ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - มรสุมกระหน่ำถล่มภาคใต้ น้ำทะเลหนุนส่งผลให้ 2 หมู่บ้านตะลุมพุก เมืองคอนได้รับความเสียหาย ชาวบ้านทนทุกข์อยู่กับน้ำทะเลท่วมทั้งหมู่บ้าน ส่วนที่หาดชลาทัศน์แหลมสมิหลาต้นสนล้มระเนระนาด ขณะที่บ้านโบราณอายุนับ 100 ปีย่านถนนนางงาม เมืองสงขลาที่กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนรอการบูรณะถูกพายุฝนกระหน่ำพังทลายทั้งหลัง
วานนี้ (31 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศของการเริ่มฤดูมรสุมของชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ ต.แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบภัยจากการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างหนักและต่อเนื่องได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุดคลื่นได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่ปกคลุมอ่าวไทย แม้ว่าจะยังไม่เกิดพายุใดๆ เข้ามาก็ตาม แต่ด้วยอิทธิพลของมรสุมและน้ำทะเลหนุนสูงได้ส่งผลให้มีคลื่นสูงพัดเข้าหาชายฝั่งหมู่ที่ 2 และ 3 ต.แหลมตะลุมพุก อย่างต่อเนื่อง จนส่งผลพื้นที่ริมหาดฝั่งตะวันออกของถนนคอนกรีตที่พาดอยู่กลางหมู่บ้าน ถูกคลื่นซัดกระแทกจนพังเสียหายไปแล้วหลายหลัง สวนมะพร้าวล้มระเนระนาด
ขณะที่น้ำทะเลได้ไหลเข้าท่วมกลางหมู่บ้านชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องจากส่วนใหญ่มีอาชีพประกอบการประมงชายฝั่งขนาดเล็กต้องหยุดทำการประมงไปโดยปริยาย
ส่วนที่บริเวณชายหาดชลาทัศน์ แหลมสมิหลา อ.เมือง จ.สงขลา ตั้งแต่บ่ายวานนี้คลื่นที่ซัดเข้าสู่ชายหาดได้กัดเซาะพื้นที่ชายหาดชลาทัศน์ ทำให้ต้นสนขนาดใหญ่ที่อยู่ริมหาดล้มกว่าสิบต้นและชายหาดถูกคลื่นกัดเซาะระยะทางกว่า 100 เมตร แม้ในบริเวณดังกล่าวทางเทศบาลนครสงขลา จะมีการสร้างเขื่อนแคเบี้ยนซึ่งเป็นเขื่อนแบบตะแกรงเหล็กใส่ก้อนหินมาฝังไว้ตลอดแนวชายหาด เพื่อป้องกันคลื่นกัดเซาะชายหาดและต้นสนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานคลื่นลมที่มีกำลังแรงได้และเขื่อนแคเบี้ยนบางส่วนยังถูกคลื่นซัดเสียหาย
หลังเกิดเหตุ นายสมชาย เมฆาอภิรักษ์ รองนายกเทศมนตรีนครสงขลา ได้ระดมคนงานและรถเจซีบีนำกระสอบทรายกว่า 1 หมื่นกระสอบมาวางไว้ใต้โคนต้นสนที่ถูกคลื่นกัดเซาะจนเหลือรากเพื่อไม่ให้ล้มเพิ่มเติม รวมทั้งนำกระสอบทรายมาเรียงซ้อนกันบริเวณชายหาดที่ถูกคลื่นกัดเซาะเพื่อเป็นคันกั้นลดความรุนแรงของคลื่นที่พัดเข้าสู่ชายหาดไม่ให้สร้างความเสียหายขยายวงกว้างเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพคลื่นลมในทะเลอ่าวไทยยังคงมีกำลังแรงในระยะนี้
ก่อนหน้านี้ ช่วงเวลา 00.12 น.ของวานนี้(31)บ้านทรงจีนโบราณ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 อายุประมาณ170 ปี ตั้งอยู่ย่านถนนนางงาม เขตเทศบาลนครสงขลา พังทลายลงมาทั้งหลัง เนื่องจากภาวะฝนตกหนักและลมกรรโชกแรงอย่างต่อเนื่อง แต่โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บ และไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนของชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง มีเพียงเสาไฟฟ้าหักโค่น 1 ต้น เนื่องจากบ้านที่พังลงมาไปพาดกับสายไฟ
