดเช่นนี้ก็เหมือนตัดใจแล้วเช่นกัน
เรไรและขันพนมมือ เสมาหยิบดอกจำปีโปรยใส่ทั้งคู่ ก่อนจะหยิบขวดน้ำอบขึ้นมา
“เดชะ ด้วยน้ำใจสัตย์จริงของข้าพระเจ้า ใคร่จักให้ขุนณรงค์แลแม่หญิง จงมีความรักยั่งยืนสืบไป แลขอให้สองท่าน บังเกิดสุขสืบไปตลอดกาลนานเถิด”
เสมาพรมน้ำอบใส่เรไรและขัน ท่ามกลางความดีใจของทุกคน ขุนรามเดชะ อำพัน ลำภู พันอิน ฯลฯ ต่างโล่งใจที่ผ่านไปด้วยดี ดวงแขมีรอยยิ้มร้ายที่มุมปาก ในที่สุดเสมาก็ตัดขาดเรไรได้ซะที
เสมาปะพรมเสร็จก็เอาน้ำอบใส่พาน แล้วคลานไปนั่งรวมกับกลุ่มแขกเหรื่อ
“ถือว่าเป็นมงคลนัก ถ้ากระนั้นก็เริ่มพิธีกันต่อเถิด” พระยาว่า
พิณเอาพานใส่มงคลมายื่นให้พระยา ขันและเรไรก้มลงหมอบรับมงคลสวมศีรษะจากพระยา พร้อมกับได้ยินเสียงฆ้องตี บอกสัญญาณฤกษ์ เสมาเห็นเรไรกำลังจะหมั้นกับชายอื่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่ก็ต้องรีบสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ละสายตาเบือนหน้าไปอีกทางเสีย
ดวงแขอมยิ้มพอใจที่เรไรหมั้นกับขันเสียได้ ความหวังของตัวเองกับเสมาคงสำเร็จได้ไม่ยากแล้ว

เสมานั่งซึมๆอยู่คนเดียวที่ชานบ้านเมื่อยามบ่าย สายตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย มั่นและจำเรียงยืนมองเสมาด้วยความเป็นห่วง มั่นจะเข้าไปหา แต่จำเรียงดึงมือพ่อไว้
“อย่าจ้ะพ่อ ให้พี่เสมาได้อยู่คนเดียวเถิด”
“ทำไมเล่า”
“พี่เสมามีจิตใจลึกซึ้งต่อแม่หญิงเรไรนัก แต่ยังทนเห็นแม่หญิงหมั้นกับชายอื่น แลไปอำนวยพรให้อีก ย่อมแสดงว่าพี่เสมาต้องการตัดแม่หญิงจากใจ เพราะแน่ใจแล้วว่าไม่อาจคืนดีกันได้ ถึงเราจะไปปลอบ ก็หาช่วยกระไรไม่ ปล่อยให้พี่เสมาอยู่คนเดียวเถิดจ้ะพ่อ”
มั่นหันไปมองเสมาแล้วถอนใจด้วยความสงสารลูก เสมามีสีหน้าเศร้าหมอง เอาแต่คิดถึงความหลังตัวเองกับเรไรตลอดเวลา

เรไรยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอน ทอดสายตามองออกนอกเรือนไปด้วยหน้าตาเศร้าหมองในตอนหัวค่ำ เรไรค่อยๆ ปล่อยน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม คิดถึงความหลังไม่ต่างจากเสมาด้วยใจที่แตกสลายเช่นกัน

ในโรงเลี้ยงช้าง เสมา และตะพุ่นคนอื่นๆกำลังขนหญ้า ขนอาหารให้ช้างกิน ขันและพุฒเดินเข้ามาหาเสมา พุฒปั้นยิ้ม
“ช่างโชคดีจริง ออตะพุ่นคนคุ้นเคยนี่เอง เจ้าเป็นผู้ดูแลพ่อพลายแสนพลพ่ายรึ”
“ขอรับ ออกขุนทั้งสองมีกระไรหรือขอรับ”
“ฉันกับขุนวิเศษได้รับคำสั่งให้มาฝึกพ่อพลายแสนพลพ่าย หากมีศึกคราหน้า จะได้ขี่พ่อพลายออกรับศึก”
“รอประเดี๋ยวนะขอรับ”
เสมาเดินเลี่ยงไป ซักพัก เสมากับตะพุ่น 2-3 คน ก็พาช้างศึกตัวสูงใหญ่เข้ามาตัวหนึ่ง
“นี่คือพ่อพลายแสนพลพ่ายขอรับ หากเทียบกับช้างรุ่นราวคราวเดียวกันนับว่ามีกำลังเป็นเอก แต่ยังต้องฝึกอีกมากนัก ออกขุนทั้งสองต้องระวังให้มากขอรับ”
“ขอบน้ำใจนักออตะพุ่น เจ้าให้พ่อพลายคุกเข่าซี ฉันกับขุนวิเศษจักได้ขึ้นขี่”
เสมากับตะพุ่นคนอื่นหันไปสั่งช้างให้คุกเข่าลงเพื่อให้ขันเหยียบขึ้นไปขี่คอ
“เจ้าเองก็คุกเข่าด้วย ฉันจะได้เหยียบหลังขึ้นไป” ขันบอก
เสมาหันมามองขันตาเขม็ง รู้ว่าขันเจตนาหยามตนเลยจงใจให้ตนคุกเข่า
“เร็วซีเจ้าตะพุ่น พวกข้ามาตามหน้าที่ เอ็งจะแกล้งชักช้าให้เสียราชการรึ” พุฒว่า
เสมาจ้องหน้าพุฒและขันตาแข็งพยายามระงับอารมณ์เต็มที่
“ข้าขออโหสิไปแล้ว พวกเอ็งจักข่มเหงต่อก็เอาเถิด เมื่อพวกเอ็งอ้างเช่นนั้น อ้ายเสมามีศักดิ์เสมอ
ทาสก็จะยอมให้ แต่ใช่เพราะกลัวเพียงแต่ไม่อยากให้เสียราชการเท่านั้น”
เสมายอมคุกเข่าลง ขันและพุฒยิ้มสะใจก่อนจะเหยียบหลังเสมาแล้วปีนขึ้นช้างไป เสมาขบกรามแน่นด้วยความแค้น แต่ก็ต้องยอมอดทน เพราะไม่มียศศักดิ์อะไรจะสู้กับขันได้เลย

ขันและพุฒเดินคุยกันด้วยอาการยิ้มแย้มสะใจ
“เป็นแค่ตะพุ่นหญ้าช้างยังจองหองนัก สาแก่ใจฉันเหลือเกิน เสียดายที่ทำได้แค่เหยียบหลังมัน”
“ขุนณรงค์ไม่ต้องกังวลไปยังมีโอกาสอีกมากนัก อีกไม่กี่วันพระพุทธเจ้าอยู่หัวจะทรงแปรพระราชฐาน พวกตะพุ่นต้องตามเสด็จเพื่อไปเลี้ยงช้าง เราคงมีทางได้เล่นงานมันอีก”
ขัน และพุฒหัวเราะสะใจ
ตะพุ่นกลุ่มหนึ่งช่วยกันขนหญ้าใส่เกวียนเดินมา สมิงมะตะเบิดซึ่งปลอมตัวเป็นตะพุ่นมองไปรอบๆ หาทางหนีทีไล่เพื่อจะวางแผนลอบปลงพระชนม์ ตะพุ่นคนหนึ่งเห็นสมิงมะตะเบิดเอาแต่มองไปรอบๆไม่ทำงานก็ว่า
“อ้าว อย่าอู้ซีวะ เพิ่งมาใหม่ก็สันหลังยาวเสียแล้วรึ”
“จ้ะๆ” สมิงมะตะเบิดรีบเข็นเกวียนต่อไม่ให้เป็นพิรุธ

ในท้องพระโรง สมเด็จพระนเรศวรกำลังออกว่าราชการ โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับนั่งอ่านฎีกาอยู่ใกล้ๆ ขุนนางจำนวนมากเข้าเฝ้า
ขุนนางคนหนึ่งกำลังอ่านรายงานถวายอยู่
“ข้าวเปลือกปีนี้ ได้มากกว่าปีกลายเท่าหนึ่ง แลภาษีก็ได้เพิ่มขึ้นทั้งที่งดเว้นภาษีบางอย่าง แสดงว่าการค้าขายวายล่อง สมบูรณ์พูนผลขึ้นทั้งทางบกทางน้ำพระพุทธเจ้าข้า”
พระเอกาทศรถแย้มสรวลอย่างพอใจ
“แผ่นดินสงบร่มเย็นจำเริญขึ้นทุกด้าน เพราะราษฎรไม่ต้องหวาดภัยข้าศึก หากเป็นเช่นนี้ไปตลอด คงน่ายินดีนักสมนามอโยธยาอันไร้ศึก”
พระนเรศวรตรัสว่า
“ยังอีกไกลนักดอก แม้อโยธยาจะเข้มแข็งกว่าแต่ก่อนมาก แต่ศัตรูยังมีอยู่ทั่วทิศ หากเราอ่อนแอลงเมื่อใดย่อมถูกโจมตีเป็นแน่”
สมเด็จพระนเรศวรตรัสกับขุนนางอีกคนว่า
“พระยายมราช เสือหมอบแมวเซาที่ไปซุ่มซ่อนในหงสาวดี รายงานมาเช่นใดบ้าง”
ขุนนางถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า นับแต่พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ แผ่นดินหงสาก็หาเป็นปกติไม่ ด้วยพระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยจนประชวรไม่ได้ออกว่าราชการบ่อยครั้ง เป็นเหตุให้ขุนนางเริ่มแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า เพื่อแสวงหาอำนาจพระพุทธเจ้าข้า”
สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถได้แต่รอเวลาที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

บริเวณสวน ภายในวัง พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงดีพระทัย
“ลูกจะช่วยสุพรรณกัลยาออกมาได้จริงรึ อย่าหลอกให้แม่ดีใจเชียวนะ”
พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงตรัสกับสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระพระเอกาทศรถ โดยมีข้าหลวงคอยรับใช้
“ลูกไม่กล้าหลอกสมเด็จแม่ดอก แต่หงสาวดียิ่งใหญ่นัก ซ้ำหนทางยังไกล หากจะเคลื่อนทัพไปรับพระพี่นางสุพรรณกัลยากลับมาก็ต้องพร้อมทุกด้านแลรอเวลาที่เหมาะควร ซึ่งก็คงอีกไม่นานแล้ว” สมเด็จพระนเรศวรตรัส
สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสว่า
“บารมีหงสาเสื่อมถอยลงทุกวัน หากแตกแยกชิงอำนาจกันเองเมื่อใด ก็เป็นเพลาที่เราจะเคลื่อนทัพ แลได้ชัยชำนะโดยง่ายพระพุทธเจ้าข้า”
“แม่ดีใจเหลือเกิน ที่เราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครา นับแต่ที่สุพรรณกัลยาต้องเสียสละองค์เองไปเป็นพระสนมแห่งพระเจ้าชำนะสิบทิศ เพื่อแลกกับการให้องค์ดำได้กลับคืนสู่อโยธยา แม่ก็คิดว่าจะไม่ได้เห็นพี่สาวของพวกลูกอีกแล้ว”
สมเด็จพระนเรศวรสีพระพักตร์มุ่งมั่นจริงจัง
“สมเด็จแม่ทรงวางพระทัยเถิด มิเพียงแต่จะรับเสด็จพระพี่นางกลับเท่านั้น แต่ลูกยังจักกู้เกียรติภูมิของอโยธยากลับคืนมาให้จงได้”
พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงยิ้มออกมาด้วยความปลื้มปิติ

ศรีเมืองกำลังสอนพวกข้าหลวงใหม่ๆร้อยมาลัยอยู่ในตำหนัก เรไรเดินเข้ามาหาศรีเมือง
“อ้าว เหตุใดแม่หญิงกลับมาเร็วนักเล่าจ๊ะ เสด็จท่านประทานอนุญาตให้พักต่อได้ไม่ใช่รึ”
เรไรเข้าไปช่วยร้อยมาลัย
“เสร็จงานหมั้นแล้ว ฉันก็ไม่รู้จะอยู่เรือนไปเพื่อกระไร สู้กลับเข้าตำหนักไม่ได้ ยังมีงานให้ทำ แม่ดวงแขเองก็กลัวว่าฉันอยู่นอกวัง แล้วไปพบเจอกับเสมาเข้าจะทำให้หมางใจกับขุนณรงค์อีก เมื่ออโหสิแก่กันแล้ว ก็อย่าได้มีเหตุใหม่อีกเลย”
ศรีเมืองหน้าเสียรูสึกไม่ค่อยสบายใจนัก พลางขยับตัวเข้ามาจะพูดกับเรไรใกล้ๆ
“แม่หญิงเรไรจ๊ะ ฉันว่าอย่าฟังแม่หญิงดวงแขให้มากนักเลยจ้ะ”
จู่ๆเสียงดวงแขก็ดังขึ้นที่ด้านของศรีเมือง
“เหตุใดฟังไม่ได้เล่า แม่ศรีเมือง”
ศรีเมืองตกใจมาก หันกลับไปเห็นดวงแขยืนถมึงทึงอยู่

