สถานการณ์อุทกภัย ที่ถล่มประเทศไทยยังเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้ว่ารัฐบาลรวมทั้งคนไทยทุ่มสรรพกำลังแก้ไขปัญหากันมานานหลายสัปดาห์ โดยไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นใด แต่ก็ไม่อาจแก้วิกฤตการณ์ให้ลุล่วงไปได้
มิหนำซ้ำ นับวันน้ำกลับถล่มหนักยิ่งขึ้น เมื่อวานนี้(17ต.ค.) นวนคร นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่จ.พระนครศรีอยุธยา ที่รัฐบาลทุ่มความพยายามป้องกันให้พ้นจากน้ำท่วม ก็ตกเป็นเหยื่อสายน้ำไปอีกราย จากการพังของคันกั้นที่เป็นกำแพงยื้อได้ช่วงหนึ่งถูกน้ำกัดเซาะทะลวงเข้ามาได้เรียบร้อย
นวนครจมน้ำ ปริมาณน้ำจากจุดนี้จะส่งผลกระทบออกไปเป็นวงกว้าง จากนิคมฯนวนครก็จ่อไปรังสิต และกรุงเทพเขตเหนืออย่างดอนเมืองและสายไหม ต้องเตรียมรับมือกันอย่างหนักหน่วง มิฉะนั้นกรุงเทพส่วนนี้เป็นเมืองบาดาลแน่
ภาวะน้ำท่วมนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก่นด่ายกใหญ่ไปที่กรมชลประทานว่าไม่มีการบริหารจัดการน้ำที่ดีเพียงพอ กักเก็บน้ำเอาไว้ในเขื่อนจำนวนมาก กลัวว่าชาวบ้านจะไม่มีไว้ใช้ทำไร่ทำนา
ไร้ประสิทธิภาพ ไร้วิสัยทัศน์ในการประเมินเหตุการณ์ล่วงหน้า
ว่าปริมาณน้ำในปีนี้จะมากมายมหาศาลอย่างที่เห็น สุดท้ายประเทศไทยต้องพบสภาวะวิกฤติหนักหนายิ่งกว่าปี 2538 ที่ราบลุ่มกลางประเทศแปรสภาพเป็นทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่ เพราะน้ำที่กักเก็บไว้มีจำนวนมากเกินไประบายไม่ทัน ถือเป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรง จนไม่น่าให้อภัย
วันนี้สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศอยู่ในขั้นวิกฤติ แต่ภาพที่ปรากฏเฉพาะหน้ารัฐบาลยังคงแก้ปัญหาแบบหมดไปวันๆ ไม่มีการคิดที่เป็นระบบ ดูสับสนอลหม่าน ขาดการวางแผน ไร้เอกภาพในการทำงาน การข่าวยังมั่วมึนงง ทั้งยังประเมินสถานการณ์ผิดพลาดในหลายเหตุการณ์
การตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมาก็ซ้ำซาก ซ้ำซ้อน เปลี่ยนตัวผู้บังคับบัญชาคนแล้วคนเหล่าก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ทำได้แค่ออกทีวีเสนอหน้าสร้างภาพว่ารัฐบาลทุ่มเทแก้ปัญหาอย่างจริงๆไปวันๆ พร้อมทั้งพูดปากเปียกปากแฉะว่า รับมือน้ำได้แน่ กรุงเทพมหานครจะไม่จมบาดาล ทั้งที่น้ำจ่อประตูอยู่ทุกทิศทางรอคอยวันเข้าจู่โจม
แต่กับเหตุการณ์น้ำท่วมทั้งเมือง ทั้งที่นครสวรรค์และพระนครศรีอยุธยา เป็นการบ่งบอกถึงความล้มเหลวของรัฐบาล หลังจากที่ย้ำเตือนเสมอว่าจะปกป้องจุดสำคัญจุดเศรษฐกิจเอาไว้ได้แน่ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถปกป้องอะไรไว้ได้เลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลลดลงอย่างมาก ฉะนั้นการประกาศว่าที่นั่นที่นี่รวมทั้งกรุงเทพมหานครน้ำจะไม่ท่วม ประชาชนก็เริ่มลังและไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะทำได้สำเร็จหรือไม่
วันก่อน ปลอดประสพ สุรัสวดี ออกมาแถลงข่าวเตือนประชาชนใน จ.ปทุมธานี และกรุงเทพมหานครให้รีบอพยพ ขนย้ายสิ่งของหนีน้ำเนื่องจากประตูระบายน้ำคลองบ้านพังพังทลายลง ก็ได้สร้างความโกลาหล แตกตื่น เอาตัวรอดกันยกใหญ่ เนื่องเพราะประชาชนไม่เชื่อมั่นในฝีมือของรัฐบาลอีกต่อไปแล้ว
