โฆษก ปชป.เรียกร้องรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” หยุดใช้ ศปภ.ปั้นภาพ ปล้นเวลาประชาชน ปล่อยแก๊งเสื้อแดงคุมศูนย์เขย่าขวัญ จัดอีเวนต์ให้นายกฯ โชว์ผลงานหัวเราะร่าท่ามกลางน้ำตาชาวบ้าน ซัด ใช้ พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน แค่การบริหารการเมืองไม่ใช่บริหารบ้านเมือง
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดใช้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เป็นแค่ “ศูนย์ปั้นภาพ” ให้นายกรัฐมนตรี ปั้นภาพสถานการณ์ว่า อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ในทุกระดับ การแถลงข่าวของผู้เกี่ยวข้องควรแยกประเด็นภารกิจนายกรัฐมนตรีออกจากการให้ข่าวสารเตือนภัย เพราะเป็นการเบียดเบียนปล้นเวลาการสื่อสารสาธารณะ ชาวบ้านต้องทุกข์ระทมจากโจรปล้นทรัพย์ในภาวะน้ำท่วมอยู่แล้ว อย่าให้ประชาชนต้องถูกปล้นเวลาของประชาชนไปเป็นวาระเพื่อรัฐบาล
นายชวนนท์ กล่าวว่า การนำเสนอผ่านช่อง 11 นอกจากรายงานสถานการณ์แล้ว ยังควรใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดความสามัคคี จิตอาสา ความเสียสละ เช่น การนำภาพความมีวินัยของชาวญี่ปุ่นที่ให้ความร่วมมือกับรัฐในการจัดการปัญหายามเกิดภัยพิบัติ ความเสียสละของคนไทยในพื้นที่น้ำท่วมหลายแห่งที่ยอมจมน้ำเพื่อส่วนรวม แทนการสร้างมิวสิกบ้านทรายทอง
“มีความน่ากังวลเกี่ยวกับบรรยากาศภายในศูนย์ปั้นภาพ ที่ควรเป็นศูนย์รวมจิตใจไทยทุกคนในการร่วมมือช่วยผู้ประสบภัย แต่ในขณะนี้กลับมีการกันพื้นที่บางส่วนเป็นการเฉพาะให้กับคนเสื้อแดงใช้เป็นฐานปฏิบัติการควบคุมคนอื่น ตั้งกองเชียร์นายกรัฐมนตรี ไม่ต่างจากที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทย โดยระหว่างที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์จะมีคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งไปยืนคอยฟัง เป็นการกดดันการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทางอ้อม เมื่อสัมภาษณ์เสร็จก็จะตะโกนเชียร์ ซึ่งไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้กลายเป็นวาระปกติในสถานที่ราชการ หยุดใช้ ศปภ เขย่าขวัญประชาชนด้วยการให้คนที่ไม่มีความเข้าใจในสถานการณ์อย่างแท้จริงมาสื่อสารกับประชาชน เพียงเพราะพูดคล่องเชียร์นายกฯได้ แต่ควรให้เป็นเวทีแถลงข่าวของคนที่รู้จริง โดยควรกำหนดเวลาแถลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนได้ติดตามเพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์”
นอกจากนี้ ศปภ ควรทบทวนการทำหน้าที่ใหม่ โดยมุ่งบัญชาการในภาพใหญ่เชิงนโยบาย มากกว่าจะทำงานลักษณะตามกระแสรายวัน หยุดใช้การเมืองนำการแก้ปัญหาน้ำท่วม กระจายความรับผิดชอบให้ภาคส่วนอื่นได้แบ่งเบาภาระ เช่น กระจายศูนย์บริจาคสิ่งของให้อยู่ที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั้นคงของมนุษย์ หรือ กระทรวงมหาดไทย อย่ารวมศูนย์ไว้ที่ดอนเมืองเพียงเพราะต้องการใช้ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนเป็นอีเวนท์ให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมเท่านั้น
“น.ส.ยิ่งลักษณ์ ควรหยุดงานประเภทอีเวนต์สร้างภาพรายวัน เช่น การเปิดโครงการเรือดันน้ำ ซึ่งทำผิดเวลาเพราะเป็นช่วงน้ำทะเลหนุนสูง การผลักน้ำจึงไม่ได้ผล แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันที่จะดำเนินการ เพียงเพราะต้องการให้มีกิจกรรมฉาบฉวยว่าได้ลงมือช่วยประชาชนแล้ว และระดมสมองวางนโยบาย คลี่คลาย ฟื้นฟูสถานการณ์ รวมถึงมาตรการเยียวยา และควรเร่งหาทางออกให้คนไทยพ้นจากการจมน้ำโดยเร็ว มากกว่าจะทำเพียงแค่เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ สร้างคันกั้นน้ำเพิ่ม ซึ่งเป็นงานประจำที่หน่วยงานต่างๆ ต้องดูแลอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังต้องเตรียมแผนรับมือภัยหนาวที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้คนไทยต้องเผชิญหน้ากับอุทกภัยและภัยหนาวในคราวเดียวกัน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจให้กองทัพดูแล 5 จังหวัดที่อยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งเท่ากับรัฐบาลยอมรับว่า 5 จังหวัดดังกล่าวอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลก็ยังบริหารการเมืองมากกว่าบริหารบ้านเมือง แทนที่จะประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าว กับเลือกที่จะใช้ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาใช้แทน ทั้งๆ ที่กฎหมายทั้งสองฉบับนั้นมีความแตกต่างกัน พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินใช้ในยามปกติ แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเกิดในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเครื่องมือสำหรับการดูแลบ้านเมืองในภาวะวิกฤต แต่เพราะรัฐบาลมุ่งที่จะสร้างภาพ พ.ร.ก..ฉุกเฉิน ว่า มีไว้เพื่อปราบปรามประชาชน โจมตีรัฐบาลประชาธิปัตย์ จึงหลีกเลี่ยงที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้ เพราะเกรงว่าประชาชนจะเห็นความจริงว่า กฎหมายมีไว้เพื่อช่วยเหลือ คุ้มครองประชาชน ดูแลความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ใบสั่งฆ่าคนตามที่มีการปลุกระดมกันมาโดยตลอด จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อเป็นเครื่องมือบริหารบ้านเมือง ไมใช่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อบริหารการเมืองโจมตีคู่ต่อสู้
อีกทั้งนายกฯ ควรใช้โอกาสนี้กอบกู้ภาวะผู้นำกลับมาผ่านการบริหารประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติ แทนที่จะใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการสื่อสารตรงถึงประชาชน เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ การสื่อสารจากผู้นำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยเป็นเรื่องสำคัญ นายกฯต้องใช้หัวใจสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องประดิษฐ์ถ้อยคำที่สวยหรูจนต้องท่องจำ ที่สำคัญ คือ นายกฯ ต้องเจ็บปวดกับความทุกข์ยากของประชาชนอย่างจริงใจ ไม่ใช่หัวร่อร่าในขณะที่ประชาชนจมน้ำตาลอยคออยู่ท่ามกลางน้ำท่วม