ศรีเมืองเดินหลบออกมา แต่ดวงแขเดินตามและโผล่ออกมาดักหน้าไว้ เล่นเอาศรีเมืองหน้าซีดเผือด
“จะไปที่ใดรึแม่ศรีเมือง แม่ยังไม่ตอบฉันเลย ว่าเหตุใด ไม่ให้แม่เรไรฟังคำฉัน”
“ฉันก็ตอบไปแล้วนี่จ๊ะ ว่าไม่มีกระไร ฉันเพียงแต่เย้าเล่นเท่านั้น”
ดวงแขตวาดใส่หน้า
“อย่ามาปดต่อหน้าฉันคิดว่าฉันรู้ไม่เท่าทันรึ ว่าเจ้าจะบอกเรื่องฉันกับเสมาใช่หรือไม่”
ดวงแขคว้าข้อมือศรีเมือง
“ฉันเตือนแล้วว่าอย่าได้คิดเป็นศัตรูกับฉัน เมื่อยังกล้าก็คงต้องได้เห็นดีกัน”
ศรีเมืองตัวสั่นงันงก ไม่กล้าตอบโต้ดวงแขแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเอง บัวเผื่อนก็เดินเข้ามาหา
“แม่ศรีเมืองอยู่ที่นี่เอง ฉันตามหาเสียทั่ว ไหนบอกว่าจะช่วยฉันทำของหวานกระไรเล่า”
ดวงแขเห็นว่าบัวเผื่อนมาจึงไม่สะดวกที่จะเล่นงานศรีเมืองต่อ เลยหันไปถลึงตาใส่ศรีเมืองเป็นการอาฆาตก่อนจะเดินเลี่ยงไป บัวเผื่อนมองตามดวงแขแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันไปพูดกับศรีเมือง
“แม่ศรีเมืองมีกระไรจะเล่าให้ฉันฟังหรือไม่”
ศรีเมืองกระอักกระอ่วนรอดจากดวงแขก็มาเจอบัวเผื่อนอีก หนีเสือปะจระเข้แท้ๆ

บัวเผื่อนจับมือศรีเมืองพามานั่งลงที่มุมร่มรื่นของสวนในวัง
“แม่ดวงแขนี่ช่างอำพรางได้แนบเนียนนัก มีใจให้เสมาอยู่เป็นนาน แต่แม่เรไรกลับไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย” บัวเผื่อนพูดพลางหัวเราะชอบใจ
“เพราะเหตุนี้ล่ะจ้ะ ฉันจึงสงสัยนัก แม่หญิงดวงแขแสดงกิริยาหึงหวงฉันแลยังโกรธเคืองที่ฉันจะบอกแม่หญิงเรไรอีก ฉันจึงเกรงว่าจะมีกระไรปกปิดอยู่จึงอยากให้แม่หญิงเรไรรู้ตัวไว้”
“แม่ดวงแขกับแม่เรไรเป็นเพื่อนรักกันมาแต่เด็ก ต่อให้แม่ศรีเมืองไปบอกแม่เรไรก็ไม่เชื่อดอก เผลอๆจะคิดว่าแม่ศรีเมืองยุให้รำตำให้รั่วเสียด้วยซ้ำ”
“ถ้ากระนั้น ต้องทำประการใดดีเล่าจ๊ะ”
“แม่ดวงแขทะนงตนว่ามีปัญญาแลมั่งมีด้วยทรัพย์สมบัติ จึงเที่ยวดูถูกผู้อื่น ครานี้ ฉันจะสอนให้รู้เสียบ้างว่า ไม่ได้ประเสริฐแต่เฉพาะตนเองเท่านั้นดอก” บัวเผื่อนสะแหยะยิ้มอย่างมีแผนการ

ภายในห้องพัก ดวงแขเปิดประตูเข้าห้องพักมาแล้วปิดประตูลง ทันใดนั้น ดวงแขก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนพื้น ดวงแขแปลกใจเลยหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู เป็นจดหมายของเสมา... ดวงแขอ่านจดหมายไปอย่างตั้งใจ
“ข้าพระเจ้าทราบว่าแม่หญิงต้องกลับเข้าวัง มิรู้ว่าเมื่อใดจะได้ออกมาจึงทุกข์ใจนัก เพราะหวั่นว่าจะไม่ได้เจอแม่หญิงอีกนานวัน ขอให้แม่หญิงได้โปรดเมตตาออกมาให้ข้าพระเจ้าได้พบเห็นหน้าเพียงสักครู่ที่ประตูท้ายวังคืนนี้ หากแม่หญิงมีเมตตา ทุกข์ของข้าพระเจ้าคงเบาลงได้”
“อยู่ถึงตำหนักใน ยังกล้าลอบเข้ามาอีกรึ” ดวงแขพูดพึมพำอย่างปลาบปลื้มพลางยิ้มเอียงอายอยู่ไปมา

ในเวลากลางคืน ดวงแขเดินอย่างระมัดระวัง คอยดูอย่างระแวดระวังไปจนมาถึงท้ายวัง ขณะนั้นเองก็มีมือคู่หนึ่งเข้ามาโอบเอวดวงแขไว้ ดวงแขตกใจ แต่ซักพักก็เขินอายไม่ได้ว่าอะไร ดวงแขคิดว่าเป็นเสมา ที่แท้เป็นพุฒ
“ข้าพระเจ้าดีใจนักที่แม่หญิงให้ข้าพระเจ้ามาพบคืนนี้”
ดวงแขตกใจสุดๆที่ได้ยินเสียงพุฒ เลยรีบสะบัดตัวหลุดออกมา พอเห็นหน้าพุฒชัดๆก็โกรธขึ้นมาทันที
“นี่ถึงกับกล้าหลอกลวงฉันให้มาพบเชียวรึ ครานี้ท่านได้โทษหนักเป็นแน่ ให้สมกับที่ล่วงเกินฝ่ายในอย่างฉัน”
“หลอกลวงกระไร แม่หญิงให้คนถือจดหมายเรียกข้าพระเจ้ามาพบไม่ใช่รึ”
“มุสาแล้ว ฉันเกลียดท่านเหมือนจะตาย เรื่องกระไรจะเรียกมาพบ ที่ฉันมาเพราะนึกว่าเป็นเสมาต่างหาก”
ดวงแขชะงักที่เผลอตัวพลั้งปากไปด้วยความโกรธ
“นี่ใฝ่ต่ำ ถึงขนาดออกมาหาอ้ายตะพุ่นกลางค่ำกลางคืนเชียวรึ งามหน้านักแม่หญิงชาววัง”
“แล้วจะทำไม ในเมื่อฉันรักเสมา รักมานานแล้วด้วย แม้เสมาจะตกต่ำไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง แต่ก็ยังดีกว่าขุนเยี่ยงท่านมากนัก”
“ไร้ยางอาย มิน่าเล่า จึงได้คิดแผนใส่ความอ้ายเสมา จนมันผิดใจกับแม่หญิงเรไรเพื่อจะแย่งมันมา เสียทีเกิดเป็นลูกชาติลูกตระกูล แต่คิดใฝ่ต่ำทำได้ชั่วนัก”
“นี่พี่ขันเล่าให้ฟังรึ ใช่ ฉันวางแผนเพื่อแย่งชิงเสมา แล้วมีกระไร ถ้าอยากบอกก็บอกเลย ไม่มีผู้ใดเชื่อคนน้ำใจคดเช่นท่านดอก”
ขณะนั้นเอง เรไรและบัวเผื่อนก็เดินออกมาจากที่ซ่อน เรไรสีหน้านิ่งๆ แต่แววตาแข็งกร้าว
“ไม่มีผู้ใดเชื่อขุนวิเศษ แต่ฉันเชื่อคำที่ออกจากปากแม่ดวงแข”
ดวงแขตกใจสุดๆไม่คิดว่าเรไรและบัวเผื่อนจะมาอยู่ที่นี่ ในขณะที่พุฒก็ตกใจที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ บัวเผื่อนได้ทียิ้มเยาะ
“แต่แรกตั้งใจให้แม่เรไรได้รู้หัวใจคดของเพื่อนรัก ไม่คิดเลยเชียวว่าจักเกินคาดถึงเพียงนี้”
เรไรมองดวงแขด้วยสายตาโกรธเคือง ผิดหวังและเสียใจ ในขณะที่ดวงแขกลัวและละอายจนไม่กล้าสู้ตาเรไร
เรไรสะบัดหน้าเดินฉับๆ รับไม่ได้ ทั้งผิดหวังและเสียใจที่เสียรู้เพื่อน
 
อ่านต่อหน้า ๒
 





ขุนศึก ตอนที่ ๑๑ (ต่อ) 

ภายในตำหนัก บัวเผื่อนกำลังคุยกับศรีเมืองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสะใจในเช้าวันใหม่

“ ไม่นึกเล๊ย ขนาดเป็นมิตรกันมาแต่เล็กแต่น้อยจะทำกันได้ลงคอ แม่ดวงแขก็ช่างกระไรเลย ยามแย้มยิ้มกลับซ่อนมีดไว้ข้างหลังเสียนี่”
“ แล้วเช่นนี้จะไม่เป็นว่าเรายุแยงให้พวกเค้าแตกกันหรือจ๊ะ แม่หญิงบัวเผื่อน”
“อ้าว ก็แม่ศรีเมืองบอกเองไม่ใช่รึ ว่าอยากให้แม่เรไรรู้ไว้ จะได้ระวังตัว”
“ แต่ฉันไม่คิดว่าจะเลยเถิดถึงเพียงนี้ แลนึกไม่ถึงว่าแม่หญิงดวงแขจักเจ้าแผนการเช่นนี้ด้วย”
บัวเผื่อนหัวเราะสะใจแล้วว่า
“แม่นี่ช่างเยาว์นัก หากอยากให้แม่เรไรระวังตัว ก็มีแต่ต้องให้เห็นน้ำใจแม่ดวงแขเท่านั้น แลการเลยเถิดก็หาใช่เพราะเราไม่ แต่ด้วยใจแม่ดวงแขร้ายกาจเอง อ้อ แล้วยังคนใกล้ตัวแม่เรไรอีก หากไม่ร่วมมือกัน มีรึ แผนการแม่ดวงแขจะสำเร็จ”
ศรีเมืองหน้านิ่งคิดตามที่บัวเผื่อนพูด ก็ยอมรับว่าบัวเผื่อนพูดก็ถูก บัวเผื่อนยิ้มเล็กยิ้มน้อยสะใจเหลือเกิน

ภายในบ้านหลวงรามเดชะ เรไรกำลังร้องไห้เสียใจไม่คิดว่าพ่อจะหลอกตนได้ ในขณะที่ลำภูและหลวงรามเดชะก็เครียดหนักที่ลูกรู้ความจริง
“ อย่าร้องไห้อีกเลยแม่เรไร ที่พ่อเจ้าทำไปก็เพราะหวังดีต่อลูกนะ” ลำภูว่า
เรไรเอาแต่ร้องไห้
“หวังดีด้วยการหลอกลูกจนลูกเข้าใจเสมาผิดเป็นเหตุให้ต้องตัดขาดกันนี่หรือเจ้าคะ”
“แม้จักผิดที่หลอกลวง แต่คุณก็ตกอยู่แก่ลูกมิใช่หรือ ตรองดูเถิด อ้ายเสมาเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้างไปแล้ว หากลูกออกเรือนไปกับมันจะไม่อับอายจนแทรกแผ่นดินหนีรึ”
“ อับอายที่ไร้ยศศักดิ์ ยังดีเสียกว่าออกเรือนกับคนเจ้าเล่ห์สามานย์เยี่ยงขุนณรงค์ พ่อแม่ท่านห่วงแต่ยศศักดิ์จนทำได้แม้แต่ส่งลูกเข้าปากเสือหรือเจ้าคะ”
“แต่...”
“พอเถิดแม่ลำภู เมื่อแม่เรไรตำหนิฉันถึงเพียงนี้ก็ไม่ต้องพูดกระไรกันอีก เมื่อลูกเห็นอ้ายตะพุ่นดีกว่าพ่อแม่ก็ให้ถอนหมั้นกับขุนณรงค์เสีย แล้วไปอยู่กับอ้ายเสมาให้สมใจเถิด” หลวงรามเดชะพูดตัดบท
เรไรน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาท่วมตา
“ แต่งานหมั้นมีแขกเหรื่อมากโข ล้วนแต่เป็นขุนนางท้าวพระยาทั้งสิ้น หากถอนหมั้นแล้วฉันกับคุณหลวงจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดเล่า”
หลวงรามเดชะน้ำตาคลอ ขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจ
“จะไว้ที่ใดก็หาสำคัญไม่ ในเมื่อลูกคนเดียวมันรักผู้ชายมากกว่าพ่อแม่ ก็ปล่อยให้มันทำลายศักดิ์ตระกูลไปเสียเลย หากแม่ลำภูทนอับอายไม่ได้ก็กลั้นใจตายเถิด ต่อไปจะได้ไม่มีผู้ใดขัดขวางลูกมันอีก”
เรไรร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก
“พ่อท่าน ...”
แม้เรไรจะเสียใจแค่ไหน แต่ต้องเลือกพ่อแม่อยู่ดีแก้ไขอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินร้องไห้หนีไป