แต่รัฐบาลได้พยายามปกปิด กลบเกลื่อนสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ออกมาแก้ข่าวทันทีว่ารัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้และดำเนินการซ่อมแซมเสร็จไปกว่าครึ่งทางแล้วในเวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมง ทั้งนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจและเกิดภาวะความสับสนจนส่งผลเสียต่อรัฐบาลเอง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในวันนั้นดูเหมือนว่าคนที่พูดความจริงน่าจะเป็น ปลอดประสพ มากกว่าเพราะประตูระบายน้ำคลองบ้านพร้าว เพิ่งซ่อมเสร็จ หลายพื้นที่ที่ ปลอดประสพเตือนไว้ก็ต้องประสบภัยน้ำท่วมกันแล้ว
วันนี้ประชาชนเริ่มมีความรู้สึกว่ารัฐบาล กำลังเกรงกลัวผลกระทบต่างๆที่เกิดจากอุทกภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น การลงทุน และการท่องเที่ยว พยามยามบอกว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องเล็กที่จะแก้ไขได้โดยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
แต่ภาพที่เกิดขึ้น มันหนักหนาสาหัส จนเหมือนว่ารัฐบาลรับมือไม่ไหวแล้ว ซึ่งอาจเป็นเพราะความอ่อนด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาลเอง เข้าตำรา “ดีแต่พูด”เหมือนกัน วันนี้จึงเริ่มเปลี่ยนท่าทีร้องขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ โดยขอให้ประเทศสหรัฐอเมริกาส่งเฮลิคอปเตอร์ 28 ลำ เพื่อใช้ดำเนินภารกิจด้านต่างๆ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเฉพาะหน้าของรัฐบาลดูย่ำแย่เต็มทน ได้แต่สั่งอพยพหนีน้ำ ทิ้งบ้านทิ้งเรือนให้มาพักที่ศูนย์ซึ่งรัฐบาลจัดขึ้นและขอรับเงินบริจาคนำไปช่วยเหลือ แพ็กถุงยังชีพแจกจ่ายประชาชน ซึ่งก็ยังไม่ทั่วถึง หลายพื้นที่ชาวบ้านตกสำรวจ ขาดอาหาร ขาดการประสานการติดต่อจากทางภาครัฐโดยสิ้นเชิง ไม่มีน้ำไม่มีไฟใช้ ภาพข่าวที่ปรากฏในแต่ละวัน ก็ เอน็จอนาจ อดสูใจ ประชาชนเข้าปล้นร้านสะดวกซื้อ หาอาหารประทังชีวิตรอด พระ เณร ไม่มีอาหารจะฉัน ต้องถลกจีวรลุยน้ำแย่งถุงยังชีพกับชาวบ้าน
สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าถึงพื้นที่ของรัฐบาลที่ขาดประสิทธิภาพในการประสานมวลชน ไล่จาก อำเภอ ตำบล จนถึงหมู่บ้าน ขาดความละเอียด จนทำให้หลายพื้นที่ถูกตัดขาดไม่ได้รับการเหลียวแล สุดท้ายต้องขอให้กองทัพเข้าไปสำรวจเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในกลุ่มเหล่านี้
มาตรการป้องกันการเตือนภัยของรัฐบาลก็เหลวไหล เลอะเทอะ ประชาชนไม่เคยรับรู้รับทราบว่าจะต้องทำอะไร 1 2 3 4 เวลาไหน ตอนไหน ไม่มีการบอกกล่าวที่ชัดเจน ถึงการเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างไร ทั้งนี้ก็เป็นผลมาจาการประเมินที่ผิดพลาดของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่ได้คิดอ่านวางแผนต่อสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนี้ ทำให้การป้องกัน การเตือนภัย และมาตรการช่วยเหลือ ไร้ประสิทธิภาพ
