วานนี้ (18 ต.ค.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณือุทกภัยขณะนี้ ไม่จำเป็นต้องประกาศพ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพราะแผนเดิมที่ใช้อยู่ยังสามารถดำเนินการได้
ทั้งนี้เป็นการกล่าวภายหลังเดินทางไปตรวจการขุดคลอง ที่นครปฐม ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเรียกร้องให้รัฐบาล ประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินในพื้นที่อุทกภัย แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมอบหมายให้กองทัพไทยเป็นผู้บริการสถานการณ์ ใน 5 จังหวัดที่วิกฤตน้ำท่วมแต่ไม่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
“ผมบอกหลายครั้งแล้วว่ารัฐบาลไม่ควรลังเลในเรื่องภาพลักษณ์ที่จะใช้กฏหมายพิเศษในการจัดการเพราะมีความจำเป็น เพราะน้ำที่ทะลักเข้ามาบริเวณจุดรอยต่อบริเวณปริมณฑลและกรุงเทพ มีความขัดแย้งหลายจุดต้องจัดการให้ชัดเจน สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องตัดสินใจ เพราะหากจะอ้างเหตุผลเพียงภาพลักษณ์คงฟังไม่ขึ้น เพราะชาวโลกรับรู้จากเหตุที่เกิดขึ้นจริง อะไรที่จำเป็นเพื่อชีวิตประชาชนต้องทำ และเชื่อว่าสถานการณ์ขณะนี้ประชาชนรับได้ ทั้งนี้เชื่อว่าหลังได้รับมอบหมาย ทางกองทัพน่าจะมีความพร้อมมากกว่าหน่วยอื่น ทั้งกำลังคนและเครื่องมือ”
รายงานระบุว่า การไม่ประกาศพรก.ฉุกเฉิน เนื่องจาก ขณะนี้รัฐบาลมีความหวาดหวั่นที่จะให้อำนาจทหารขณะนี้
มีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดรัฐบาลไทยจึงยังไม่กล้ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในประเทศอเมริกากลาง ในขณะนี้ เช่น “เอลซัลวาดอร์” ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากภัยพายุดีเปรสชั่นมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 32 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตจากดินถล่ม และต้องอพยพประชาชนกว่า 20,000 คน หรือ“กัวเตมาลา”ที่ได้รับความเสียหายมากเป็นอันดับสอง ยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศรวม 28 รายแล้วและยังมีผู้สูญหาย 2 คน ขณะที่ประธานาธิบดีอัลวาโร โคลอม ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วซึ่งจะต้องรอการอนุมัติจากสภาคองเกรส เช่นเดียวกับ “ฮอนดูรัส และนิคารากัว” ก็มีการประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว
**ฝ่ายค้านเรียกร้องรัฐปลดโฆษก ศปภ.
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรียกร้องให้รัฐบาลหยุดใช้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหรือศปภ เป็นแค่“ศูนย์ปั้นภาพ”ให้นายกรัฐมนตรี ปั้นภาพสถานการณ์ว่าอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ในทุกระดับการแถลงข่าวของผู้เกี่ยวข้องควรแยกประเด็นภารกิจนายกรัฐมนตรีออกจากการให้ข่าวสารเตือนภัย เพราะเป็นการเบียดเบียนปล้นเวลาการสื่อสารสาธารณะ ชาวบ้านต้องทุกข์ระทมจากโจรปล้นทรัพยฺในภาวะน้ำท่วมอยู่แล้ว อย่าให้ประชาชนต้องถูกปล้นเวลาของประชาชนไปเป็นวาระเพื่อรัฐบาล การนำเสนอผ่านช่อง 11 นอกจากรายงานสถานการณ์แล้ว ยังควรใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดความสามัคคี จิตอาสา ความเสียสละ เช่น การนำภาพความมีวินัยของชาวญี่ปุ่นที่ให้ความร่วมมือกับรัฐในการจัดการปัญหายามเกิดภัยพิบัติ ความเสียสละของคนไทยในพื้นที่น้ำท่วมหลายแห่งที่ยอมจมน้ำเพื่อส่วนรวม แทนการสร้างมิวสิคบ้านทรายทอง
“มีความน่ากังวลเกี่ยวกับบรรยากาศภายใน ศูนย์ปั้นภาพ ที่ควรเป็นศูนย์รวมจิตใจไทยทุกคนในการร่วมมือช่วยผู้ประสบภัย แต่ในขณะนี้กลับมีการกันพื้นที่บางส่วนเป็นการเฉพาะให้กับคนเสื้อแดงใช้เป็นฐานปฏิบัติการควบคุมคนอื่น ตั้งกองเชียร์นายกรัฐมนตรี ไม่ต่างจากที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทย โดยระหว่างที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์จะมีคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งไปยืนคอยฟัง เป็นการกดดันการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทางอ้อม เมื่อสัมภาษณ์เสร็จก็จะตะโกนเชียร์ ซึ่งไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้กลายเป็นวาระปกติในสถานที่ราชการหยุดใช้ ศปภ เขย่าขวัญประชาชนด้วยการให้คนที่ไม่มีความเข้าใจในสถานการณ์อย่างแท้จริงมาสื่อสารกับประชาชน เพียงเพราะพูดคล่องเชียร์นายกได้ แต่ควรให้เป็นเวทีแถลงข่าวของคนที่รู้จริง โดยควรกำหนดเวลาแถลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนได้ติดตามเพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์”