เวลาผ่านไป เจ็ดแปดวัน สมเด็จพระนเรศวรทรงเสด็จประพาสป่าพักผ่อน หลังจากที่ทำสงครามและว่าราชการมานาน ทรงประทับอยู่ในกระโจมเล็กๆทรงอ่านรายงานที่เหล่าขุนนางทูลถวาย โดยมีขุนนางเข้าเฝ้ามากมาย สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จเข้าไปหาสมเด็จพระนเรศวร
พระเอกาทศรถแย้มพระสรวลแล้วตรัสขึ้น
“เสด็จมาพักผ่อนถึงในป่าดงแล้ว ยังทรงงานอีกรึสมเด็จพี่”
“ งานราชการแผ่นดินมีมากนัก ถึงจักมาเที่ยวเล่น พี่ก็อดห่วงไม่ได้ดอก แล้วน้องเล่าไปที่ใดมา”
“ข้าพระพุทธเจ้าไปตรวจตราทางน้ำพระพุทธเจ้าข้า ด้วยมีฎีการ้องมาว่าคูคลองแถบนี้คดเคี้ยวนัก สัญจรไปมายากเหลือ เมื่อไปเห็นก็สมจริงดังว่า จึงสั่งให้เกณฑ์คนขุดลอกคูคลองขึ้นใหม่แล้วพระพุทธเจ้าข้า”
“ น้องก็มาพักผ่อนไม่ใช่รึ ยังอดสั่งงานราชการไม่ได้อีก”
สมเด็จพระนเรศวร และ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระสรวลขึ้นพร้อมกัน สืบเนื่องจากงานราชการมีมาก ไม่ใช่แค่ศึกสงคราม แม้แต่งานปกครองก็สำคัญไม่แพ้กันจนแทบไม่มีเวลาพักเลย
สมิงมะตะเบิดปลอมตัวเป็นตะพุ่นหญ้าช้างแอบซุ่มดูพระนเรศวรอยู่ เพื่อรอคอยจังหวะลอบปลงพระชนม์ ขณะนั้นเองก็มีทหารคนหนึ่งเดินเวรยามผ่านมา เมื่อเห็นสมิงมะตะเบิดจึงตวาดขึ้น
“เฮ้ย เอ็งเป็นตะพุ่นไม่ใช่รึ มาทำกระไรที่นี่ ไปเชียว อยากหัวขาดหรือไร”
สมิงมะตะเบิดรีบเดินเลี่ยงไป เวรยามแน่นหนายังหาโอกาสลอบปลงพระชนม์ไม่ได้

มุมหนึ่งในป่า ขันและพุฒกำลังให้ทหารเฆี่ยนตีพวกตะพุ่นจนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดหวาดกลัว เสมา สิน และสมบุญรีบเข้ามาห้ามด้วยหน้าตาตื่นตกใจหันไปพูดกับขัน
“หยุดประเดี๋ยวนี้ เหตุใดต้องเฆี่ยนตีกันด้วย ออตะพุ่นเหล่านี้ไปทำกระไรผิดรึ”
“เอ็งมีศักดิ์กระไรถึงได้มาถามข้า ข้าได้รับคำสั่งให้ดูแลช้างม้าในครานี้ ผู้ใดที่ข้าเห็นว่าผิด ข้าก็ลงโทษได้ทั้งสิ้นแม้แต่เอ็ง อ้ายเสมา” ขันตะคอกใส่แล้วชี้หน้าเสมา
“เอาซีวะ ผู้ใดจะลงโทษพี่เสมาก็ก้าวออกมาให้ข้าดูหน้าเสียหน่อยเถิด” สินบอก
พุฒตวาดชึ้น
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็งอ้ายพันทิพ เอ็งเป็นทหารมียศศักดิ์ อย่ามาเที่ยวออกรับแทนพวกตะพุ่นต่ำช้าเช่นนี้”
“แล้วตะพุ่นไม่ใช่คนหรือไร เมื่อออกขุนดูถูกว่าต่ำช้าก็อย่าขี่ช้างที่พวกตะพุ่นหาหญ้าให้กินซี” สมบุญว่า
ขันและพุฒตั้งท่าจะเถียงอีกแต่เสมารีบขัดขึ้นก่อนเพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย
“ออกขุนทั้งสอง หากมีเรื่องใดให้ออกขุนโกรธเคือง ฉันขอขมาแทนเหล่าตะพุ่นด้วยเถิด” เสมากลั้นใจยกมือไหว้ขันและพุฒ
สิน และสมบุญตกใจคิดไม่ถึงว่าเสมาจะยอมไหว้ ขันหัวเราะชอบใจ
“เมื่อถึงขั้นพนมมือไหว้กันเช่นนี้ ข้าก็จักให้ทานสักครั้งก็แล้วกัน”
ขันและพุฒเดินหัวเราะเลี่ยงไปพร้อมด้วยเหล่าทหาร สินนึกเจ็บใจ
“พี่เสมาไปไหว้มันทำไมกัน มันจงใจหาเรื่อง ดูไม่ออกเทียวรึ”
เสมาหันไปพูดกับพวกตะพุ่น
“ไปใส่ยาทำแผลก่อนเถิด งานทางนี้ฉันทำแทนเอง”
พวกตะพุ่นไหว้ขอบคุณเสมาก่อนจะพากันเดินเลี่ยงไป เสมาหันมาพูดกับสิน
“เพราะข้ารู้ว่ามันจงใจ ข้าถึงต้องเลี่ยงเพื่อไม่ให้หลงกลติดกับดักมัน”
สมบุญหงุดหงิด
“แต่พี่ก็ไม่ควรต้องยกมือไหว้ให้เสียศักดิ์”
“ หากเป็นเมื่อก่อน ข้าคงเลือกสู้มากกว่ายอมขมา แต่หลังจากที่ข้าตกต่ำเป็นตะพุ่นครานี้ ข้าจึงรู้ว่า บางคราก็ต้องรู้จักถอยให้เป็นการยอม ไม่ใช่การเสียศักดิ์แต่เป็นการอดทนเพื่อรอเพลาเอาคืนต่างหากเล่า”
สินและสมบุญหันสบตากันเริ่มเข้าใจความคิดของเสมา เสมาพยายามสะกดความเจ็บแค้นใจเอาไว้เพื่อรอวันเอาคืน

การประพาสป่าในครั้งนี้ มีบรรดาข้าหลวง มหาดเล็กตามเสด็จมารับใช้ด้วย เหตุนี้... เรไร ศรีเมือง บัวเผื่อนจึงต้องมากำลังช่วยกันจัดสำรับอาหาร จัดดอกไม้ ฯลฯ
ดวงแขเดินเข้ามาในกระโจม เรไรหันกลับไปเจอดวงแข ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันแต่มึนตึงไม่พูดจากัน ดวงแขเดินเลี่ยงไปหาบัวเผื่อน
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงอ่านฎีกาเสร็จเมื่อใด จะทรงช้างประพาสป่า แม่บัวเผื่อนตระเตรียมเหล่าข้าหลวงไปถวายรับใช้ด้วยล่ะ”
บัวเผื่อนแสร้งตีหน้าตายพลางว่า
“มาบอกกระไรฉัน หน้าที่แม่เรไรไม่ใช่รึ เหตุใดไม่พูดกับแม่เรไรเองเล่า”
ดวงแขถลึงตาใส่บัวเผื่อนที่จงใจแกล้งประชด บัวเผื่อนแกล้งยั่วต่อ
“เอ๊ะ มาถลึงตาใส่ฉันทำกระไร ฉันเพียงแต่บอกให้ไปพูดกับแม่เรไรเพียงนั้น หรือแม่ดวงแขไม่กล้า” บัวเผื่อนพูดพลางยิ้มเยาะ
“ เหตุใดฉันจะไม่กล้า แม่บัวเผื่อนไม่ต้องยุแยงเพื่อให้เห็นเป็นสนุก ฉันหาได้กระทำผิดใดไม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายแม่เรไรก็เห็นดีกับฉันทุกคน ไม่เชื่อก็ไปถามซี”
เรไรหันมาจ้องดวงแขเขม็งพยายามคุมอารมณ์ไว้
“ไม่ต้องถามดอกแม่บัวเผื่อน ฝ่ายที่ผิดคือฉันเอง ผิดตั้งแต่ไว้ใจไม่เคยนึกเฉลียวว่า มิตรรักที่เห็นกันมาแต่เกิด จะคิดคดหักหลังกันได้ลงคอ”
ดวงแขหันมามองหน้าเรไรก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไปไม่ยอมรับผิดที่ทำไว้ บัวเผื่อนยิ้มเยาะอย่างสะใจที่เสี้ยมให้ตีกันได้ ศรีเมืองเห็นและได้ฟังเรื่องราวก็ถอนใจ เดินเข้าไปพูดกับเรไร
“ประเดี๋ยวฉันไปถวายรับใช้เองก็ได้จ้ะ แม่หญิงจะได้ไม่ต้องพบเจอกับแม่หญิงดวงแขให้ลำบากใจ”
“ไม่ต้องดอก เป็นหน้าที่ฉัน แล้วฉันก็หาใช่ฝ่ายผิดไม่ เหตุใดต้องหลบหน้าด้วย”
เรไรเดินเลี่ยงออกไป ทิฐิแรงไม่แพ้ดวงแขเหมือนกัน บัวเผื่อนตบตักฉาดอย่างถูกใจ ศรีเมืองเหล่มองบัวเผื่อนพร้อมทิ้งค้อนให้อีกขวับ

บรรดาทหาร ข้าหลวง ต่างคุกเข่าตั้งแถวรอรับเสด็จมาทรงช้างโดยสิน และสมบุญอยู่รวมกันกับพวกทหาร ฝ่ายเรไร และดวงแขอยู่รวมกันกับกลุ่มข้าหลวง ทั้งคู่แอบเหล่ตามองกัน ขณะที่เสมาอยู่รวมกับควาญช้าง ตะพุ่น และเหล่าทาส เพื่อเตรียมช้างให้สมเด็จพระนเรศวรประทับ
ในบรรดากลุ่มตะพุ่นมีสมิงมะตะเบิดร่วมอยู่ด้วย ในขณะที่ทหารพม่าคนอื่นๆปลอมตัวเป็นทาส
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จมาโดยมีขัน และพุฒตามเสด็จมาด้วย พอสมเด็จพระนเรศวรเดินมาถึงช้างทรง ขันกับพุฒและพวกที่ตามเสด็จก็นั่งคุกเข่าลง
สมเด็จพระนเรศวรยิ้มพอพระทัยกับช้างเชือกนี้
“นี่รึ พลายแสนพลพ่ายลักษณะดีนัก ภายหน้าต้องได้เป็นช้างศึกสำคัญเป็นแน่”
ขันถวายบังคมและกราบทูลว่า
“ขอเดชะ แม้พ่อพลายแสนพลพ่ายจักมีลักษณะดี แต่ก็ดื้อดึงนัก คงต้องฝึกอีกมากพระพุทธเจ้าข้า”
พระนเรศวรแย้มสรวลแล้วตรัสว่า
“ ช้างม้าดีก็ต้องพยศเช่นนี้หล่ะ ไปกันเถิด ข้าได้แต่นั่งช้างออกศึก ไม่ได้นั่งช้างชมป่ามานานหนักหนาแล้ว”
เสมาและพวกตะพุ่น ควาญช้างรีบเข้าไปถวายรับใช้ โดยมีสมิงมะตะเบิดเข้าไปช่วยอีกคน
สมิงมะตะเบิดดึงขอสับช้างซึ่งเหน็บไว้ที่เอวออกมา พอได้โอกาส สมิงมะตะเบิดก็พุ่งเข้าประชิดตัวสมเด็จพระนเรศวรกะใช้ขอสับช้างปลงพระชนม์ในระยะประชิด แต่เสมาไวกว่า พอเห็นสมิงมะตะเบิดพุ่งตัวเข้ามาก็รีบพุ่งตัวเข้ามาขวางทันที เสมาตะโกนลั่น
“ระวังองค์”
เสมาเข้าขวางได้ทันแต่ก็ถูกขอสับช้างฟันเข้าที่หัวไหล่จนเลือดสาด พุฒตกใจแล้วสั่งเสียงดัง
“กบฏ รีบอารักขาพระพุทธเจ้าอยู่หัว”
พุฒและเหล่าทหารรีบล้อมสมเด็จพระนเรศวรไว้ทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาทำร้าย ในขณะที่สมิงมะตะเบิดเมื่อลงมือพลาดไปแล้วก็คิดจะบุกเข้าไปซ้ำ แต่ขันก็ชักดาบเข้ามาฟันใส่สมิงมะตะเบิดก่อน ทั้งคู่เลยต่อสู้กันอย่างดุเดือด พวกทหารพม่าที่ปลอมตัวเป็นทาส ต่างชักอาวุธออกมาฆ่าพวกทหารไทย แล้วก่อความวุ่นวาย ปล่อยช้าง ปล่อยม้าจนโกลาหลวุ่นวายไปหมด
สิน และสมบุญก็คุมทหารเข้าต่อสู้กับพวกทหารพม่าทันที
พวกข้าหลวงไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ก็กรีดร้องวิ่งหนีด้วยความกลัว จนทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้นไปอีก เพราะสับสนวุ่นวายไปหมด
ดวงแขห่วงเสมาสุดๆ รีบวิ่งเข้ามาหาเสมาก่อน
“เสมา เป็นกระไรบ้าง”
เสมามองหาเรไร เห็นเรไรอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่ทหารไทย-พม่าสู้รบกัน ข้าหลวงก็เอาแต่กรีดร้องวิ่งหนี จนบางคนก็ถูกลูกหลงโดนฆ่าตาย
เรไรหวาดกลัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสถานการณ์วุ่นวายยุ่งเหยิงไปหมด
ในขณะนั้นเอง สมิงมะตะเบิดใช้เพลงมวยเล่นงานขันจนร่วงไป ก่อนจะไปคว้าข้อมือเรไรที่อยู่ใกล้ที่สุดไปด้วย ขันวิ่งเข้าไปหมายจะชิงตัวเรไรคืน แต่สมิงมะเบิดก็ใช้เรไรเป็นโล่มนุษย์ทำเอาขันชะงักไป
“แม่หญิง”
สมิงมะตะเบิดฉวยโอกาสต่อยขันจนล้มคว่ำไปอีก
สมิงมะตะเบิดลากเรไรไปขึ้นม้าแล้วขึ้นขี่ม้าหนีไป เสมาตกใจสุดๆจะเข้าไปช่วย แต่ดวงแขรีบห้ามไว้
“แม่หญิงเรไร”
“อย่าเสมา บาดเจ็บเช่นนี้ห่วงตัวเองก่อนเถิด”
เสมาปัดมือดวงแขออกแล้วรีบวิ่งไปหยิบธนูพร้อมลูกศรที่ตกอยู่กับพื้นของทหารคนอื่นที่ทำตกอยู่ติดตัวไป พร้อมกับขึ้นขี่ม้าที่อยู่ใกล้ๆตามไปทันที
ดวงแขเจ็บใจที่เสมาตามเรไรไปได้แต่มองตามด้วยความแค้นใจ

