อเอฟพี – นายกฯกรีซฉุดยูโรโซนกลับสู่แดนสนธยาอีกครั้ง แถมดึงตลาดหุ้นทั่วยุโรปทรุด ด้วยการประกาศให้รัฐสภาลงมติว่าจะไว้วางใจเขาหรือไม่ อีกทั้งยังจะให้ชาวกรีกลงประชามติว่าจะยอมรับข้อตกลงกู้วิกฤตหนี้ของประเทศหรือไม่
ขณะที่ผู้นำ 20 ชาติเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก (จี-20) เตรียมพร้อมหารือในวันพฤหัสฯ นี้ (3) โดยมีประเด็นหลักอยู่ที่วิกฤตเศรษฐกิจของยุโรป ความเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของนายกรัฐมนตรีจอร์จ ปาปันเดรอูในวันจันทร (31 ต.ค.) ทำให้เกิดความกลัวกันว่า ความพยายามฝ่าฟันแก้วิกฤตที่กระทำกันมา มีหวังจะต้องล้มเหลวลงอย่างรวดเร็วเสียแล้ว
ตลาดหุ้นสำคัญๆ ทั่วยุโรปดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันอังคาร(1พ.ย.) โดยในส่วนหุ้นกรีซนั้นทรุดลง 6.31% ท่ามกลางเสียงเตือนว่าการลงประชามติซึ่งมีหวังว่าประชาชนชาวกรีกอาจจะปฏิเสธไม่ยอมรับข้อตกลงในสัปดาห์ที่แล้วเพื่อรับเงินอัดฉีดก้อนใหม่ จะมีความหมายเท่ากับทำให้เอเธนส์ต้องบอกลาการเป็นชาติสมาชิกใช้สกุลเงินยูโร
พาดริก การ์วีย์ นักวิเคราะห์จากไอเอ็นจี กล่าวว่าการทำประชามติจะเท่ากับเป็นการลงมติว่า ชาวกรีซต้องการอยู่ในยูโรโซนต่อไปหรือไม่
ปาปันเดรอูที่มีส.ส.ในรัฐสภา 153 เสียง จากทั้งหมด 300 ที่นั่ง ถูกต่อต้านหนักข้อขึ้นจากสมาชิกพรรคของตนเองเกี่ยวกับนโยบายรัดเข็มขัดที่ได้ทำความตกลงไว้กับสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)โดยที่ข้อตกลงเหล่านี้เป็นต้นเหตุการนัดหยุดงานและการประท้วงของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งหลายจุดเต็มไปด้วยความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง อียูกับไอเอ็มเอฟก็จับตามมองเอเธนส์อย่างใกล้ชิด ด้วยความกังวลว่าการไม่ทำตามมาตรการเหล่านี้ จะทำให้กรีซไม่สามารถแก้ไขวิกฤตหนี้สินภาครัฐของตน ซึ่งก็ทำให้ยูโรโซนโดยองค์รวมไร้เสถียรภาพ อีกทั้งยังทำให้ปัญหาลุกลามติดเชื้อไปสู่ชาติยูโรโซนรายอื่นๆ ที่ก็มีปัญหาหนี้สินสาธารณะหนักหน่วงอยู่เหมือนกัน
นอกจากการทำประชามติที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นต้นปีหน้าแล้ว ปาปันเดรอูยังต้องฝ่าฟันมติไว้วางใจในสภาวันศุกร์นี้ (4) ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของซัมมิตจี 20 ที่เมืองคานส์ ฝรั่งเศส
แม้ข้อตกลงที่ผ่านความเห็นชอบจากบรรดาผู้นำของอียูเมื่อวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (26 ต.ค.) ภายหลังการเจรจามาราธอนตั้งแต่ช่วงเย็นวันพุธในกรุงบรัสเซลส์ มีเรื่องที่ให้ลดหนี้ 100,000 ล้านยูโรให้กรีซ แต่ก็มีการตั้งเงื่อนไขให้เอเธนส์ยังต้องดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดเข้มงวดเพื่อให้ได้รับเงินกู้งวดที่ 2
