ASTVผู้จัดการรายวัน - กนง.ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจแทบทุกตัว โดยเฉพาะประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้และปีหน้า เหลือ 2.6% และ 4.1% แต่ปีนี้มีโอกาสต่ำกว่า 2.6% เพราะสถานการณ์อุทกภัยยังไม่จบและเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงอยู่ ส่วนเศรษฐกิจไตรมาส 4 คาดติดลบ 1.9% แต่มั่นใจน้ำท่วมไม่ทำให้เกิดการว่างงานเรื้อรัง
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในขณะนี้แรงกดดันความเสี่ยงในแง่ของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นทั้งจากสถานการณ์อุทกภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นภายในประเทศและปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากเศรษฐกิจประเทศหลัก ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ โดยปีนี้ปรับลดเหลือ 2.6% จากเดิมประเมินไว้ช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา 4.1% และปีหน้าปรับมาอยู่ที่ 4.1% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขเดิม 4.2% เพราะเชื่อในศักยภาพเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่อไปได้
“กนง.คาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้น่าจะติดลบ 1.9% เทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบช่วงไตรมาส 4 ปีนี้กับไตรมาส 4 ของปีก่อนหน้า เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้เป็นบวก 0.8% อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ประเมินไว้ ณ วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่นิ่งคาดว่าจะมีผลกระทบเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ จึงคาดว่าการประชุมกนง.ในวันที่ 30 พ.ย. อาจมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลดลงต่ำกว่า 2.6% จากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไทยครั้งนี้”
การปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้ กนง.ได้ประเมินว่าความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมีผลให้เศรษฐกิจไทยลดลง 0.2-0.3%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งระยะต่อไปเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวอ่อนแอลง แต่ไม่ถึงขั้นติดลบ ส่วนปัญหาอุทกภัยคาดว่าจะมีผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งการส่งออก การบริโภค
และการลงทุนภาคเอกชนลดลงในภาพรวมลดลงประมาณ 1.1%ของจีดีพีเช่นกัน ซึ่งจะมีผลให้การผลิตและรายได้ของประเทศหายไปประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งได้รวมผลกระทบนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งแล้ว แต่ยังไม่รวมถึงน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม ธปท.เชื่อว่าปัญหาน้ำท่วมไม่น่าจะกระทบต่อศักยภาพการผลิตของประเทศในระยะยาว โดยมองว่าทางการไทยจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยไม่ให้เกิดซ้ำซากในปีต่อไป ทำให้ผู้ประกอบการและนักธุรกิจมีความมั่นใจมากขึ้นและไม่ย้ายฐานการผลิต ขณะเดียวกันเกิดการซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย ทำให้เกิดการลงทุนและนำเข้าเครื่องจักร เพื่อทดแทนส่วนที่เสียหายต่อไป
นอกจากนี้ในที่ประชุมครั้งนี้ยังได้พิจารณาถึงผลเชื่อมโยงเรื่องการจ้างงานเช่นกัน โดยมองว่าก่อนหน้าเกิดอุทกภัย ตลาดแรงงานไทยค่อนข้างตึงตัวและอัตราการว่างงานประมาณ 0.5% ต่ำที่สุดในโลกและต่ำสุดตั้งแต่ที่ธปท.เก็บตัวเลขเรื่องนี้มา แต่เชื่อว่าปัญหาน้ำท่วมจะไม่มีผลให้เกิดการว่างงานเรื้อรัง เพราะการปิดตัวโรงงานแค่ปัจจัยชั่วคราว
ประกอบเชื่อว่าแรงงานไทยค่อนข้างมีทักษะที่ดีในระดับหนึ่ง ทำให้โรงงานต่างพยายามรักษาส่วนนี้ไว้ ฉะนั้นเมื่อโรงงานเปิดทำงานได้เชื่อว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเช่นดิม
"ในส่วนของตัวเลขสำคัญอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทยต่างลดลงแทบทั้งสิ้น ยกเว้นมูลค่าการนำเข้าสินค้าเพิ่มเป็น 28.2% จากเดิม 26.9% สำหรับปีนี้ เช่นเดียวกับตัวเลขดุลการค้าเพิ่มเป็น 26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงประมาณการเดิมไว้ที่ 2.4% สำหรับปี 54 และในปี 55 เพิ่มเป็น 2.5% จากเดิม 2.3%อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงเหลือ 3.8% จากเดิม 3.9%และปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 3.5%" ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าว.