** จี้หยุดใช้การเมืองนำการแก้ปัญหา
นอกจากนี้ ศปภ ควรทบทวนการทำหน้าที่ใหม่ โดยมุ่งบัญชาการในภาพใหญ่เชิงนโยบาย มากกว่าจะทำงานลักษณะตามกระแสรายวัน หยุดใช้การเมืองนำการแก้ปัญหาน้ำท่วม กระจายความรับผิดชอบให้ภาคส่วนอื่นได้แบ่งเบาภาระ เช่น กระจายศูนย์บริจาคสิ่งของให้อยู่ที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั้นคงของมนุษย์ หรือ กระทรวงมหาดไทย อย่ารวมศูนย์ไว้ที่ดอนเมืองเพียงเพราะต้องการใช้ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนเป็นอีเวนท์ให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมเท่านั้น
“น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรหยุดงานประเภทอีเวนท์สร้างภาพรายวัน เช่น การเปิดโครงการเรือดันน้ำ ซึ่งทำผิดเวลาเพราะเป็นช่วงน้ำทะเลหนุนสูง การผลักน้ำจึงไม่ได้ผล แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันที่จะดำเนินการ เพียงเพราะต้องการให้มีกิจกรรมฉาบฉวยว่าได้ลงมือช่วยประชาชนแล้ว และระดมสมองวางนโยบาย คลี่คลาย ฟื้นฟูสถานการณ์ รวมถึงมาตรการเยียวยา และควรเร่งหาทางออกให้คนไทยพ้นจากการจมน้ำโดยเร็ว มากกว่าจะทำเพียงแค่เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ สร้างคันกั้นน้ำเพิ่ม ซึ่งเป็นงานประจำที่หน่วยงานต่าง ๆ ต้องดูแลอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังต้องเตรียมแผนรับมือภัยหนาวที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้คนไทยต้องเผชิญหน้ากับอุทกภัยและภัยหนาวในคราวเดียวกัน
**ไม่ประกาศพรก.หวังบริหารการเมือง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าพรรคเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจให้กองทัพดูแล 5 จังหวัดที่อยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งเท่ากับรัฐบาลยอมรับว่า 5 จังหวัดดังกล่าวอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลก็ยังบริหารการเมืองมากกว่าบริหารบ้านเมือง แทนที่จะประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าว กับเลือกที่จะใช้ พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาใช้แทน ทั้ง ๆ ที่กฎหมายทั้งสองฉบับนั้นมีความแตกต่างกัน พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินใช้ในยามปกติ แต่ พรก.ฉุกเฉินซึ่งเกิดในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเครื่องมือสำหรับการดูแลบ้านเมืองในภาวะวิกฤต แต่เพราะรัฐบาลมุ่งที่จะสร้างภาพ พรก.ฉุกเฉินว่ามีไว้เพื่อปราบปรามประชาชน โจมตีรัฐบาลประชาธิปัตย์ จึงหลีกเลี่ยงที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้ เพราะเกรงว่าประชาชนจะเห็นความจริงว่า กฎหมายมีไว้เพื่อช่วยเหลือ คุ้มครองประชาชน ดูแลความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ใบสั่งฆ่าคนตามที่มีการปลุกระดมกันมาโดยตลอด จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลใช้ พรก.ฉุกเฉินเพื่อเป็นเครื่องมือบริหารบ้านเมือง ไมใช่ใช้ พรก.ฉุกเฉินพื่อบริหารการเมืองโจมตีคู่ต่อสู้
อีกทั้งนายกฯ ควรใช้โอกาสนี้กอบกู้ภาวะผู้นำกลับมาผ่านการบริหารประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติ แทนที่จะใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการสื่อสารตรงถึงประชาชน เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ การสื่อสารจากผู้นำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยเป็นเรื่องสำคัญ นายกฯต้องใช้หัวใจสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องประดิษฐ์ถ้อยคำที่สวยหรูจนต้องท่องจำ ที่สำคัญ คือ นายกฯ ต้องเจ็บปวดกับความทุกข์ยากของประชาชนอย่างจริงใจ ไม่ใช่หัวร่อร่าในขณะที่ประชาชนจมน้ำตาลอยคออยู่ท่ามกลางน้ำท่วม