ทั้งนี้ ชาวกรีซมากมายเชื่อว่ารัฐบาลอ่อนข้อมากเกินไปที่ยอมให้อียูและไอเอ็มเอฟเข้ามาบงการนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อตกลงช่วยเหลือสองรอบมูลค่าหลายพันล้านยูโร ขณะที่พรรคฝ่ายค้านใหญ่ นิว เดโมเครซี ก็ออกมาโจมตีปาปันเดรอูที่จะจัดการลงประชามติคราวนี้ว่า เลินเล่อและอันตราย พร้อมกล่าวหาว่าเป็นการนำเอาอนาคตของกรีซที่จะได้อยู่ในยูโรโซนต่อไปหรือไม่ มาวางเป็นเดิมพัน
ในการสำรวจความคิดเห็นโดยหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่งเมื่อวันอาทิตย์ (30 ต.ค.) ชาวกรีซ 58% มองข้อตกลงช่วยเหลือของพวกผู้นำอียูในวันพุธ-พฤหัสบดีที่ผ่านมาในแง่ลบหรือเกือบติดลบ แม้ 72% เห็นว่ากรีซควรใช้เงินยูโรต่อไปก็ตาม
คริสตอฟ เวล นักวิเคราะห์ของคอมเมิร์ซแบงก์ กล่าวว่าการปฏิเสธแพ็คเกจความช่วยเหลือจะส่งผลรุนแรงต่อกรีซ เนื่องจากจะทำให้ประชาคมระหว่างประเทศระงับการอัดฉีด และกรีซต้องถอนตัวจากการเป็นสมาชิกเงินสกุลเดียว สร้างความสับสนวุ่นวายให้แก่นักลงทุน
ขณะเดียวกัน ในรายงานที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันจันทร์ องค์การเพื่อการร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ระบุว่าการดำเนินมาตรการอย่างรวดเร็วของผู้นำอียูเพื่อผ่านมาตรการช่วยเหลือออกมาเป็นกฎหมาย ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
“ความอ่อนแอในปัจจุบันเป็นผลจากการขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของผู้วางนโยบายในการผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ดังนั้น การดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อฟื้นความยั่งยืนทางการคลังระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็น” อังเกล กูร์เรีย ประธานโออีซีดี กล่าว
ขณะที่ผู้นำ 20 ชาติเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก (จี-20) เตรียมพร้อมหารือในวันพฤหัสฯ นี้ (3) โดยมีประเด็นหลักอยู่ที่วิกฤตเศรษฐกิจของยุโรป ความเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของนายกรัฐมนตรีจอร์จ ปาปันเดรอูในวันจันทร (31 ต.ค.) ทำให้เกิดความกลัวกันว่า ความพยายามฝ่าฟันแก้วิกฤตที่กระทำกันมา มีหวังจะต้องล้มเหลวลงอย่างรวดเร็วเสียแล้ว
ตลาดหุ้นสำคัญๆ ทั่วยุโรปดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันอังคาร(1พ.ย.) โดยในส่วนหุ้นกรีซนั้นทรุดลง 6.31% ท่ามกลางเสียงเตือนว่าการลงประชามติซึ่งมีหวังว่าประชาชนชาวกรีกอาจจะปฏิเสธไม่ยอมรับข้อตกลงในสัปดาห์ที่แล้วเพื่อรับเงินอัดฉีดก้อนใหม่ จะมีความหมายเท่ากับทำให้เอเธนส์ต้องบอกลาการเป็นชาติสมาชิกใช้สกุลเงินยูโร
พาดริก การ์วีย์ นักวิเคราะห์จากไอเอ็นจี กล่าวว่าการทำประชามติจะเท่ากับเป็นการลงมติว่า ชาวกรีซต้องการอยู่ในยูโรโซนต่อไปหรือไม่