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่สามารถประเมินค่าได้ โดยเฉพาะสภาพจิตใจของประชาชน คนที่บ้านแตกสาแหรกขาด ที่อยู่อาศัยต้องจมบาลนานนับเดือน หมดเนื้อประดาตัว นอกจากจะสูญเสียเงินทองแล้ว ยังสูญเสียความศรัทธาจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมที่ต้องวอดวายนับแสนล้าน ก็สูญเสียความเชื่อถือกับมาตรการและลมปากของรัฐบาล
ถ้ารัฐบาลยังนิ่งนอนใจ ปล่อยให้เหตุการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นซ้ำซากโดยไม่คิดแก้ไขอะไรให้เป็นรูปธรรม นอกจากการใช้ปากพร่ำบอกเหมือนเช่นที่ผ่านๆมา ก็น่าเป็นห่วงเหลือเกินว่า ความเชื่อถือ ความเชื่อมั่น การลงทุนภายในประเทศ ศักยภาพของไทยที่รัฐบาลพยายามปกป้องรักษาไว้ตลอด จะเสียหายไปจากเหตุการณ์ ที่ทุกคนสัมผัสได้ตรงหน้า
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องกลับมาทบทวนใส่ใจปัญหาน้ำทั้งระบบอย่างจริงจัง ต้องไม่ปล่อยให้ชาวบ้านเจอะเจอกับปัญหา ภัยแล้ง อุทกภัย อยู่ทุกปี เมกกะโปรเจกต์ การทำ 25 ลุ่มน้ำ ตามที่หาเสียงป่าวประกาศไว้ รวมทั้งการสร้างเขื่อน ทำแก้มลิง ตลอดจนโครงการพระราชดำริต่างๆ รัฐบาลควรพิจารณาลงมือทำอย่างจริงจังเสียที เรื่องนี้จำเป็นต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ
ถ้าน้ำท่วมทุกปี รัฐบาลต้องใช้เวลาแก้ปัญหาปีละ 2 เดือน 3 เดือน แบบนี้ คงไม่มีเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่น ไหนจะต้องฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองหลังน้ำลด ฟื้นฟูความเชื่อมั่นประเทศ เวลา 4 ปีของรัฐบาล อาจไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากสาละวนกับการแก้ไขปัญหาอยู่อย่างนี้
มิหนำซ้ำ นับวันน้ำกลับถล่มหนักยิ่งขึ้น เมื่อวานนี้(17ต.ค.) นวนคร นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่จ.พระนครศรีอยุธยา ที่รัฐบาลทุ่มความพยายามป้องกันให้พ้นจากน้ำท่วม ก็ตกเป็นเหยื่อสายน้ำไปอีกราย จากการพังของคันกั้นที่เป็นกำแพงยื้อได้ช่วงหนึ่งถูกน้ำกัดเซาะทะลวงเข้ามาได้เรียบร้อย
นวนครจมน้ำ ปริมาณน้ำจากจุดนี้จะส่งผลกระทบออกไปเป็นวงกว้าง จากนิคมฯนวนครก็จ่อไปรังสิต และกรุงเทพเขตเหนืออย่างดอนเมืองและสายไหม ต้องเตรียมรับมือกันอย่างหนักหน่วง มิฉะนั้นกรุงเทพส่วนนี้เป็นเมืองบาดาลแน่
ภาวะน้ำท่วมนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก่นด่ายกใหญ่ไปที่กรมชลประทานว่าไม่มีการบริหารจัดการน้ำที่ดีเพียงพอ กักเก็บน้ำเอาไว้ในเขื่อนจำนวนมาก กลัวว่าชาวบ้านจะไม่มีไว้ใช้ทำไร่ทำนา
ไร้ประสิทธิภาพ ไร้วิสัยทัศน์ในการประเมินเหตุการณ์ล่วงหน้า
ว่าปริมาณน้ำในปีนี้จะมากมายมหาศาลอย่างที่เห็น สุดท้ายประเทศไทยต้องพบสภาวะวิกฤติหนักหนายิ่งกว่าปี 2538 ที่ราบลุ่มกลางประเทศแปรสภาพเป็นทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่ เพราะน้ำที่กักเก็บไว้มีจำนวนมากเกินไประบายไม่ทัน ถือเป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรง จนไม่น่าให้อภัย