**พท.ติง ปชป.หยุดสาดโคลนรัฐบาล
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่า รัฐบาลตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เพื่อปั้นภาพให้นายกรัฐมนตรี ว่า ในเวลานี้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าและทุ่มเทกำลังกายและใจเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ และทางรัฐบาลต้องการที่จะให้เหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นโดยเร็วที่สุด อีกทั้งต้องรวบรวมสรรพกำลังทุกฝ่ายในการร่วมกันแก้ไข และบรรเทาความทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ แต่น่าแปลกใจที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงขนบทำเนียมประเพณีเดิมๆ ไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหมือนว่าเหตุการณ์ อุทกภัยใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้เดือดร้อนถึงใจคนในพรรคประชาธิปัตย์ จึงยังมีการออกมาสร้างกระแส สร้างข่าว เพื่อดิสเครดิตรายวันรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวอีกว่า ทางรัฐบาลมีหน้าที่ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ และจะทำสุดความสามารถอย่างดีที่สุด แต่รัฐบาลไม่ได้มีหน้าที่ในการที่จะต้องตอบโต้ประเด็นไร้สาระของพรรคประชา ธิปัตย์แบบรายวัน จึงขอยืนยันว่า ไม่ว่าทางรัฐบาลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามหนักหนาแค่ไหน ก็จะไม่มีทางท้อเด็ดขาด และจะเดินหน้าบำบัดทุกข์บำรุงสุขพี่น้องประชาชนต่อไป อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ทางพรรคประชาธิปัตย์ยุติการสาดน้ำลายรายวันป้ายสีรัฐบาล แล้วหันมาเล่นการเมืองแบบสร้างสรรค์ ร่วมมือกันทำงานเพื่อประชาชนอย่างจริงจัง โดยลงพื้นที่ที่พี่น้องประสบปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม รวมทั้งระดม ส.ส.และ สมาชิกพรรค ช่วยประสานงาน และเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนได้แล้ว
ทั้งนี้เป็นการกล่าวภายหลังเดินทางไปตรวจการขุดคลอง ที่นครปฐม ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเรียกร้องให้รัฐบาล ประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินในพื้นที่อุทกภัย แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมอบหมายให้กองทัพไทยเป็นผู้บริการสถานการณ์ ใน 5 จังหวัดที่วิกฤตน้ำท่วมแต่ไม่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
“ผมบอกหลายครั้งแล้วว่ารัฐบาลไม่ควรลังเลในเรื่องภาพลักษณ์ที่จะใช้กฏหมายพิเศษในการจัดการเพราะมีความจำเป็น เพราะน้ำที่ทะลักเข้ามาบริเวณจุดรอยต่อบริเวณปริมณฑลและกรุงเทพ มีความขัดแย้งหลายจุดต้องจัดการให้ชัดเจน สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องตัดสินใจ เพราะหากจะอ้างเหตุผลเพียงภาพลักษณ์คงฟังไม่ขึ้น เพราะชาวโลกรับรู้จากเหตุที่เกิดขึ้นจริง อะไรที่จำเป็นเพื่อชีวิตประชาชนต้องทำ และเชื่อว่าสถานการณ์ขณะนี้ประชาชนรับได้ ทั้งนี้เชื่อว่าหลังได้รับมอบหมาย ทางกองทัพน่าจะมีความพร้อมมากกว่าหน่วยอื่น ทั้งกำลังคนและเครื่องมือ”
รายงานระบุว่า การไม่ประกาศพรก.ฉุกเฉิน เนื่องจาก ขณะนี้รัฐบาลมีความหวาดหวั่นที่จะให้อำนาจทหารขณะนี้
มีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดรัฐบาลไทยจึงยังไม่กล้ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในประเทศอเมริกากลาง ในขณะนี้ เช่น “เอลซัลวาดอร์” ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากภัยพายุดีเปรสชั่นมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 32 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตจากดินถล่ม และต้องอพยพประชาชนกว่า 20,000 คน หรือ“กัวเตมาลา”ที่ได้รับความเสียหายมากเป็นอันดับสอง ยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศรวม 28 รายแล้วและยังมีผู้สูญหาย 2 คน ขณะที่ประธานาธิบดีอัลวาโร โคลอม ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วซึ่งจะต้องรอการอนุมัติจากสภาคองเกรส เช่นเดียวกับ “ฮอนดูรัส และนิคารากัว” ก็มีการประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว
**ฝ่ายค้านเรียกร้องรัฐปลดโฆษก ศปภ.
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรียกร้องให้รัฐบาลหยุดใช้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหรือศปภ เป็นแค่“ศูนย์ปั้นภาพ”ให้นายกรัฐมนตรี ปั้นภาพสถานการณ์ว่าอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ในทุกระดับการแถลงข่าวของผู้เกี่ยวข้องควรแยกประเด็นภารกิจนายกรัฐมนตรีออกจากการให้ข่าวสารเตือนภัย เพราะเป็นการเบียดเบียนปล้นเวลาการสื่อสารสาธารณะ ชาวบ้านต้องทุกข์ระทมจากโจรปล้นทรัพยฺในภาวะน้ำท่วมอยู่แล้ว อย่าให้ประชาชนต้องถูกปล้นเวลาของประชาชนไปเป็นวาระเพื่อรัฐบาล การนำเสนอผ่านช่อง 11 นอกจากรายงานสถานการณ์แล้ว ยังควรใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดความสามัคคี จิตอาสา ความเสียสละ เช่น การนำภาพความมีวินัยของชาวญี่ปุ่นที่ให้ความร่วมมือกับรัฐในการจัดการปัญหายามเกิดภัยพิบัติ ความเสียสละของคนไทยในพื้นที่น้ำท่วมหลายแห่งที่ยอมจมน้ำเพื่อส่วนรวม แทนการสร้างมิวสิคบ้านทรายทอง
“มีความน่ากังวลเกี่ยวกับบรรยากาศภายใน ศูนย์ปั้นภาพ ที่ควรเป็นศูนย์รวมจิตใจไทยทุกคนในการร่วมมือช่วยผู้ประสบภัย แต่ในขณะนี้กลับมีการกันพื้นที่บางส่วนเป็นการเฉพาะให้กับคนเสื้อแดงใช้เป็นฐานปฏิบัติการควบคุมคนอื่น ตั้งกองเชียร์นายกรัฐมนตรี ไม่ต่างจากที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทย โดยระหว่างที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์จะมีคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งไปยืนคอยฟัง เป็นการกดดันการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทางอ้อม เมื่อสัมภาษณ์เสร็จก็จะตะโกนเชียร์ ซึ่งไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้กลายเป็นวาระปกติในสถานที่ราชการหยุดใช้ ศปภ เขย่าขวัญประชาชนด้วยการให้คนที่ไม่มีความเข้าใจในสถานการณ์อย่างแท้จริงมาสื่อสารกับประชาชน เพียงเพราะพูดคล่องเชียร์นายกได้ แต่ควรให้เป็นเวทีแถลงข่าวของคนที่รู้จริง โดยควรกำหนดเวลาแถลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนได้ติดตามเพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์”
** จี้หยุดใช้การเมืองนำการแก้ปัญหา
นอกจากนี้ ศปภ ควรทบทวนการทำหน้าที่ใหม่ โดยมุ่งบัญชาการในภาพใหญ่เชิงนโยบาย มากกว่าจะทำงานลักษณะตามกระแสรายวัน หยุดใช้การเมืองนำการแก้ปัญหาน้ำท่วม กระจายความรับผิดชอบให้ภาคส่วนอื่นได้แบ่งเบาภาระ เช่น กระจายศูนย์บริจาคสิ่งของให้อยู่ที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั้นคงของมนุษย์ หรือ กระทรวงมหาดไทย อย่ารวมศูนย์ไว้ที่ดอนเมืองเพียงเพราะต้องการใช้ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนเป็นอีเวนท์ให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมเท่านั้น
“น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรหยุดงานประเภทอีเวนท์สร้างภาพรายวัน เช่น การเปิดโครงการเรือดันน้ำ ซึ่งทำผิดเวลาเพราะเป็นช่วงน้ำทะเลหนุนสูง การผลักน้ำจึงไม่ได้ผล แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันที่จะดำเนินการ เพียงเพราะต้องการให้มีกิจกรรมฉาบฉวยว่าได้ลงมือช่วยประชาชนแล้ว และระดมสมองวางนโยบาย คลี่คลาย ฟื้นฟูสถานการณ์ รวมถึงมาตรการเยียวยา และควรเร่งหาทางออกให้คนไทยพ้นจากการจมน้ำโดยเร็ว มากกว่าจะทำเพียงแค่เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ สร้างคันกั้นน้ำเพิ่ม ซึ่งเป็นงานประจำที่หน่วยงานต่าง ๆ ต้องดูแลอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังต้องเตรียมแผนรับมือภัยหนาวที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้คนไทยต้องเผชิญหน้ากับอุทกภัยและภัยหนาวในคราวเดียวกัน