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในขณะนี้แรงกดดันความเสี่ยงในแง่ของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นทั้งจากสถานการณ์อุทกภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นภายในประเทศและปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากเศรษฐกิจประเทศหลัก ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ โดยปีนี้ปรับลดเหลือ 2.6% จากเดิมประเมินไว้ช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา 4.1% และปีหน้าปรับมาอยู่ที่ 4.1% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขเดิม 4.2% เพราะเชื่อในศักยภาพเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่อไปได้
“กนง.คาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้น่าจะติดลบ 1.9% เทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบช่วงไตรมาส 4 ปีนี้กับไตรมาส 4 ของปีก่อนหน้า เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้เป็นบวก 0.8% อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ประเมินไว้ ณ วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่นิ่งคาดว่าจะมีผลกระทบเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ จึงคาดว่าการประชุมกนง.ในวันที่ 30 พ.ย. อาจมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลดลงต่ำกว่า 2.6% จากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไทยครั้งนี้”
การปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้ กนง.ได้ประเมินว่าความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมีผลให้เศรษฐกิจไทยลดลง 0.2-0.3%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งระยะต่อไปเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวอ่อนแอลง แต่ไม่ถึงขั้นติดลบ ส่วนปัญหาอุทกภัยคาดว่าจะมีผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งการส่งออก การบริโภค
และการลงทุนภาคเอกชนลดลงในภาพรวมลดลงประมาณ 1.1%ของจีดีพีเช่นกัน ซึ่งจะมีผลให้การผลิตและรายได้ของประเทศหายไปประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งได้รวมผลกระทบนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งแล้ว แต่ยังไม่รวมถึงน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม ธปท.เชื่อว่าปัญหาน้ำท่วมไม่น่าจะกระทบต่อศักยภาพการผลิตของประเทศในระยะยาว โดยมองว่าทางการไทยจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยไม่ให้เกิดซ้ำซากในปีต่อไป ทำให้ผู้ประกอบการและนักธุรกิจมีความมั่นใจมากขึ้นและไม่ย้ายฐานการผลิต ขณะเดียวกันเกิดการซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย ทำให้เกิดการลงทุนและนำเข้าเครื่องจักร เพื่อทดแทนส่วนที่เสียหายต่อไป
นอกจากนี้ในที่ประชุมครั้งนี้ยังได้พิจารณาถึงผลเชื่อมโยงเรื่องการจ้างงานเช่นกัน โดยมองว่าก่อนหน้าเกิดอุทกภัย ตลาดแรงงานไทยค่อนข้างตึงตัวและอัตราการว่างงานประมาณ 0.5% ต่ำที่สุดในโลกและต่ำสุดตั้งแต่ที่ธปท.เก็บตัวเลขเรื่องนี้มา แต่เชื่อว่าปัญหาน้ำท่วมจะไม่มีผลให้เกิดการว่างงานเรื้อรัง เพราะการปิดตัวโรงงานแค่ปัจจัยชั่วคราว
ประกอบเชื่อว่าแรงงานไทยค่อนข้างมีทักษะที่ดีในระดับหนึ่ง ทำให้โรงงานต่างพยายามรักษาส่วนนี้ไว้ ฉะนั้นเมื่อโรงงานเปิดทำงานได้เชื่อว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเช่นดิม
"ในส่วนของตัวเลขสำคัญอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทยต่างลดลงแทบทั้งสิ้น ยกเว้นมูลค่าการนำเข้าสินค้าเพิ่มเป็น 28.2% จากเดิม 26.9% สำหรับปีนี้ เช่นเดียวกับตัวเลขดุลการค้าเพิ่มเป็น 26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงประมาณการเดิมไว้ที่ 2.4% สำหรับปี 54 และในปี 55 เพิ่มเป็น 2.5% จากเดิม 2.3%อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงเหลือ 3.8% จากเดิม 3.9%และปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 3.5%" ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าว.