สมิงมะตะเบิดขี่ม้าพาเรไรหนี โดยมีกลุ่มทหารพม่าควบม้าตามหลังมาด้วย เสมาสะพายธนูควบม้าตามไปอย่างไม่ลดละ
สมิงมะตะเบิดกับพวกควบม้ามาจนถึงทางแยก เลยหยุดดูทิศทางครู่นึง ก่อนจะควบม้าไปตามทางหนีตามวางแผนไว้
จังหวะนั้นเอง เรไรก็แอบฉีกชายผ้าโยนทิ้งไว้ข้างทางเป็นสัญลักษณ์ให้คนที่ตามมาช่วยจะได้ตามถูกทาง
ผ่านเวลาเพียงครู่ เสมาหยิบเศษผ้าที่เรไรทิ้งไว้ขึ้นมาดูอย่างละเอียด พอจะเดาได้ว่า เรไรจงใจทิ้งเอาไว้ เลยรีบควบม้าตามไปทันที

เวลาต่อมา สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับยืนอยู่ในกระโจม มีสมเด็จพระเอกาทศรถ ประทับอยู่ใกล้ๆ โดยมีหลวงรามเดชะ พันอิน ขัน พุฒ สิน สมบุญ และเหล่าขุนนางพากันเข้าเฝ้า ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มงวดของทหารจำนวนมาก
สมเด็จพระนเรศวรตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงเคร่งเครียด
“นี่ไม่ใช่คราแรก ที่เราโดนลอบสังหาร แต่ครานี้พวกมันเหิมเกริมนัก กล้าบุกเข้ามาถึงชานพระนคร ย่อมแสดงว่า อโยธยายังไม่ปลอดภัยจากเสี้ยนศึกศัตรูเสียทีเดียว”
พันอินถวายบังคมทูลว่า
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า เป็นเพราะพวกข้าพระพุทธเจ้าถวายอารักขาบกพร่อง ขอจงทรงลงพระอาญาด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
“พวกมือสังหารปลอมตัวเป็นทาสแลตะพุ่นปะปนเข้ามา ยากจะโทษว่าพวกเจ้า เพราะหลายปีมานี่อโยธยาแผ่ขยายอาณาเขต มีคนต่างบ้านต่างเมืองเข้ามามากมาย ยากที่จะรู้ว่าเป็นผู้ใดบ้าง รอเรากลับเข้าวังก่อน แล้วค่อยหาทางป้องกันอีกที”
สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสว่า
“แต่ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่วางใจนักเกรงว่า พวกมือสังหารอาจจักปลอมตัวปะปนอยู่ ขอสมเด็จพี่รีบเสด็จกลับเข้าวังเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“แล้วเหตุทางนี้เล่า มีผู้คนตายแลช้างม้ายังเตลิดหนีไปไม่น้อย อีกทั้งบุตรีหลวงรามเดชะยังถูกจับตัวไปอีก”
ขุนรามเดชะถวายบังคมทูลว่า
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยพระพุทธเจ้าข้า แต่ข้าพระพุทธเจ้าขอจัดการเรื่องราวทางนี้เอง อย่าทรงกังวลเลยพระพุทธเจ้าข้า”
สมเด็จพระนเรศวรพยักพระพักตร์รับ
“เมื่อเจ้ายืนยันเช่นนั้นก็ตามใจเถิด”
สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จออกจากกระโจมไป
“แม่หญิงเรไรถูกจับตัวไปเช่นนี้แล้วจะตามพบรึ” ขันว่า
“เผื่อใจไว้บ้างเถิด พวกมันหลบหนีรวดเร็วแสดงว่าวางแผนล่วงหน้ามาอย่างดีแล้ว คงยากที่จะตามเจอ” พุฒบอก
สมบุญยิ้มเยาะ
“ก็ไม่แน่นักดอก พี่เสมาตามไปด้วยตนเองอาจจะพาแม่หญิงเรไรกลับมาก็เป็นได้”
“เป็นถึงคู่หมั้นแต่ไม่มีปัญญาปกป้อง ต้องยืมมือตะพุ่นหญ้าช้าง” สินว่า
สิน และสมบุญหัวเราะเยาะ ขันจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่พุฒรีบดึงมือห้ามไว้เพราะไม่อยากมีเรื่องตอนนี้ ขุนรามเดชะสีหน้าเคร่งเครียด เป็นห่วงเรไรที่สุด

ในป่า … สมิงมะตะเบิดกับเหล่าทหารพม่ากำลังกินน้ำในลำธาร โดยมีเรไรนั่งอยู่ใกล้ๆด้วยท่าทางหวาดกลัว ทหารคนหนึ่งหันไปมองเรไร
“มาไกลพอควรแล้วฆ่านังนี่ทิ้งเสียเถิด เป็นเพราะเอามันมาด้วยจึงหนีได้ช้านัก”
“ที่ข้านำนางมาเพราะดูจากการแต่งกายแล้วคงมีศักดิ์สูงในฝ่ายใน แลตอนต่อสู้ ข้าใช้นางเป็นโล่ อ้ายทหารอโยธยาคนนั้นกลับไม่กล้าทำกระไรแสดงว่านางคงสำคัญไม่น้อย ข้าจึงนำนางมาเผื่อใช้เป็นตัวประกันได้” สมิงมะตะเบิดว่า
ทหารอีกคนเดินเข้ามากะลิ้มกะเหลี่ยหาเรไรพลางจะปลุกปล้ำ
“ใช้เป็นตัวประกันอย่างเดียวก็น่าเสียดาย ให้ข้าได้ลิ้มรสสตรีอโยธยาสักหน่อยเถิด”
เรไรร้องลั่นด้วยความกลัวและพยายามสู้ปัดป้องเต็มที่
“อย่าเข้ามานะ”
“หยุดประเดี๋ยวนี้ ศักดิ์ศรีทหารสังกัดแห่งข้า แม้จะฆ่าคนแต่ไม่ย่ำยีสตรีเพศ” สมิงมะตะเบิดดุใส่
ทหารทั้งสองคนไม่ฟังคำทัดทานเพราะหักห้ามใจไม่ไหวจึงปลุกปล้ำเรไรต่อ เรไรกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พวกทหารคนอื่นๆต่างยืนดูแล้วยิ้มขำเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ
ทันใดนั้น สมิงมะตะเบิดก็ชักมีดสั้นออกมาแล้วปาปักแทงทะลุหัวใจขาดใจตายทันทีท่ามกลางความตกใจของทุกคน เรไรดังนั้นก็กรีดร้องสุดเสียงด้วยความกลัวจับใจ
สมิงมะตะเบิดเหล่ไปทางทหารคนอื่น ทุกคนกลัวจนหน้าซีดไม่มีใครกล้าหือซักคน เรไรถอยกรูดกอดกระชับตัวให้มิดชิดสีหน้าหวาดกลัวที่สุดในชีวิต

ภายในกระโจมนางข้าหลวง บัวเผื่อน ศรีเมือง และข้าหลวงคนอื่นกำลังช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อตามเสด็จกลับ มีแต่ดวงแขที่ยืนหน้าเครียดโดยไม่ทำอะไร เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่เสมาตามไปช่วยเรไร บัวเผื่อนเก็บของไป บ่นไป
“เพิ่งจัดของได้ไม่ทันไร ก็ต้องเก็บกลับเสียอีกแล้ว”
“ก็ยังดีกว่าเสี่ยงภัยเป็นไหนๆ แม่หญิงไม่เห็นรึว่า มีทั้งตายแลบาดเจ็บ ช่างน่ากลัวนัก” ศรีเมืองว่า
“แล้วแม่ดวงแขไม่เก็บของรึ อีกไม่นาน พระพุทธเจ้าอยู่หัวก็จะเสด็จกลับแล้ว” บัวเผื่อนพูดพลางหันไปมองดวงแข
ดวงแขหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ ฉันไม่มีข้าวของกระไรดอก แม่บัวเผื่อนเก็บข้าวของตนไปเถิด”
ศรีเมืองเห็นท่าทางดวงแขหงุดหงิดก็แปลกใจหันไปกระซิบถามบัวเผื่อน
“แม่ดวงแขโกรธกระไรรึ แม่หญิงบัวเผื่อน”
บัวเผื่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ จงใจพูดให้ดวงแขได้ยิน
“ไม่ได้โกรธดอก แต่คงห่วงใยแม่เรไรน่ะ ที่จริงก็ไม่ต้องอาทรร้อนใจดอก เสมาตามไปช่วยทั้งคน อย่างไรเสีย แม่เรไรก็ต้องปลอดภัยทั้งกายแลทั้งใจ” พูดแล้ว บัวเผื่อนก็ขำๆเยาะหยันดวงแข
ดวงแขหันมามองบัวเผื่อนตาเขียวปั้ด ก่อนจะสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป บัวเผื่อนหัวเราะเยาะตามหลัง ศรีเมืองมองบัวเผื่อนแล้วก็ถอนใจส่ายหน้าพลางคิดว่า นิสัยของบัวเผื่อนนี่ช่างคบยากจริงๆ

ในป่ายามเย็น สมิงมะตะเบิดควบม้าพาเรไรพร้อมกับพวกทหารพม่า ทันใดนั้นก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้าปักอกทหารพม่าคนหนึ่งจนขาดใจตายคาหลังม้าทันที พวกสมิงมะตะเบิดตกใจคาดไม่ถึง
สมิงมะตะเบิดตั้งสติรีบตะโกนสั่ง
“รีบลงจากหลังม้า หาที่ซ่อนเร็ว”
สมิงมะตะเบิดรีบพาเรไรลงจากหลังม้าแล้วหาที่ซ่อนเช่นเดียวกับพวกทหารพม่า ฝ่ายเสมาใช้ต้นไม้เป็นที่ซ่อนตัว แล้วดักเล่นงานพวกสมิงมะตะเบิดทีละคนจนตายไปด้วยลูกธนู
ทหารคนหนึ่งเห็นเพื่อนตายไปจึงหันไปเห็นสีมาเข้าพอดี
“มันอยู่โน่น”
พวกทหารพม่ารีบกรูกันเข้าไปเพื่อหมายจะฆ่าเสมา แต่พอไปถึง เสมาก็หายตัวไปแล้ว พวกทหารพม่าพากันมองหาเสมา ลูกธนูของเสมาก็ยิงลงมาจากต้นไม้ใส่ทหารพม่าตายไปอีกคน ทุกคนตกใจพอเงยหน้ามองขึ้นไป เสมาอยู่บนต้นไม้ก่อนจะกระโดดลงมา ใช้คันธนูฟาดเข้าใส่ทหารพม่าที่รุมกันเข้ามา เสมาใช้แม่ไม้มวยไทยเข้าต่อสู้ เพียงไม่นานก็แย่งดาบจากทหารพม่าคนหนึ่งได้ แล้วไล่ฆ่าทหารพม่าตายจนหมดทุกคน
“เสมา”
เสมาหันกลับไปตามเสียงเห็นสมิงมะตะเบิดกำลังจับข้อมือเรไรอยู่ห่างออกไปพอสมควร เสมาเดินเข้าไปหาแล้วบอก
“ปล่อยแม่หญิงเสีย หากเอ็งเป็นชายจริงก็อย่าใช้สตรีเป็นตัวประกัน”
สมิงมะตะเบิดมองไปรอบๆแล้วถาม
“เอ็งมาคนเดียวรึ”
“แน่แล้ว”
สมิงมะตะเบิดยิ้มเล็กน้อย
“หากเช่นนั้น ข้าจะเห็นแก่ความกล้าของเอ็ง”
สมิงมะตะเบิดยอมปล่อยตัวเรไร แม่หญิงเรไรรีบวิ่งไปหลบไปคอยดูเสมาด้วยความห่วงใย สมิงมะตะเบิดตั้งท่าสู้ด้วยมือเปล่า เสมาก็โยนอาวุธทิ้งไป แล้วตั้งท่ามวยไทยเข้าสู้ ทั้งคู่ย่างสามขุมเข้าหากันพอได้ระยะก็สู้กันอย่างดุเดือดทันที ทั้งคู่ฝีมือสูสีกันมาก ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกรับอย่างรวดเร็ว ดุเดือด พอใครโดนเข้าไป ก็เอาคืนได้ทันควัน ชนิดไม่มีใครยอมใคร
สมิงมะตะเบิดได้จังหวะก็เตะเข้าใส่ที่หัวไหล่เสมาที่โดนขอสับช้างฟัน เสมาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนกัดฟันจะเอาคืน สมิงมะตะเบิดเห็นจุดอ่อนของผู้ต่อสู้เลยเตะต่อยซ้ำไปที่แผลเสมา จนเสมาเลือดไหลโชก เจ็บปวดจนต้องล่าถอยไม่เป็นกระบวน
เรไรลุ้นใจเต้นไม่เป็นระส่ำด้วยความเป็นห่วงเสมา เสมาพลิกตัวหลบออกไปแล้วหยิบธนูขึ้นมายิงใส่สมิงมะตะเบิด แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้กำลังแขนของเสมาลดลงไป สมิงมะตะเบิดเลยคว้าลูกศรที่ยิงมาไว้ได้อย่างง่ายดาย อาการบาดเจ็บที่แขนเสมารุนแรงหนักขึ้นจนเสมาต้องยอมทิ้งคันธนูด้วยความเจ็บปวด
สมิงมะตะเบิดหักลูกธนูทิ้งแล้วยิ้มเหี้ยม ก่อนจะเดินเข้าหาเสมาช้าๆ แม้เรไรจะเป็นห่วงเสมาสุดๆ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
ทันใดนั้นก็มีเสียงช้างร้องดังขึ้นลั่นป่า
“เสียงช้างศึก มีคนมาช่วยแล้ว” เรไรพึมพำขึ้นก่อนตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย ๆ”
สมิงมะตะเบิดตกใจพลางคิดว่า หากมีกองทัพตามมาจริงก็ยากที่สมิงมะตะเบิดตนจะรับไหวแล้วมองเสมาด้วยความเสียดาย สมิงมะตะเบิดรีบหนีไปทันที
เรไรก็รีบเข้าไปหาเสมาด้วยความเป็นหวงในทันที
“เสมา เป็นกระไรบ้าง”
เสมาบาดเจ็บเลือดไหล แต่ก็พยายามยันตัวลุกขึ้น
ขณะนั้นเอง ช้างตัวหนึ่งก็เดินเยื้องย่างออกมาจากป่า ที่แท้เป็นพ่อพลายแสนพลพ่ายที่สมเด็จพระนเรศวรจะทรงประทับ เรไรนึกไม่ถึง
“นั่นช้างทรงนี่เสมา”
เสมายิ้มดีใจพลางลูบหัวช้างด้วยความเอ็นดู
“พ่อพลายแสนพลพ่ายคงจะเตลิดหนีมาเป็นแน่ ข้าพระเจ้าให้หญ้าให้อ้อยมาเป็นแรมเดือน พ่อพลายได้ยินเสียงข้าพระเจ้าเลยจำได้จึงเข้ามาหา ขอบน้ำใจนักพ่อพลายเอ๋ย”
เรไรยิ้มแย้มลูบหัวช้างด้วยความเอ็นดูและรักใคร่เช่นกัน
เสมาชำเลืองมองหน้าเรไรทอดความห่วงหาผ่านทางสายตา
“ข้าพระเจ้าดีใจเหลือที่แม่หญิงปลอดภัย”
เรไรชำเลืองมองเสมาแล้วสบตากัน
“ขอบน้ำใจเสมานักที่เสี่ยงตายมาช่วยฉัน”
“ชีวิตเสมามอบให้แล้วแต่แม่หญิง เสมาพร้อมสละสิ้นเพื่อปกป้องแม่หญิงผู้เป็นดวงใจของเสมา” เสมาบอกพลางส่งสายตาหวานเชื่อมและรอยยิ้ม
เรไรหลบสายตาไปด้วยความเอียงอาย
พ่อพลายแสนพลพ่ายเดินช้าๆมาในป่าโดยมีเสมา และเรไรขี่อยู่บนหลังช้างในเวลาต่อมา เรไรพันผ้าทำแผลให้เสมาบนหลังช้าง เสมาจับมือเรไรแล้วมองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เรไรเขินอาย หลบสายตาเสมา