**ไม่ประกาศพรก.หวังบริหารการเมือง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่าพรรคเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจให้กองทัพดูแล 5 จังหวัดที่อยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งเท่ากับรัฐบาลยอมรับว่า 5 จังหวัดดังกล่าวอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลก็ยังบริหารการเมืองมากกว่าบริหารบ้านเมือง แทนที่จะประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าว กับเลือกที่จะใช้ พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาใช้แทน ทั้ง ๆ ที่กฎหมายทั้งสองฉบับนั้นมีความแตกต่างกัน พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินใช้ในยามปกติ แต่ พรก.ฉุกเฉินซึ่งเกิดในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเครื่องมือสำหรับการดูแลบ้านเมืองในภาวะวิกฤต แต่เพราะรัฐบาลมุ่งที่จะสร้างภาพ พรก.ฉุกเฉินว่ามีไว้เพื่อปราบปรามประชาชน โจมตีรัฐบาลประชาธิปัตย์ จึงหลีกเลี่ยงที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้ เพราะเกรงว่าประชาชนจะเห็นความจริงว่า กฎหมายมีไว้เพื่อช่วยเหลือ คุ้มครองประชาชน ดูแลความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ใบสั่งฆ่าคนตามที่มีการปลุกระดมกันมาโดยตลอด จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลใช้ พรก.ฉุกเฉินเพื่อเป็นเครื่องมือบริหารบ้านเมือง ไมใช่ใช้ พรก.ฉุกเฉินพื่อบริหารการเมืองโจมตีคู่ต่อสู้
อีกทั้งนายกฯ ควรใช้โอกาสนี้กอบกู้ภาวะผู้นำกลับมาผ่านการบริหารประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติ แทนที่จะใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการสื่อสารตรงถึงประชาชน เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ การสื่อสารจากผู้นำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยเป็นเรื่องสำคัญ นายกฯต้องใช้หัวใจสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องประดิษฐ์ถ้อยคำที่สวยหรูจนต้องท่องจำ ที่สำคัญ คือ นายกฯ ต้องเจ็บปวดกับความทุกข์ยากของประชาชนอย่างจริงใจ ไม่ใช่หัวร่อร่าในขณะที่ประชาชนจมน้ำตาลอยคออยู่ท่ามกลางน้ำท่วม
**พท.ติง ปชป.หยุดสาดโคลนรัฐบาล
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่า รัฐบาลตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เพื่อปั้นภาพให้นายกรัฐมนตรี ว่า ในเวลานี้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าและทุ่มเทกำลังกายและใจเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ และทางรัฐบาลต้องการที่จะให้เหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นโดยเร็วที่สุด อีกทั้งต้องรวบรวมสรรพกำลังทุกฝ่ายในการร่วมกันแก้ไข และบรรเทาความทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ แต่น่าแปลกใจที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงขนบทำเนียมประเพณีเดิมๆ ไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหมือนว่าเหตุการณ์ อุทกภัยใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้เดือดร้อนถึงใจคนในพรรคประชาธิปัตย์ จึงยังมีการออกมาสร้างกระแส สร้างข่าว เพื่อดิสเครดิตรายวันรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวอีกว่า ทางรัฐบาลมีหน้าที่ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ และจะทำสุดความสามารถอย่างดีที่สุด แต่รัฐบาลไม่ได้มีหน้าที่ในการที่จะต้องตอบโต้ประเด็นไร้สาระของพรรคประชา ธิปัตย์แบบรายวัน จึงขอยืนยันว่า ไม่ว่าทางรัฐบาลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามหนักหนาแค่ไหน ก็จะไม่มีทางท้อเด็ดขาด และจะเดินหน้าบำบัดทุกข์บำรุงสุขพี่น้องประชาชนต่อไป อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้ทางพรรคประชาธิปัตย์ยุติการสาดน้ำลายรายวันป้ายสีรัฐบาล แล้วหันมาเล่นการเมืองแบบสร้างสรรค์ ร่วมมือกันทำงานเพื่อประชาชนอย่างจริงจัง โดยลงพื้นที่ที่พี่น้องประสบปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม รวมทั้งระดม ส.ส.และ สมาชิกพรรค ช่วยประสานงาน และเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนได้แล้ว