วานนี้ (31 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศของการเริ่มฤดูมรสุมของชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ ต.แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบภัยจากการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างหนักและต่อเนื่องได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุดคลื่นได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่ปกคลุมอ่าวไทย แม้ว่าจะยังไม่เกิดพายุใดๆ เข้ามาก็ตาม แต่ด้วยอิทธิพลของมรสุมและน้ำทะเลหนุนสูงได้ส่งผลให้มีคลื่นสูงพัดเข้าหาชายฝั่งหมู่ที่ 2 และ 3 ต.แหลมตะลุมพุก อย่างต่อเนื่อง จนส่งผลพื้นที่ริมหาดฝั่งตะวันออกของถนนคอนกรีตที่พาดอยู่กลางหมู่บ้าน ถูกคลื่นซัดกระแทกจนพังเสียหายไปแล้วหลายหลัง สวนมะพร้าวล้มระเนระนาด
ขณะที่น้ำทะเลได้ไหลเข้าท่วมกลางหมู่บ้านชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เนื่องจากส่วนใหญ่มีอาชีพประกอบการประมงชายฝั่งขนาดเล็กต้องหยุดทำการประมงไปโดยปริยาย
ส่วนที่บริเวณชายหาดชลาทัศน์ แหลมสมิหลา อ.เมือง จ.สงขลา ตั้งแต่บ่ายวานนี้คลื่นที่ซัดเข้าสู่ชายหาดได้กัดเซาะพื้นที่ชายหาดชลาทัศน์ ทำให้ต้นสนขนาดใหญ่ที่อยู่ริมหาดล้มกว่าสิบต้นและชายหาดถูกคลื่นกัดเซาะระยะทางกว่า 100 เมตร แม้ในบริเวณดังกล่าวทางเทศบาลนครสงขลา จะมีการสร้างเขื่อนแคเบี้ยนซึ่งเป็นเขื่อนแบบตะแกรงเหล็กใส่ก้อนหินมาฝังไว้ตลอดแนวชายหาด เพื่อป้องกันคลื่นกัดเซาะชายหาดและต้นสนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานคลื่นลมที่มีกำลังแรงได้และเขื่อนแคเบี้ยนบางส่วนยังถูกคลื่นซัดเสียหาย
หลังเกิดเหตุ นายสมชาย เมฆาอภิรักษ์ รองนายกเทศมนตรีนครสงขลา ได้ระดมคนงานและรถเจซีบีนำกระสอบทรายกว่า 1 หมื่นกระสอบมาวางไว้ใต้โคนต้นสนที่ถูกคลื่นกัดเซาะจนเหลือรากเพื่อไม่ให้ล้มเพิ่มเติม รวมทั้งนำกระสอบทรายมาเรียงซ้อนกันบริเวณชายหาดที่ถูกคลื่นกัดเซาะเพื่อเป็นคันกั้นลดความรุนแรงของคลื่นที่พัดเข้าสู่ชายหาดไม่ให้สร้างความเสียหายขยายวงกว้างเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพคลื่นลมในทะเลอ่าวไทยยังคงมีกำลังแรงในระยะนี้
ก่อนหน้านี้ ช่วงเวลา 00.12 น.ของวานนี้(31)บ้านทรงจีนโบราณ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 อายุประมาณ170 ปี ตั้งอยู่ย่านถนนนางงาม เขตเทศบาลนครสงขลา พังทลายลงมาทั้งหลัง เนื่องจากภาวะฝนตกหนักและลมกรรโชกแรงอย่างต่อเนื่อง แต่โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บ และไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนของชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง มีเพียงเสาไฟฟ้าหักโค่น 1 ต้น เนื่องจากบ้านที่พังลงมาไปพาดกับสายไฟ