เรไร และเสมากำลังกินกล้วยป่าแล้วป้อนให้ช้างกินด้วยเพื่อประทังความหิว ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หยอกล้อกัน

บริเวณน้ำตกใหญ่สวยงาม เรไรกำลังอาบน้ำชำระตัวอยู่ที่น้ำตก เสมากำลังพาช้างอาบน้ำอยู่ใกล้ๆ เสมาแอบชำเลืองมอง เรไรรีบวักน้ำใส่หน้าเสมาจนเปียกไปทั้งหน้า ช้างก็ช่วยเรไรพ่นน้ำใส่น้ำเสมาอีกแรง

เสมาหน้าแหยไป รีบเบือนหน้าไปทางอื่น เรไรยิ้มขำๆ แล้วว่ายน้ำหนีไป เสมามองตามเรไรไปด้วยสายตาสิเน่หา

อ่านต่อหน้า ๓





ขุนศึก ตอนที่ ๑๑ (ต่อ) 

ยามค่ำคืน ณ ค่ายที่พัก...ทหารกำลังทำหน้าที่ จูงช้าง จูงม้าที่เตลิดหนีไปกลับมา บางคนก็เดินเวรยาม บางคนคอยดูแลเพื่อนที่บาดเจ็บ ฯลฯ หลวงรามเดชะกำลังยืนหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงเรไรอยู่ รอข่าวการค้นหาเรไรอยู่อย่างกระวนกระวายใจ

พันอินเดินเข้ามาหาขุนรามเดชะด้วยความเป็นห่วง
“คุณหลวง เหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว พักก่อนเถิด ประเดี๋ยวฉันดูแลต่อเอง”
“ฉันข่มตาหลับไม่ลงดอกท่านขุน ห่วงแม่เรไรนัก มิรู้ป่านนี้จะเป็นเช่นใดบ้าง”
ขณะนั้นเอง ขันและพุฒก็พาทหารกลับมาจากการตามหาเรไรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลวงรามเดชะดีใจ รีบเข้าไปหาขัน
“เป็นกระไรบ้างขุนณรงค์ เจอร่องรอยแม่เรไรบ้างหรือไม่”
ขันหงุดหงิด
“ไม่เลยขอรับ แต่ข้าพระเจ้าให้ม้าเร็วไปแจ้งข่าวตามหัวเมืองแล้ว ถ้าพวกมันคิดจะหนีออกนอกแดน คงไม่ง่ายนัก”
พุฒถอนใจแล้วพูดขึ้นลอยๆ
“ถึงเจอตัว ป่านฉะนี้คงไม่แคล้วต้องมัวหมอง”
หลวงรามเดชะโมโหมาก
“พูดเช่นนี้หมายความว่ากระไรขุนวิเศษ คิดหยามหมิ่นลูกสาวฉันกระนั้นรึ”
“ข้าพระเจ้าพูดจริงไม่ได้หยามหมิ่น หรือคุณหลวงเห็นว่าหญิงซึ่งถูกชายลักพาไปข้ามวันข้ามคืน จะกลับมาโดยไร้มลทินรึ”
“ปากโสมมเช่นนี้ ก็อย่ามีไว้เลย” หลวงรามเดชะพูดแล้วก็ชักดาบออกมา
ขันตกใจ รีบห้าม
“ใจเย็นก่อนขอรับท่านอา เพลานี้อย่ามีเรื่องกันเองเลย”
พันอินฟังแล้วก็ยังโกรธแทนหลวงรามเดชะ
“แล้วขุนณรงค์เล่าเห็นเช่นใด เรไรเป็นคู่หมั้นของขุนณรงค์ เห็นว่า คราวเคราะห์ของแม่เรไร จะเป็นมลทินหรือไม่”
ขันหน้าเสีย อึกๆอักๆ ไม่กล้าสู้สายตา ใจจริงก็นึกระแวงแต่ไม่กล้าพูด
“เอ่อ ข้าพระเจ้าหาใส่ใจเรื่องนี้ไม่ขอรับ ท่านอาอย่ากังวลเลย”
หลวงรามเดชะ และพันอิน เห็นสีหน้าท่าทางขันแสดงก็รู้ว่า ขันไม่เชื่อใจเหมือนกัน ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองมากยิ่งขึ้น

กองไฟเล็กๆ ที่จุดโดยเสมาให้ความร้อนและความสว่างในป่าลึก เสมาก่อกองไฟนั่งคุยกับเรไรอยู่
“ฉันผิดนักที่ไม่เชื่อคำเสมา จนทำให้หลงกลต้องหมั้นกับขุนณรงค์ ผิดนี้ แม้ตายก็ไม่อาจลบล้างได้” เรไรว่า
“เรื่องผ่านไปแล้วจะรื้อฟื้นไยกัน ชีวิตคนก็ดั่งเนื้อเหล็ก หากไม่ถูกตีจะเหนียวจะแกร่งได้เช่นไร” เสมาบอก
“แล้วพ่อท่านเล่า เสมาโกรธพ่อท่านหรือไม่”
เสมายิ้มบางๆ จับมือเรไรไว้
“พระคุณมีคุณกับข้าพระเจ้า แลเป็นพ่อของแม่หญิง ผู้เป็นยอดดวงใจของเสมา อย่าว่าแต่วางกลอุบายเพียงนี้เลย ต่อให้ตัดคอข้าพระเจ้าก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองดอก”
เรไรยิ้มรับทั้งน้ำตารื้นโล่งอกที่ปรับความเข้าใจกันได้ เสมาค่อยๆดึงตัวเรไรเข้ามากอด เรไรซบอกเสมาด้วยรู้สึกอบอุ่น มั่นคง
“ฉันจักผิดหรือไม่เสมาที่ไม่อยากออกไปพ้นป่านี้เลย ที่นี่ไม่มีศักดิ์ตระกูล ไม่มีเกียรติยศใดให้แบกไว้ ไม่ว่านางข้าหลวง ขุนศึก ไพร่ หรือ ทาส ก็หามีความสำคัญไม่”
เสมากอดเรไรไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ
“แม่หญิงคิดไม่ผิดจากใจข้าพระเจ้าเลย ที่นี่ มีแต่ชายชื่อเสมากับหญิงชื่อเรไรซึ่งมีหัวใจรักต่อกันเพียงนั้น”
เสมาบรรจงจูบหน้าผากเรไรอย่างทะนุถนอม ก่อนจะจูบแก้ม เรไรหลับตาพริ้ม อารมณ์รักที่สะกดไว้มานาน ได้ปลดปล่อยออกมาจนยากจะยับยั้งแล้ว เสมาพาร่างเรไรนอนลงกับพื้น ทั้งคู่จับจ้องตากันอย่างไม่ละสายตา ไฟปรารถนาลุกโชน แสงจากกองไฟฉาบผิวเรไรให้ดูสวยเย้ายวน เสมาห้ามใจไว้ไม่อยู่ค่อยๆ โน้มหน้าเข้าใกล้หมายจะจุมพิตเรไร แต่เรไรเป็นฝ่ายเรียกสติกลับมาได้ก่อนแล้วผลักเสมาออกไป เสมาเสียหลักล้มไปนั่งข้างๆ ด้วยสีหน้าตกใจ ได้สติ เรไรรีบลุกขึ้นนั่งแล้วหันหลังหนี จัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย เสมาตั้งสติได้ ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ข้าพระเจ้าคงฝันละเมอไปความจริงมิอาจเปลี่ยนได้ แม่หญิงคือบุตรีหลวงรามเดชะ ส่วนข้าพระเจ้าเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้าง”
เรไรหันกลับมามองเสมาด้วยสีหน้าเจ็บช้ำน้ำตาคลอ
“อย่าตัดพ้อเช่นนี้เลย ฉันมิได้รังเกียจเสมา แต่ฉันอยู่ในศักดิ์ของคู่หมั้นขุนณรงค์วิชิต หากฉันปล่อยให้ทุกอย่างเกิดไปตามใจก็คงได้ชื่อว่าเป็นหญิงชั่วสองใจ แม้ผู้อื่นจะอภัยให้ แต่ฉันจะไม่มีวันอภัยให้ตัวเองเป็นเด็ดขาด”
เสมาฟังแล้วเข้าใจเรไรมีสีหน้ารู้สึกผิด
“ข้าพระเจ้าช่างโง่เขลานัก เพียงนี้ก็ไม่อาจหักห้ามใจเจียนทำให้แม่หญิงต้องเสื่อมเกียรติ”
“อย่าตำหนิตัวเองอีกเลยเสมา ฉันเข้าใจเสมาดี” เรไรน้ำตาท่วมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
เสมาเลื่อนมือไปซับน้ำตาให้เรไรแล้วว่า
“อย่าเสียน้ำตาให้คนต่ำช้าอย่างข้าพระเจ้าอีกเลยแม่หญิงสุดรักของเสมา”
เรไรปล่อยโฮออกมาสวมกอดเสมาเอาไว้แน่นพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น เสมาสวมกอดเรไรไว้แน่ กระชับ หวงแหนราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้จากไปไหนอีก เสมาเองก็เผลอปล่อยให้น้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