วันนี้สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศอยู่ในขั้นวิกฤติ แต่ภาพที่ปรากฏเฉพาะหน้ารัฐบาลยังคงแก้ปัญหาแบบหมดไปวันๆ ไม่มีการคิดที่เป็นระบบ ดูสับสนอลหม่าน ขาดการวางแผน ไร้เอกภาพในการทำงาน การข่าวยังมั่วมึนงง ทั้งยังประเมินสถานการณ์ผิดพลาดในหลายเหตุการณ์
การตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆขึ้นมาก็ซ้ำซาก ซ้ำซ้อน เปลี่ยนตัวผู้บังคับบัญชาคนแล้วคนเหล่าก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ทำได้แค่ออกทีวีเสนอหน้าสร้างภาพว่ารัฐบาลทุ่มเทแก้ปัญหาอย่างจริงๆไปวันๆ พร้อมทั้งพูดปากเปียกปากแฉะว่า รับมือน้ำได้แน่ กรุงเทพมหานครจะไม่จมบาดาล ทั้งที่น้ำจ่อประตูอยู่ทุกทิศทางรอคอยวันเข้าจู่โจม
แต่กับเหตุการณ์น้ำท่วมทั้งเมือง ทั้งที่นครสวรรค์และพระนครศรีอยุธยา เป็นการบ่งบอกถึงความล้มเหลวของรัฐบาล หลังจากที่ย้ำเตือนเสมอว่าจะปกป้องจุดสำคัญจุดเศรษฐกิจเอาไว้ได้แน่ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถปกป้องอะไรไว้ได้เลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลลดลงอย่างมาก ฉะนั้นการประกาศว่าที่นั่นที่นี่รวมทั้งกรุงเทพมหานครน้ำจะไม่ท่วม ประชาชนก็เริ่มลังและไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะทำได้สำเร็จหรือไม่
วันก่อน ปลอดประสพ สุรัสวดี ออกมาแถลงข่าวเตือนประชาชนใน จ.ปทุมธานี และกรุงเทพมหานครให้รีบอพยพ ขนย้ายสิ่งของหนีน้ำเนื่องจากประตูระบายน้ำคลองบ้านพังพังทลายลง ก็ได้สร้างความโกลาหล แตกตื่น เอาตัวรอดกันยกใหญ่ เนื่องเพราะประชาชนไม่เชื่อมั่นในฝีมือของรัฐบาลอีกต่อไปแล้ว
แต่รัฐบาลได้พยายามปกปิด กลบเกลื่อนสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ออกมาแก้ข่าวทันทีว่ารัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้และดำเนินการซ่อมแซมเสร็จไปกว่าครึ่งทางแล้วในเวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมง ทั้งนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจและเกิดภาวะความสับสนจนส่งผลเสียต่อรัฐบาลเอง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในวันนั้นดูเหมือนว่าคนที่พูดความจริงน่าจะเป็น ปลอดประสพ มากกว่าเพราะประตูระบายน้ำคลองบ้านพร้าว เพิ่งซ่อมเสร็จ หลายพื้นที่ที่ ปลอดประสพเตือนไว้ก็ต้องประสบภัยน้ำท่วมกันแล้ว
วันนี้ประชาชนเริ่มมีความรู้สึกว่ารัฐบาล กำลังเกรงกลัวผลกระทบต่างๆที่เกิดจากอุทกภัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น การลงทุน และการท่องเที่ยว พยามยามบอกว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องเล็กที่จะแก้ไขได้โดยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
แต่ภาพที่เกิดขึ้น มันหนักหนาสาหัส จนเหมือนว่ารัฐบาลรับมือไม่ไหวแล้ว ซึ่งอาจเป็นเพราะความอ่อนด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาลเอง เข้าตำรา “ดีแต่พูด”เหมือนกัน วันนี้จึงเริ่มเปลี่ยนท่าทีร้องขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ โดยขอให้ประเทศสหรัฐอเมริกาส่งเฮลิคอปเตอร์ 28 ลำ เพื่อใช้ดำเนินภารกิจด้านต่างๆ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเฉพาะหน้าของรัฐบาลดูย่ำแย่เต็มทน