ปาปันเดรอูที่มีส.ส.ในรัฐสภา 153 เสียง จากทั้งหมด 300 ที่นั่ง ถูกต่อต้านหนักข้อขึ้นจากสมาชิกพรรคของตนเองเกี่ยวกับนโยบายรัดเข็มขัดที่ได้ทำความตกลงไว้กับสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)โดยที่ข้อตกลงเหล่านี้เป็นต้นเหตุการนัดหยุดงานและการประท้วงของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งหลายจุดเต็มไปด้วยความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง อียูกับไอเอ็มเอฟก็จับตามมองเอเธนส์อย่างใกล้ชิด ด้วยความกังวลว่าการไม่ทำตามมาตรการเหล่านี้ จะทำให้กรีซไม่สามารถแก้ไขวิกฤตหนี้สินภาครัฐของตน ซึ่งก็ทำให้ยูโรโซนโดยองค์รวมไร้เสถียรภาพ อีกทั้งยังทำให้ปัญหาลุกลามติดเชื้อไปสู่ชาติยูโรโซนรายอื่นๆ ที่ก็มีปัญหาหนี้สินสาธารณะหนักหน่วงอยู่เหมือนกัน
นอกจากการทำประชามติที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นต้นปีหน้าแล้ว ปาปันเดรอูยังต้องฝ่าฟันมติไว้วางใจในสภาวันศุกร์นี้ (4) ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของซัมมิตจี 20 ที่เมืองคานส์ ฝรั่งเศส
แม้ข้อตกลงที่ผ่านความเห็นชอบจากบรรดาผู้นำของอียูเมื่อวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (26 ต.ค.) ภายหลังการเจรจามาราธอนตั้งแต่ช่วงเย็นวันพุธในกรุงบรัสเซลส์ มีเรื่องที่ให้ลดหนี้ 100,000 ล้านยูโรให้กรีซ แต่ก็มีการตั้งเงื่อนไขให้เอเธนส์ยังต้องดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดเข้มงวดเพื่อให้ได้รับเงินกู้งวดที่ 2
ทั้งนี้ ชาวกรีซมากมายเชื่อว่ารัฐบาลอ่อนข้อมากเกินไปที่ยอมให้อียูและไอเอ็มเอฟเข้ามาบงการนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อตกลงช่วยเหลือสองรอบมูลค่าหลายพันล้านยูโร ขณะที่พรรคฝ่ายค้านใหญ่ นิว เดโมเครซี ก็ออกมาโจมตีปาปันเดรอูที่จะจัดการลงประชามติคราวนี้ว่า เลินเล่อและอันตราย พร้อมกล่าวหาว่าเป็นการนำเอาอนาคตของกรีซที่จะได้อยู่ในยูโรโซนต่อไปหรือไม่ มาวางเป็นเดิมพัน
ในการสำรวจความคิดเห็นโดยหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่งเมื่อวันอาทิตย์ (30 ต.ค.) ชาวกรีซ 58% มองข้อตกลงช่วยเหลือของพวกผู้นำอียูในวันพุธ-พฤหัสบดีที่ผ่านมาในแง่ลบหรือเกือบติดลบ แม้ 72% เห็นว่ากรีซควรใช้เงินยูโรต่อไปก็ตาม
คริสตอฟ เวล นักวิเคราะห์ของคอมเมิร์ซแบงก์ กล่าวว่าการปฏิเสธแพ็คเกจความช่วยเหลือจะส่งผลรุนแรงต่อกรีซ เนื่องจากจะทำให้ประชาคมระหว่างประเทศระงับการอัดฉีด และกรีซต้องถอนตัวจากการเป็นสมาชิกเงินสกุลเดียว สร้างความสับสนวุ่นวายให้แก่นักลงทุน
ขณะเดียวกัน ในรายงานที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันจันทร์ องค์การเพื่อการร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ระบุว่าการดำเนินมาตรการอย่างรวดเร็วของผู้นำอียูเพื่อผ่านมาตรการช่วยเหลือออกมาเป็นกฎหมาย ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
“ความอ่อนแอในปัจจุบันเป็นผลจากการขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของผู้วางนโยบายในการผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ดังนั้น การดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อฟื้นความยั่งยืนทางการคลังระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็น” อังเกล กูร์เรีย ประธานโออีซีดี กล่าว