สมบุญกำลังโวยลั่นที่หน้าค่ายพักยามเช้า
“ จะกลับไปได้อย่างไร ยังไม่เจอแม่หญิงเรไรกับพี่เสมาเลย
สินและสมบุญ กำลังเถียงกับขันและพุฒ โดยมีหลวงรามเดชะ พันอิน ยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“หากกึ่งเดือนยังหาไม่เจอตัว พวกเอ็งก็จะอยู่ตามหาเช่นนี้รึ พวกเอ็งไม่เกรงเสียราชการก็ช่าง แต่ข้าไม่อยากมีผิดไปด้วย” พุฒพูดอย่างหงุดหงิด
“บรรดาช้างม้าที่เตลิดหนีไปก็ตามกลับมาเกือบครบแล้ว เป็นหน้าที่ที่เราต้องพากลับ พวกเอ็งอย่าดื้อรั้นอีกเลย” ขันว่า
“ทีช้างม้าเอ็งจะพากลับ แต่คู่หมั้นเอ็งกลับไม่สนใจ นี่เอ็งรักแม่หญิงเรไรจริงหรือไม่วะอ้ายขัน”
ขันโมโห หันไปพูดกับหลวงรามเดชะ
“อย่าไปฟังอ้ายสินนะขอรับท่านอา ข้าพระเจ้าเห็นว่ากำลังเรามีน้อย ยากจะตามตัวแม่หญิงได้ จึงแจ้งต่อบรรดาหัวเมืองไปแล้ว หากมีข่าวเราค่อยระดมคนออกไปช่วยอีกที”
หลวงรามเดชะหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้จะตัดสินยังไงดี
“ฝ่ายหนึ่งมีน้ำใจ อีกฝ่ายก็มีข้อราชการ ต่างมีเหตุผลด้วยกันทั้งสิ้น คุณหลวงตัดสินเองเถิด” พันอินว่า
หลวงรามเดชะถอนหายใจหนักๆแล้วตัดสินใจ
“ เอาเช่นนี้เถิด...”
หลวงรามเดชะพูดยังไม่ทันจบ เสียงพวกทหารก็โห่ร้องอย่างยินดี ทุกคนหันกลับไปมองตามเสียงก็ เห็นเสมาและเรไรนั่งอยู่บนหลังช้างพลายแสนพลพ่ายเดิน ช้างกำลังเดินช้าๆเข้ามาในค่ายพัก
“พี่เสมา แม่หญิง” สมบุญโพล่งขึ้นอย่างดีใจ
สิน สมบุญ หลวงรามเดชะ และพันอินดีใจมาก รีบเข้าไปรับเสมาและเรไรทันที ในขณะที่ขันและพุฒมีสีหน้าบึ้งตึง พุฒไม่พอใจ เพราะอยากให้เสมาไปตายๆซะ แต่ขันหึงหวงที่เห็นเสมากลับมากับเรไร ขันกำหมัด ขบกรามแน่น จ้องมองไปที่เสมาที่อยู่เคียงคู่เรไรด้วยความชิงชัง

ศรีเมืองจูงมือเรไรที่เพิ่งกลับมาเข้ามาในตำหนักเมื่อตอนบ่าย โดยมีพวกข้าหลวงล้อมหน้าล้อมหลังด้วยความดีอกดีใจ
“พวกฉันดีใจเหลือเกินจ้ะที่แม่หญิงปลอดภัย รู้หรือไม่ว่าฉันบนไว้ตั้งห้าวัด ถ้าแม่หญิงกลับมาช้ากว่านี้ ฉันคงบนถึงสิบวัดเป็นแน่” ศรีเมืองว่า
“ขอบน้ำใจแม่ศรีเมืองกับทุกคนมากนะจ๊ะ ตอนที่ฉันถูกจับตัวไปคิดว่าจะสิ้นวาสนาได้กลับมาพบหน้าทุกคนอีกแล้ว”
“แล้วแม่หญิงเรไร รอดกลับมาได้อย่างไรจ๊ะ เล่าให้พวกฉันฟังหน่อยซี” ข้าหลวงคนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้นอยากรู้
พวกข้าหลวงต่างอยากฟังพากันสนับสนุน แต่บัวเผื่อนเดินเข้ามาหาก่อน
“จะเล่าจะคุยกระไรก็ไว้รอเสร็จงานก่อนเถิดแม่คุณ งานการในตำหนักมีมากโข ไม่คิดจะทำกันเลยรึ” บัวเผื่อนว่า
พวกข้าหลวงหน้าจ๋อยต่างแยกย้ายกันไปจนหมด เหลือเรไร บัวเผื่อน และศรีเมือง สามคนเท่านั้น บัวเผื่อนถามเรไรด้วยความอยากรู้มากเหมือนกัน
“แล้วที่ลือกันว่า ตะพุ่นเสมาบุกฝ่าไปช่วยแม่เรไรออกมาเป็นความจริงหรือไม่ล่ะ”
เรไร และศรีเมืองหลุดขำออกมาที่บัวเผื่อนอยากรู้มากกว่าคนอื่นเสียอีก
“เอาไว้รอทุกคนเสร็จงานก่อนเถิด ฉันจะได้เล่าครั้งเดียว” เรไรว่า
บัวเผื่อนทิ้งค้อนไม่พอใจที่เรไรไม่ยอมเล่า
“ ไม่เล่าฉันก็หางอนง้อไม่ ประเดี๋ยวฉันไปฟังจากคนอื่นก็ได้”
“ผู้อื่นรึแม่หญิงจะมีผู้ใดรู้เรื่องนี้มากไปกว่าแม่หญิงเรไรอีกเล่า” ศรีเมืองถามอย่างแปลกใจ
บัวเผื่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะบอก
“ก็แม่ดวงแขนั่นปะไร ป่านฉะนี้ คงซักถามตะพุ่นเสมาเสียละเอียดละออ ราวกับซักถามนักโทษเชียวหล่ะ” บัวเผื่อนทิ้งหางตาเย้ยหยันใส่เรไร
เรไรอดหน้าเจื่อนๆ ไม่ได้

เวลาเย็น ดวงแขกำลังหงุดหงิดใส่เสมา ในขณะที่เสมากำลังขนหญ้าเลี้ยงช้างทำหูทวนลมใส่ดวงแข
“เล่ามาให้หมดประเดี๋ยวนี้เลยเสมา เหตุใดช่วยแม่เรไรได้แล้ว ยังต้องไปค้างอ้างแรมในป่าด้วยเล่ามาซี”
“ข้าพระเจ้าไม่มีกระไรจะเล่า แม่หญิงกลับไปเถิด” เสมาพูดไปทำงานไป
“พูดเช่นนี้หมายความว่าไปกระทำบัดสีมาใช่หรือไม่ ถึงไม่กล้าเล่า”
ดวงแขพูดแล้วก็เข้าไปทุบตีเสมา
“บอกมาซี บอกมาประเดี๋ยวนี้เชียว”
เสมาจับข้อมือดวงแขไว้ด้วยความโมโห
“แม่หญิงวางแผนชั่วให้ผู้อื่นแตกกันได้ ก็อย่าหมายว่าผู้อื่นจะใจบาปกระทำชั่วได้ดุจกัน”
ดวงแขผงะไปที่เสมารู้เรื่องแต่ก็ไม่แปลกใจอะไรมาก เสมาจ้องดวงแขด้วยสายตาโกรธ
“ข้าพระเจ้าแม้จะเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้าง แต่ก็ยังรู้จักผิดแลชอบมากกว่าผู้เกิดในตระกูลสูงเช่นแม่หญิง”
ดวงแขดึงมือออกจากเสมาทำหน้าปั้นปึง ตีหน้าเศร้าด้วยความน้อยใจ
“นี่คงไปฟังแม่เรไรใส่ร้ายฉันมาล่ะซี แม่เรไรริษยาฉันมานานนัก จึงปั้นเรื่องใส่ไคล้ปรักปรำฉัน ไม่คิดเลยว่า มิตรเก่ากันมาจะทำกันได้ เสมาอย่าได้หลงเชื่อเชียวนะ ฟังฉันชี้แจงก่อน”
“ข้าพระเจ้าฟังคำแม่หญิงมามากแล้ว แลเคยวางแม่หญิงไว้ในที่สูง แม้จะผิดใจกับพี่ชายแม่หญิง ก็หาเคยคิดร้ายกับแม่หญิงไม่ หากข้าพระเจ้าคิดระแวงเสียบ้าง คงไม่ได้ตกทุกข์ได้ยากเหมือนเช่นทุกวันนี้ดอก” เสมาพูดพลางถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เสมาเดินเลี่ยงไปทำงานต่อโดยไม่สนใจดวงแขอีก ดวงแขมองตามเสมาไปด้วยความรู้สึกน้อยใจที่เสมาเย็นชาใส่ตนขนาดนี้

ดวงแขเปิดประตูห้องพักเรไรแล้วเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ขณะที่เรไร บัวเผื่อน ศรีเมืองกำลังพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
“อ้าว แม่ดวงแข ไม่เห็นหน้าเลยเสียทั้งวัน มีกระไรรึ ถึงมาหากันมืดค่ำป่านฉะนี้” บัวเผื่อนถาม
“ฉันก็มาเยี่ยมเยียนแม่เรไรน่ะซี แม่เรไรมีศักดิ์เป็นว่าที่พี่สะใภ้ฉัน เมื่อปลอดภัยกลับมาฉันก็ดีใจนัก” ดวงแขว่า
เรไรยิ้มแบบรู้ทัน
“ขอบน้ำใจแม่ดวงแข ชะตาฉันยังไม่ถึงฆาต แม่ไม่ต้องกังวลใจไปดอก”
“จะได้เยี่ยงไร แม่เรไรถือเป็นคนในบ้านฉันไปครึ่งค่อนตัวแล้ว จะทำสิ่งใดย่อมเกี่ยวพันถึงศักดิ์ตระกูลฉันทั้งสิ้น” ดวงแขว่า
“พูดกำกวมเช่นนี้ หากแม่ดวงแขเห็นฉันทำสิ่งใดไม่ควร ก็พูดมาตามตรงเถิด” เรไรพูดหน้าตึงด้วยความไม่พอใจ
ดวงแขจ้องหน้าเรไรเขม็ง
“แม่เรไรกระทำสิ่งใดย่อมรู้อยู่แก่ใจ หายไปกับชายอื่นเสียทั้งคืน คงไม่ต้องให้ฉันพูดอีกกระมัง”
เรไรจ้องหน้าดวงแขกลับด้วยความโมโหที่ถูกดวงแขดูถูก ศรีเมืองโกรธแทนเรไรจนออกนอกหน้า
“ พูดเช่นนี้จะไม่เป็นการหยามกันไปหน่อยรึ แม่หญิงดวงแข”
เรไรพนมมือพูดสวนขึ้น
“ฉันขอสาบาน หากฉันได้กระทำสิ่งใดเป็นการไม่รักษาศักดิ์ของตนแลศักดิ์ตระกูลของแม่ดวงแขแล้วก็ขอให้ฉันตายอย่างทรมานในสามวันนี้เถิด”
บัวเผื่อนและศรีเมืองอึ้งไปไม่คิดว่าเรไรจะกล้าสาบานรุนแรงเช่นนี้ ดวงแขปั้นหน้านิ่งแต่ก็แอบยิ้มพอใจ แสดงว่าเสมาและเรไรไม่ได้เกินเลยต่อกัน
“ถึงเช่นนี้แล้ว แม่หญิงดวงแขคงพอใจแล้วกระมังจ๊ะ” ศรีเมืองว่า
ดวงแขทิ้งค้อนให้ขวับหนึ่งก่อนตั้งท่าจะเดินออกจากห้องเรไร
“ประเดี๋ยวก่อนเถิดแม่ดวงแข”
ดวงแขหันกลับมามองเรไร
เรไรหน้านิ่งๆ แต่สายตาเอาจริง
“แม่ดวงแขถือว่าฉันเป็นว่าที่พี่สะใภ้ใช่หรือไม่”
“ใช่ มีกระไรรึ” ดวงแขพูดพลางจ้องหน้าเรไร
“เช่นนั้น ศักดิ์ฉันย่อมสูงกว่าแม่ดวงแข เมื่อแม่ดวงแขกล่าวล่วงเกินฉันควรต้องไหว้ขมาฉันเสียก่อน”
ดวงแขตกใจ ไม่คิดว่าเรไรจะย้อนมาเล่นงาน บัวเผื่อนขำหัวเราะชอบใจ
“ควรหนักหนาแล้ว เพลานี้แม่ดวงแขมีศักดิ์เสมอน้อง เมื่อพูดจาไม่ควรย่อมต้องไหว้ขอขมา หากไม่ยอมย่อมถือว่าแม่ดวงแขจงใจหยามหมิ่น ไม่อยากได้แม่เรไรเป็นพี่สะใภ้อีก”
บัวเผื่อนหันไปพูดกับเรไร ยุแกล้งดวงแข
“แม่เรไรก็ไปถอนหมั้นกับขุนณรงค์เสียเถิด” บัวเผื่อนพูดต่อ
ดวงแขหน้าเสียเจอบัวเผื่อนรับลูกนี้เข้า เลยหาทางออกไม่เจอ เรไรยังจ้องดวงแขนิ่งรอการขอขมา
ดวงแขขบกรามแน่นด้วยความแค้น แต่ถ้าถอนหมั้นหมายความว่า เรไรจะกลับไปหาเสมา หากเป็นเช่นนั้นดวงแขย่อมเป็นฝ่ายเสียหายกว่า จึงจงจำใจยกมือไหว้ขมาดวงแข
“ ฉันขอขมาด้วยเถิดแม่เรไร”
เรไรรับไหว้อ่อนช้อยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ศรีเมืองแอบอมยิ้มสะใจ บัวเผื่อนแกล้งหลุดขำยกมือขึ้นปิดปาก ดวงแขเจ็บใจทิ้งค้อนให้บัวเผื่อนก่อนจะสะบัดหน้าพรืดออกจากห้องไป ท่ามกลางรอยยิ้มเยาะของบัวเผื่อน และศรีเมือง เรไรได้แต่ถอนใจยาวออกมาอย่างหนักใจ