ได้แต่สั่งอพยพหนีน้ำ ทิ้งบ้านทิ้งเรือนให้มาพักที่ศูนย์ซึ่งรัฐบาลจัดขึ้นและขอรับเงินบริจาคนำไปช่วยเหลือ แพ็กถุงยังชีพแจกจ่ายประชาชน ซึ่งก็ยังไม่ทั่วถึง หลายพื้นที่ชาวบ้านตกสำรวจ ขาดอาหาร ขาดการประสานการติดต่อจากทางภาครัฐโดยสิ้นเชิง ไม่มีน้ำไม่มีไฟใช้ ภาพข่าวที่ปรากฏในแต่ละวัน ก็ เอน็จอนาจ อดสูใจ ประชาชนเข้าปล้นร้านสะดวกซื้อ หาอาหารประทังชีวิตรอด พระ เณร ไม่มีอาหารจะฉัน ต้องถลกจีวรลุยน้ำแย่งถุงยังชีพกับชาวบ้าน
สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าถึงพื้นที่ของรัฐบาลที่ขาดประสิทธิภาพในการประสานมวลชน ไล่จาก อำเภอ ตำบล จนถึงหมู่บ้าน ขาดความละเอียด จนทำให้หลายพื้นที่ถูกตัดขาดไม่ได้รับการเหลียวแล สุดท้ายต้องขอให้กองทัพเข้าไปสำรวจเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในกลุ่มเหล่านี้
มาตรการป้องกันการเตือนภัยของรัฐบาลก็เหลวไหล เลอะเทอะ ประชาชนไม่เคยรับรู้รับทราบว่าจะต้องทำอะไร 1 2 3 4 เวลาไหน ตอนไหน ไม่มีการบอกกล่าวที่ชัดเจน ถึงการเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างไร ทั้งนี้ก็เป็นผลมาจาการประเมินที่ผิดพลาดของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่ได้คิดอ่านวางแผนต่อสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนี้ ทำให้การป้องกัน การเตือนภัย และมาตรการช่วยเหลือ ไร้ประสิทธิภาพ
ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่สามารถประเมินค่าได้ โดยเฉพาะสภาพจิตใจของประชาชน คนที่บ้านแตกสาแหรกขาด ที่อยู่อาศัยต้องจมบาลนานนับเดือน หมดเนื้อประดาตัว นอกจากจะสูญเสียเงินทองแล้ว ยังสูญเสียความศรัทธาจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมที่ต้องวอดวายนับแสนล้าน ก็สูญเสียความเชื่อถือกับมาตรการและลมปากของรัฐบาล
ถ้ารัฐบาลยังนิ่งนอนใจ ปล่อยให้เหตุการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นซ้ำซากโดยไม่คิดแก้ไขอะไรให้เป็นรูปธรรม นอกจากการใช้ปากพร่ำบอกเหมือนเช่นที่ผ่านๆมา ก็น่าเป็นห่วงเหลือเกินว่า ความเชื่อถือ ความเชื่อมั่น การลงทุนภายในประเทศ ศักยภาพของไทยที่รัฐบาลพยายามปกป้องรักษาไว้ตลอด จะเสียหายไปจากเหตุการณ์ ที่ทุกคนสัมผัสได้ตรงหน้า
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องกลับมาทบทวนใส่ใจปัญหาน้ำทั้งระบบอย่างจริงจัง ต้องไม่ปล่อยให้ชาวบ้านเจอะเจอกับปัญหา ภัยแล้ง อุทกภัย อยู่ทุกปี เมกกะโปรเจกต์ การทำ 25 ลุ่มน้ำ ตามที่หาเสียงป่าวประกาศไว้ รวมทั้งการสร้างเขื่อน ทำแก้มลิง ตลอดจนโครงการพระราชดำริต่างๆ รัฐบาลควรพิจารณาลงมือทำอย่างจริงจังเสียที เรื่องนี้จำเป็นต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ
ถ้าน้ำท่วมทุกปี รัฐบาลต้องใช้เวลาแก้ปัญหาปีละ 2 เดือน 3 เดือน แบบนี้ คงไม่มีเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่น ไหนจะต้องฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองหลังน้ำลด ฟื้นฟูความเชื่อมั่นประเทศ เวลา 4 ปีของรัฐบาล อาจไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากสาละวนกับการแก้ไขปัญหาอยู่อย่างนี้