xs
xsm
sm
md
lg

ห่วงคนไทยที่เป็นคนยากคนจนดีกว่ามั้ง

เผยแพร่:   โดย: ราวี เวียงพยัคฆ์

อุทกภัยครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งจมน้ำไปแล้ว ค่าเสียหายเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท ยังมีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างจะจมน้ำหรือจะรอดอีกหลายแห่ง ทางตะวันออกของกรุงเทพฯ อันเนื่องมาจากการผันน้ำจากเหนือไปตะวันออกลงสู่แม่น้ำบางปะกง และลงสู่ทะเล

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่เคยหลั่งน้ำตากับเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งประสบอุทกภัย เปิดเผยว่า ยอมรับว่าเป็นห่วงนักลงทุนจะย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย รัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมมือกันแก้ไข และมีความชัดเจนในการวางแผนป้องกันในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน ซึ่งจำเป็นต้องขาดดุลงบประมาณจำนวนมากเพิ่มขึ้น พร้อมออกกฎหมายกู้เงินจำนวนมาก เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาน้ำในปีหน้าหลายแสนล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ประเมินว่าจะใช้มากน้อยเพียงใด แต่ถึงจะใช้เงินมากแค่ไหนก็ต้องลงทุน เพราะคุ้มค่า

“เป็นห่วงการย้ายฐานการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงการลงทุนจากหลายส่วน จากคำพูดของนักลงทุนที่บอกว่า หากทุกส่วนช่วยแก้ไขและป้องกันปัญหาเต็มที่ จะไม่ย้ายไปไหน ผมตีความได้ว่า ถ้าไม่ทำเต็มที่เขาจะย้ายไป จึงต้องช่วยกันเพื่อสร้างความมั่นใจ” นายกิตติรัตน์ กล่าว

ผมไม่เห็นนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แสดงอาการเป็นห่วงเป็นใยชาวบ้านที่เป็นประชาชนตาดำๆ ที่ประสบปัญหาอุทกภัย บ้านช่องถูกน้ำท่วม ไร่นาสาโทเสียหาย หมดเนื้อหมดตัว ไม่ว่าจะโดยการหลั่งน้ำตาหรือคำพูด หรือแม้กระทั่งแผนการฟื้นคืนชีวิตของประชาชนคนไทย

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กลับห่วงนักลงทุนต่างชาติ ห่วงว่าเขาจะย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น ไปประเทศอื่น

นี่เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้บริหารประเทศมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เฉพาะนายกิตติรัตน์ที่เป็นห่วงเป็นใยนักลงทุนต่างชาติ

เมื่อเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่อยากแปรสภาพประเทศเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมก็ส่งเสริมการลงทุนเป็นการใหญ่ เชิญชวนต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย โดยป่าวประกาศไปทั่วโลกว่า ประเทศไทยเหมาะแก่การลงทุนที่สุด รัฐบาลไทยให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ (เพราะรัฐมนตรีที่ร่วมเป็นรัฐบาลนั้นมีส่วน มีหุ้นในการลงทุนด้วย) เพราะเชื่อว่า ประเทศจะเจริญก้าวหน้าต้องเป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่าง อังกฤษ เยอรมนีหรือญี่ปุ่น

เพื่อให้เกิดการลงทุน รัฐบาลไทยจึงได้เปิดประเทศอย่างเต็มที่ จะสร้างโรงงานที่ไหนให้เลือกเอา ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ความเจริญยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เขาก็ต้องเลือกที่ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เพื่อสะดวกในการขนส่งนำวัตถุดิบเข้ามา และส่งสินค้าที่ผลิตได้ออกไปต่างประเทศ

ทุ่งอยุธยาที่เหมาะแก่การทำนาจึงกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม บริเวณอื่นๆ ก็เช่นกัน เป็นต้น อ้อมน้อย ลาดกระบัง ฯลฯ

คราวนี้ก็มาถึงแรงงาน รัฐบาลไทยไม่ว่าชุดใด ต่างโฆษณาให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อและมั่นใจว่าค่าแรงคนงานไทยถูกที่สุด ถูกมากๆ เหมาะแก่การลงทุนเป็นอย่างยิ่ง และรัฐบาลไทยก็รับใช้นักลงทุนต่างชาติอย่างเต็มที่ เมื่อนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทยแล้ว หากมีความขัดแย้งกันขึ้นกับคนงานไทย ราชการไทย โดยรัฐบาลก็จะปกป้องนักลงทุนต่างชาติ (บางแห่งมีคนไทยร่วมหุ้นด้วย และคนไทยนั้นอาจจะเป็นใหญ่ในกองทัพในรัฐบาล) ขู่ปรามคนงานไทยที่ประท้วง ที่เรียนกร้องความเป็นธรรมว่า อย่าทำให้เสียบรรยากาศของการลงทุน

รัฐบาลไทย ข้าราชการไทยไม่เคยที่จะบอกนักลงทุนต่างชาติเลยว่า เอารัดเอาเปรียบคนงานไทย อย่ากดขี่ข่มเหงคนไทย

อย่างที่นายกิตติรัตน์ห่วงนักลงทุนต่างชาติจะย้ายฐานการผลิตไป เพราะน้ำท่วมหนนี้ เพราะฉะนั้นต้องกู้เงินมาหลายหมื่นหลายแสนล้านบาท มาสร้างหลักประกันว่าปีหน้าหรือปีต่อๆ ไปน้ำจะไม่ท่วม

เขาไม่ได้คิดว่าจะกู้เงินมาเพื่อหาทางฟื้นฟูชีวิตประชาชนคนไทยที่สิงห์บุรี อ่างทอง นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลกที่เป็นชาวไร่ชาวนาเลย

แน่ละการกู้เงินมาเพื่อช่วยให้โรงงานอุตสาหกรรมเปิดขึ้นได้ นักลงทุนต่างชาติไม่หนีไปไหน คนไทยจะได้มีงานทำ จะได้ขายแรงงานถูกๆ ให้ต่างชาติกดขี่ต่อไป มันจะถูกต้องหรือ

อย่าไปห่วงเลยครับว่านักลงทุนจะหนีไปที่อื่น ไม่มีที่ไหนอีกแล้วเป็นสวรรค์สำหรับนักลงทุนต่างชาตินอกจากประเทศไทย มีอำนาจรัฐคอยเอื้อประโยชน์

(เพราะบางทีก็มีประโยชน์ด้วยกัน) ทั้งกดขี่ เอารัดเอาเปรียบคนในชาติเดียวกัน ทั้งได้โควตาการส่งออกจากประเทศไทยไม่มีอีกแล้วครับ อย่าห่วงว่าเขาจะไปเลย

เอาเวลามาคิดฟื้นคืนชีวิตให้ประชาชนคนไทยที่ประสบอุทกภัยที่หมดเนื้อหมดตัว ว่าเขาจะทำมาหากิน (โดยที่ไม่ต้องขายแรงงานราคาถูกให้ต่างชาติเอารัดเอาเปรียบ) ได้อย่างไร ไร่นาสาโทเขาจะฟื้นขึ้นมาอย่างไรได้บ้าง อุทกภัยที่พวกเขาจะต้องเผชิญทุกปีจะขจัดปัดเป่าไปได้อย่างไร ใต้เขื่อนใหญ่จะต้องมีคลองส่งน้ำเกิดขึ้นอีก มีบึง มีหนองน้ำที่จะรับน้ำได้หรือไม่

อย่างนี้น่าจะดีกว่าห่วงนักลงทุนที่หอบกำไรไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น