เรไรเดินขึ้นเรือนมาตอนเช้า โดยมีพิณและบรรดาทาสช่วยกันขนข้าวของตามหลังมา ลำภูเดินเข้ามารับเรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เรไรไหว้แม่ก่อนจะเข้าไปกอดลำภูซึ่งกอดลูกด้วยความรัก ห่วงใย
“ขวัญเอ๊ยขวัญมาลูกแม่ แม่โกรธพ่อเจ้าเหลือเกินที่ปิดความไว้ไม่ส่งคนมาบอกให้แม่รู้ เพิ่งจะมาบอกต่อเมื่อเจ้าปลอดภัยกลับมาแล้ว”
“พ่อท่านคงเกรงว่าแม่จักทุกข์ใจเพราะห่วงลูกน่ะจ้ะ อย่าถือโกรธพ่อท่านเลย”
เรไรมองไปรอบเรือนซึ่งเงียบผิดปกติ
“วันนี้เรือนเราเงียบนัก บ่าวไพร่ไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ” เรไรถาม
“คุณหลวงให้บ่าวไพร่ส่วนหนึ่งไปรับใช้อาแต้มของเจ้าน่ะ เรือนใหญ่ก็เลยมีบ่าวน้อยลง” ลำภูว่า
“ท่านอาแม่หญิงรับใช้ง่ายเจ้าค่ะ กินข้าวเสร็จก็นอน ตกเย็นก็กินสุรา ตื่นเอาเกือบเที่ยงน่ะเจ้าค่ะ” พิณรายงาน
“นังพิณ” ลำภูส่งเสียงปราม
พิณถึงกับหน้าจ๋อยไป
“แล้วแม่เอื้อยแตงล่ะเจ้าคะ วันๆทำกระไรบ้าง” เรไรถามอย่างอยากรู้
ลำภูมีสีหน้าเคร่งเครียด หนักใจขึ้นมาทันทีเมื่อเรไรพูดถึงเอื้อยแตง

เอื้อยแตงกำลังขายมีด ขายจอบ ฯลฯ ในตลาดเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้แต่งตัวสวยผิดจากแม่ค้าอื่น
“เอ้า เข้ามาเร็ว เข้ามาเลือกดู เหล็กเนื้อดี ทั้งเหนียว ทั้งทน ใช้ไปถึงลูกถึงหลาน ไม่มีหักมีบิ่น เข้ามาซื้อเข้ามาหาเร็ว” เอื้อยแตงตะโกนขายของเสียงแจ๋ว
ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาที่สนใจก็เข้าไปแวะดู ขณะนั้นเอง เรไรและพิณก็เดินเข้าไปหาเอื้อยแตงที่หันไปให้เรไร
“อ้าว กลับมาจากวังแล้วหรือจ๊ะแม่หญิงจะรับมีดรับพร้าไว้ใช้สักเล่มสองเล่มหรือไม่จ๊ะ เป็นญาติกันฉันไม่คิดแพงดอกจ้ะ”
เรไรหน้าขรึมลงแล้วพูดขึ้น
“เหตุใดแม่เอื้อยแตงมาเร่ขายของในตลาดเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าแม่ฉันทุกข์ใจนัก ด้วยผู้คนเอาไปนินทาว่าท่านไม่มีปัญญาเลี้ยงหลานต้องให้มาเร่ขายของในตลาด”
“อุ๊ย ปากคน จะสนใจไปไย ฉันไม่ได้ไปปล้นไปฆ่าผู้ใดเสียหน่อย เหตุใด ต้องอับอายด้วย ขายของเช่นนี้ ฉันก็ได้เบี้ยได้อัฐมาใช้ ไม่ต้องแบมือขอ ยังไม่ดีอีกรึ” เอื้อยแตงพูดแล้วก็หันไปขายของต่อโดยไม่สนใจเรไร
“บ่าวบอกแล้ว ว่าแม่หญิงเอื้อยแตงไม่ยอมเลิกดอกเจ้าค่ะ บ่นอยู่ทุกวันว่า นั่งๆนอนๆรำคาญหนักหนา แลยังบอกอีกนะเจ้าคะว่าพวกหญิงชาววัง เอาแต่ร้อยมาลัยทำกับข้าว หาคุณกระไรได้ไม่” พิณว่า
เรไรมองเอื้อยแตงด้วยสีหน้าใช้ความคิดถึงวิธีการก่อนบอกกับตัวเองว่า
“ก็ให้รู้กันไปว่าฉันจะเอาชำนะน้องสาวคนนี้ไม่ได้”

เมื่อตอนหัวค่ำ เอื้อยแตงเดินกลับเข้าเรือนมาหลังจากขายของเสร็จ เอื้อยแตง เปิดประตูห้องของแต้ม ภายในห้องห้องว่างเปล่า
“ไปกินเหล้าอีกล่ะซี” เอื้อยแตงพึมพำ
เอื้อยแตงกำลังจะเดินไปหาอะไรกินในครัว เพราะกำลังหิวก็เหลือบเห็นสำรับกับข้าวตั้งอยู่บนโต๊ะที่ชานเรือน เอื้อยแตงเข้าไปดูเห็นอาหารน่ากินก็ท้องร้องขึ้นมาทันที
“น่ากินทั้งนั้นเลย”
เอื้อยแตงรีบคดข้าว จุ่มน้ำล้างมือแล้วเปิบข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย เรไรก็เดินเข้ามาหา
“อร่อยรึ”
เอื้อยแตงกลัวเสียหน้าจุงทำหน้าปั้นปึ่ง
“กำลังหิว กินกระไรก็อร่อยทั้งนั้นหล่ะ”
“จริงรึ ฉันตั้งใจว่าจะทำให้กินเช่นนี้ทุกวันจนกว่าจะกลับเข้าวัง รับรองว่าทุกวันไม่มีซ้ำกัน แต่เมื่อแม่เอื้อยแตงพูดเช่นนี้ก็หาเป็นกระไรไม่”
เอื้อยแตงรู้สึกเสียดายเพราะอาหารอร่อยมาก
“ฉันไม่อยากให้แม่หญิงเสียน้ำใจ เมื่อแม่หญิงตั้งใจแล้วก็ทำไปเถิด”
“แต่ถ้าฉันกลับเข้าวังเมื่อใด แม่เอื้อยแตงก็ต้องอดกินอีก ใจจริง ฉันอยากจะสอนแม่เอื้อยแตงทำกับข้าวสักสองสามอย่าง แต่ดูท่า แม่เอื้อยแตงคงเรียนไม่ได้ดอก”
เอื้อยแตงโมโห เกิดทิฐิขึ้นมาทันที
“ทำไมจะไม่ได้ เพียงแค่ทำกับข้าวเท่านั้นจะยากเย็นกระไรหนักหนา”
“แต่แม่เอื้อยแตงต้องไปขายของในตลาดไม่ใช่รึ แล้วจะเรียนได้อย่างไร เรียนครึ่งๆกลางๆก็เสียชื่อฉันหมด อย่าเลย แม่เอื้อยแตงคงไม่มีวันทำกับข้าวได้ดีเท่าฉันดอก”
“ไม่ทะนงตัวเกินไปหน่อยหรือ ฉันจะทำให้ดู ทำให้ดีกว่าแม่หญิงด้วยซ้ำ ขอเพียงแต่แม่หญิงตั้งใจสอน อย่าปิดบังวิชาก็แล้วกัน”

เรไร แอบอมยิ้ม เพียงแค่นี้ ก็ดึงเอื้อยแตงไม่ให้ขายของในตลาดได้แล้ว ที่เหลือก็ค่อยๆ สอนกันไป
อ่านต่อหน้า ๔





ขุนศึก ตอนที่ ๑๑ (ต่อ) 


เจ็ด - แปดวันผ่านไป ทหารไทยกับทหารพม่ากำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ฝีมือทหารไทยเหนือกว่าทหารพม่าสู้กันได้ซักพักก็ไล่ฟันไล่แทงจนทหารพม่าถอยร่น

ขณะนั้น สมิงมะตะเบิดในชุดทหารถือทวนเดินออกมา พวกทหารไทยเห็นสมิงมะตะเบิดเดินออกมาคนเดียวก็ชะงัก ทหารไทยคนหนึ่งร้องลั่นแล้วควงดาบเข้ามาฟันใส่ สมิงมะตะเบิดใช้ทวนปัดดาบ แล้วแทงสวน ทหารไทยคนนั้นก็ล้มคว่ำ ขาดใจตายไปอย่างง่ายดาย

ทหารไทยคนอื่นที่เห็นเหตุการณ์อึ้งไปก่อนจะกรูกันเข้ามาเข้ารุมสมิงมะตะเบิด
สมิงมะตะเบิดต่อสู้อย่างรวดเร็วว่องไวควงทวนทั้งแทงทั้งฟาดเพียงพริบตาเดียว ทหารไทยทั้งหมดก็ถูกฆ่าลงจนหมดราวกับใบไม้ร่วง ทหารไทยที่เหลืออยู่รีบวิ่งหนีด้วยความกลัวไปทันที
พระเจ้าแปรขี่ม้าออกมา พร้อมด้วยทหารพม่าอีกจำนวนหนึ่ง สมิงมะตะเบิดคุกเข่าลงถวายบังคม
พระเจ้าแปรหัวเราะชอบใจพลางตรัสว่า
“ฝีมือของเจ้าเป็นหนึ่งในพุกามประเทศแล้ว มีเจ้าอยู่ข้าก็เหมือนมีกองทัพนับหมื่น ไม่ต้องกลัวผู้ใดอีก” “ขอบพระทัยพระพุทธเจ้าข้า”
“แม้จะลอบปลงพระชนม์องค์พระนเรศไม่สำเร็จก็หาเป็นกระไรไม่ ข้าจะกวาดต้อนผู้คนรวบรวมไพร่พล ไม่ขึ้นกับผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ว่าอโยธยาหรือหงสาวดี เมื่อถึงเพลานั้น สิ่งที่พระมหาอุปราชากระทำไม่สำเร็จ ข้าจะทำให้ทุกผู้คนเห็นเอง ข้าจะเป็นพระเจ้าชำนะสิบทิศองค์ที่สองให้จงได้”
สีพระพักตร์พระเจ้าแปรมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน

ผ่านเวลาไปสองสามวัน สมเด็จพระนเรศวรกำลังออกว่าราชการในท้องพระโรง โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถ และเหล่าขุนนางเข้าเฝ้า
“เรากับพระเจ้าแปรไม่เคยผิดใจกัน แล้วควรรึที่จะยกทัพมากวาดต้อนผู้คนของเราไปเป็นเชลยศึกเช่นนี้”
“การเป็นเช่นนี้ แสดงว่าการช่วงชิงอำนาจในพุกามประเทศเริ่มขึ้นแล้ว พระเจ้าแปรจึงเร่งกวาดต้อนผู้คนไปเมืองแปร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตน จำเราต้องยกทัพไปปราบเสียแต่ต้นมือ เมืองอื่นจะได้ไม่กล้าทำเช่นนี้อีก” สมเด็จพระเอกาทศรถทรงตรัสขึ้น
“เช่นนั้นจงจัดทัพหนึ่งแสน พี่จะยกทัพไปด้วยตัวเอง”
“ทัพแปรไม่ได้ใหญ่กระไร แลเพียงแต่ยกมากวาดต้อนผู้คนไม่ได้ชิงเอาเมือง มิบังควรให้สมเด็จพี่ต้องออกรบด้วยองค์เองดอกพระพุทธเจ้าข้า”
“แต่พี่ต้องการให้ทุกเมืองเห็นความเข้มแข็งของอโยธยา หากเราต้องการเป็นเมืองอันไร้ศึกให้สมดังชื่อ เราก็ต้องมีกองทัพที่เข้มแข็ง มิให้ผู้ใดเหิมเกริมคิดรังแกเราได้เป็นอันขาด”
สมเด็จพระนเรศวรตรัสด้วยสีพระพักตร์แข็งกร้าว

พุฒกำลังคุยกับขันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในตอนสาย
“อีกไม่นานก็ต้องไปศึกอีก แล้วเมื่อใดฉันจักได้ออกเรือนกับแม่ดวงแขเสียที ขุนณรงค์อย่าบ่ายเบี่ยงอีกเลย ยกแม่ดวงแขให้ฉันเสียทีเถิด” พุฒเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ
“ใช่ว่าฉันจะบ่ายเบี่ยง แต่เพลานี้แม่หญิงเรไรรู้ความจริงหมดแล้ว อย่าว่าแต่พูดจาเลย แม้แต่มองหน้ากันยังไม่มี แล้วขุนวิเศษจะทวงสัญญาได้กระไร อดใจรออีกสักหน่อยเถิด” ขันพูดอย่างหนักใจ
“แต่ขุนณรงค์สัญญาแล้ว ว่าถ้าฉันช่วยให้ได้หมั้นกับแม่หญิงเรไร ขุนณรงค์จะยกแม่ดวงแขให้ฉัน หรือจะรอให้ได้ น้องเขยเป็นตะพุ่นหญ้าช้างก่อนเล่า”
ขันชักไม่พอใจ
“ขุนวิเศษนี่พูดไม่รู้ความ ก็อ้ายเสมายังอยู่ หากฉันยกแม่ดวงแขให้ แล้วแม่หญิงเรไรกลับไปหาอ้ายเสมาเล่า ฉันจะทำเช่นใด”
“ก็ฉันบอกแล้วว่าให้หาเรื่องอ้ายเสมา จะได้ใส่ความแล้วหาเหตุฆ่ามัน เพลานี้มันเป็นตะพุ่นศักดิ์เสมอทาส ไม่มีผู้ใดสนใจดอก”
“แล้วฉันไม่ทำรึ แต่อ้ายเสมามันเหมือนนกรู้ ไม่ว่าจะทำกระไร มันก็ยอมหลบ ยอมลงให้ฉันตลอดผิดจากที่แล้วมาแล้วฉันจักหาเหตุกระไรได้”
“เมื่อมันยังทนได้ ก็ต้องเล่นงานมันให้หนักเท่าทวีคูณ ดูเทียวรึ ว่าอ้ายเสมาจะทนไปได้สักเท่าใด” พุฒพูดด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและร้ายกาจที่อยากจะเอาชนะ

ทหารจำนวนมากพร้อมอาวุธครบมือกระจายกำลังล้อมเสมากับตะพุ่นคนอื่นๆไว้ ท่ามกลางการสั่งงานของขัน และพุฒ ตะพุ่นคนอื่นๆกลัวจนตัวสั่น แต่เสมาก้าวออกมาด้วยหน้าตาเฉย
“นี่มันกระไรกันออกขุน พวกฉันทำผิดกระไร ถึงได้ให้ทหารมาล้อมกันเช่นนี้” เสมาถาม
“เอ็งยังมีหน้ามาถามอีกว่าทำผิดกระไร รู้หรือไม่ว่าช้างที่ออกไปฝึกวันนี้ ขี้เหลวทุกช้าง พวกเอ็งให้กินกระไรผิดสำแดงถึงได้เป็นเช่นนี้” พุฒพูดตะคอก
“ก็กินเหมือนเช่นทุกวัน จะผิดสำแดงได้กระไร” เสมาว่า
“เอ็งยังกล้าเถียงอีกรึ อีกไม่นานจะมีศึก ช้างทุกช้างล้วนสำคัญนัก พวกเอ็งดูแลไม่ดี เห็นทีจะมีพวกข้าศึกปลอมตัวมาอีกกระมัง ทหาร จับตัวพวกมันไปให้หมด” ขันตะคอก
พวกทหารตั้งท่า แต่ทันใดนั้น สิน และสมบุญก็ถืออาวุธเข้ามาก่อน
“ผู้ใดกล้าแตะต้องพี่กูก็ต้องปะมือกับกูก่อน” สินตวาดลั่น
พวกทหารฝ่ายขันรู้ฝีมือของสมบุญกับสินดีและเห็นเรื่องชักจะบานปลายก็ลังเล
“อ้ายพันเทพ พันทิพ นี่พวกเอ็งคิดกบฏรึ” ขันว่า
“มากไปเสียแล้ว เพียงแค่ช้างขี้เหลวก็ยัดข้อหากบฏ ถ้าออกขุนทั้งสองเห็นว่าผิดนัก ก็เชิญท่านออกญาทรงมาตัดสินเถิด ไม่ใช่จับกุมลงโทษกันเองเช่นนี้” สมบุญบอก
“เรื่องเพียงนี้ จะกวนใจท่านออกญาไยกัน” พุฒพูดขึ้น
“ชะช้า อ้ายพุฒ เอ็งร้องออกลั่นว่ามีกบฏบ้าง มีข้าศึกปลอมตัวบ้าง แต่พอจะตามท่านออกญากลับว่าเป็นเรื่องเล็ก” สินว่าอย่างรู้ทัน
ขัน และพุฒเหล่มองกันเห็นว่าคงยัดข้อหาไม่ได้ง่ายๆเสียแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น ไม่ต้องไต่สวนเรื่องข้าศึกปลอมตัวก็ได้ แต่ช้างขี้เหลวพวกตะพุ่นต้องรับโทษ”
ขุนพูดแล้วก็หันไปสั่งทหาร
“ทหาร โบยพวกมันตามกฎคนละสิบที”
พวกตะพุ่นรู้ว่าจะถูกโบยก็กลัวจับใจ สินชักโมโห
“ นี่เอ็งคิดจะโบยพี่เสมาเชียวรึอ้ายขัน เอาวะ กบฏก็กบฏ ก่อนกูจะถูกบั่นคอ ขอตัดหัวมึงก่อนเถิด” ว่าแล้วสินก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ เสมาร้องห้ามแล้วหันไปพูดกับขัน
“อย่าอ้ายสิน หากเอ็งรักข้าอย่าทำเช่นนี้ … ผู้ให้หญ้าช้างตอนเช้าเป็นฉันเอง ถ้าจะโบยก็โบยฉันคนเดียวเถิด”
สมบุญตกใจแล้วพูดขึ้น
“ พี่เสมา ไม่ต้องกลัวพวกฉันเดือดร้อนดอก อย่ายอมพวกมันเช่นนี้อีกเลย”
“ว่ากระไรเล่าขุนณรงค์” เสมาถาม
ขันยิ้มเจ้าเล่ห์
“อย่างไรก็ต้องรับโทษร่วมกัน หากเอ็งจะออกหน้าก็ต้องรับโทษโบยในส่วนของอ้ายตะพุ่นอื่นด้วย”
“ได้”
สิน และสมบุญกัดฟันเจ็บใจ แต่เสมาใจสมัครยินยอมเองก็ไม่รู้จะว่ายังไง
เสมานอนลงกับพื้น ทหารขันเอาหวายมาให้ ขันยิ้มร้ายๆ แล้วโบยเสมาเต็มแรงด้วยความสะใจ เสมาขบกรามแน่น ไม่ร้องแม้แต่คำเดียวปล่อยให้ขันโบยตามใจ
พันจิตเสน่หาทหารรุ่นเดียวกับสินและสมบุญ ยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาความชื่นชม แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในจิตใจลูกผู้ชายเลือดนักสู้ของเสมา



สิน และสมบุญประคองเสมาที่ถูกโบยจนเจ็บหนักมานั่งพักที่หน้ากระท่อมสมบุญเมื่อเวลาเย็น
“พี่ไม่น่ายอมมันเลย พวกเรา3 คนก็เกินพอที่จะหักหนีแล้ว” สินบอก
สมบุญเห็นด้วยกับสิน
“นั่นซีพี่ พวกอ้ายขันต้านไม่อยู่ดอก”
“หนีได้แล้วมีกระไร ต้องหลบๆซ่อนๆเหมือนที่ข้าเคยทำกระนั้นรึ เชื่อข้าเถิดที่อ้ายขัน อ้ายพุฒทำเช่นนี้ ก็เพื่อหาเหตุใส่ความจักฆ่าข้า ยอมเจ็บแต่เพียงนี้ แต่รักษาชีวิตเอาไว้เถิด” เสมาว่า
“พ่อพูดต้องใจฉันนัก”
เสียงหนึ่งดังขึ้น เสมา สมบุญและสินหันไปมองด้วยความประหลาดใจ พันจิตเสน่หาเดินยิ้มแย้มเข้ามาหาเสมา แล้วพูดเตือนว่า
“คนเราหากลุแก่โทสะโดยง่าย คงต้องหลงกลผู้อื่นอยู่ร่ำไป”
สมบุญมองเขม่นแล้วถาม
“เอ็งเป็นใครวะ”
“ฉันชื่อพันจิตเสน่หา เป็นทหารในพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อย”
เสมา สมบุญ และสินมองพันจิตด้วยท่าทีเป็นสงสัย
“เมื่อตอนบ่าย ฉันผ่านไปที่โรงเลี้ยงช้าง จึงเห็นเหตุทั้งหมดเข้า พ่อตะพุ่นมีน้ำใจแลความอดทนนัก ฉันจึงนึกเสียดายที่พ่อต้องเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้างต่อไป จึงอยากมาชวนพ่อไปรับราชการเป็นทหารด้วยกัน”
“ชวนไปเป็นทหารรึ รู้หรือไม่..” สมบุญพูดแล้วหัวเราะ
เสมารีบพูดแทรกสมบุญขึ้น
“ขอบน้ำใจหัวพันมากนัก แต่ฉันมีศักดิ์เสมอทาสไม่คู่ควรเป็นทหารดอก”
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ทรงใช้คนตามฝีมือ หาใช่ศักดิ์ตระกูลไม่ หากพ่อตะพุ่นอยากเป็นทหารจริง อีกไม่กี่วัน จะมีการประลองคัดคนเข้าเป็นทหารของสมเด็จพระอนุชาธิราช พ่อก็ลองไปดูเถิด หากมีวาสนา ก็จะได้เป็นทหารสมใจ”
สมบุญเริ่มตื่นเต้น
“ ได้เป็นทหารของสมเด็จพระอนุชาธิราชเชียวรึ เช่นนี้ก็ไม่ต้องสังกัดมูลนายอื่นน่ะซี”
พันจิตหัวเราะ
“จะต้องสังกัดทำกระไร ได้ขึ้นตรงแต่สมเด็จพระอนุชาธิราชประเสริฐกว่าสังกัดมูลนายอื่นมากมายนัก”
สินและสมบุญตื่นเต้นดีใจแทนเสมา ขณะที่เสมาเริ่มมีรอยยิ้ม ความหวังที่จะได้กลับเป็นทหารอีกครั้ง อยู่อีกไม่ไกลแล้ว

เอื้อยแตงเป็นคนวางสำรับกับข้าวซึ่งถูกจัดและตกแต่งไว้อย่างสวยงามลงต่อหน้าเรไร เอื้อยแตงทำท่าเชิ่ดๆ มองเรไรด้วยสายตาท้าทาย เรไรยิ้มบางๆ ก่อนจะชิมกับข้าวในสำรับ เอื้อยแตงมองลุ้นๆว่า หลังจากเรไรชิมแล้วจะเป็นอย่างไร
เรไรพยักหน้ารับแล้วบอก
“ถือว่าใช้ได้”
เอื้อยแตงตบเข่าฉาด ในที่สุดก็เอาชนะเรไรได้
“เป็นกระไรเล่า ฉันบอกแล้วว่าแค่ทำกับข้าวจะยากกระไรนัก”
“ฉันสอนเสียเกือบสิบวันเพิ่งทำเข้าขั้นได้สองสามอย่าง ก็คุยโตแล้วรึ แม่เอื้อยแตง”
เอื้อยแตงยิ้มแหยๆ
“พรึ่งนี้ฉันต้องกลับเข้าวังแล้ว แม่เอื้อยอยู่ทางนี้ ก็ตั้งใจฝึกฝนตามที่ฉันสอนให้ดี ออกจากวังคราหน้า ฉันจะทดสอบอีก”
“ใช่ว่าฉันรู้ไม่เท่าดอกนะ ที่เคี่ยวเข็ญสอนฉันทำกับข้าวก็เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ว่างไปเร่ขายของในตลาดใช่หรือไม่” เอื้อยแตงหน้าบึ้งตึงถามขึ้น
เรไรยิ้ม ไม่ตอบว่าอย่างไร
“ฉันหาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดต้องรังเกียจคนค้าขายถึงเพียงนี้ ไม่ว่าฉันหรือพี่เสมาก็ไม่ได้กระทำชั่วช้า แต่กลับถูกตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์”
เรไรหน้าขรึมลงเมื่อเอื้อยแตงพูดถึงเสมา เพราะเหตุที่เรไรกับเสมาลงเอยกันไม่ได้ก็เพราะเรื่องที่เสมาเป็นช่างตีดาบนี่แหละ

เรไรกำลังเดินคุยกับเอื้อยแตงอยู่ในสวน
“ฉันไม่ได้รังเกียจคนค้าขายดอก แต่ขุนน้ำขุนนางหากต้องตากหน้าง้องอนใคร ก็ถือว่าเสียเกียรตินัก พ่อแม่ท่านจึงไม่ยินดีที่แม่เอื้อยแตงไปเร่ขายของ”
“เสียเกียรติ ถ้ากระนั้นพวกขุนนางก็อย่าซื้อของซี อยากได้กระไรก็ให้บ่าวไพร่มันทำให้เสียทุกเรื่องเป็นเช่นไร”
“อย่าประชดประชันเลย ถึงพ่อแม่ท่านไม่สบายใจ ก็ไม่เคยออกปากห้ามแม่เอื้อยแตงไม่ใช่รึ นั่นก็เพราะท่านรักเมตตาแม่เอื้อยว่าเป็นหลาน ถึงไม่ถูกใจแต่ก็ยอมลงให้อย่างไรเล่า”
เอื้อยแตงหน้าขรึมลง
“แม่หญิงเรไรพูดเช่นนี้จะให้ฉันเลิกขายของใช่หรือไม่”
เรไรยิ้มแย้มเข้าทาง
“แม่เอื้อยแตงเป็นคนฉลาด ฉันไม่ได้บังคับใจดอกนะ แต่แม่เอื้อยลองตรองดูเองเถิด”
“ฉันก็ไม่อยากให้ท่านลุงกับท่านป้าไม่สบายใจดอก แต่ฉันเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่เรือนเฉยๆ ที่นี่มีบ่าวไพร่พรั่งพร้อมจนฉันไม่รู้จะทำกระไรแล้ว”
“ถ้าเบื่อหน่ายก็เรียนทำกับข้าวหรือทำงานเรือนกับฉันซี แม่เอื้อยแตงเคยหมิ่นว่าชาววังทำแต่งานพวกนี้ หาคุณกระไรไม่ได้ บัดนี้คงรู้แล้วกระมัง ว่างานพวกนี้หาได้ง่ายดายไม่”
เอื้อยแตงเริ่มลังเลตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาไงดี
ขณะนั้นเอง พิณก็เข้ามาหาเรไรแล้วคุกเข่าลง
“แม่หญิงเอื้อยแตงเจ้าคะ พันทิพศักดิ์มาขอพบเจ้าค่ะ”
“ เย็นป่านฉะนี้แล้ว อ้ายสินมาทำกระไรอีก มันบอกหรือไม่แม่พิณ”
“พันทิพบอกว่าตะพุ่นเสมาต้องโทษโบยหวายเจ้าค่ะ เพลานี้ปวดระบมจนได้ไข้ แต่มียาไม่พอจึงมาขอปันยาไปรักษาตะพุ่นเจ้าค่ะ”

เรไรและเอื้อยแตงต่างตกใจมากที่รู้ว่า เสมาโดนโบยจนไข้ขึ้น เรไรห่วงใยเสมาจับใจ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้
จบตอนที่ ๑๑
 
อ่านต่อตอนที่ ๑๒ พรุ่งนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น