ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
“ทองคำ” ถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่หลายประเทศเคยใช้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรของชาติตัวเองมาแล้วมาก่อน เพราะคนจะเชื่อในกระดาษเงินตราได้ก็เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ต้องถือทองคำเดินไปเดินมา และให้ธนาคารกลางเป็นคนรับฝากทองคำเหล่านั้นพร้อมกับการออกกระดาษทดแทน เพื่อให้เชื่อว่ากระดาษเหล่านั้นมีมูลค่าเท่ากับทองคำที่ฝากเอาไว้กับธนาคารหรือธนาคารกลางของแต่ละประเทศ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจผู้ชนะสงคราม ได้กำหนดตีมูลค่าทองคำผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ที่ 35 ดอลลาร์เท่ากับทองคำ 1 ออนส์ เงินดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นเงินสากลที่ถูกนำไปใช้ทั่วโลก และเมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกใช้ในการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศ ก็ยิ่งทำให้เงินดอลลาร์ได้ใช้มากกว่าปริมาณทองคำที่มีอยู่จริงในทุนสำรองของสหรัฐอเมริกา
ประกอบกับในช่วงเวลานั้นสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่การทำสงครามยืดเยื้อกับเวียดนามและสงครามเย็นก่อให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณมหาศาล ทั้งขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ก็ยิ่งทำให้ทองคำที่มีอยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นมีน้อยกว่าเงินดอลลาร์ที่พิมพ์อยู่จริง ดังนั้นหากประเทศใดเอาดอลลาร์มาแลกทองคำกลับคืนก็ย่อมไม่มีทองคำให้เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ ในปี พ.ศ. 2514 สหรัฐอเมริกาจึงประกาศหยุดการใช้ทองคำหนุนหลังเงินดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
และด้วยความคุ้นเคยหรือยอมจำนนของประเทศต่างๆในโลกได้ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักของโลกมาอย่างยาวนานโดยไม่ใครเคยคำนึงการหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไทยและอีกหลายประเทศก็เคยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตะกร้าเงินค่อนข้างคงที่ตรึงเอาไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินบาทเคยแข็งค่าตามเงินดอลลาร์สหรัฐ จนประเทศไทยมีความฟุ้งเฟ้อนำเข้าสินค้าต่างประเทศ ขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แถมยังกู้หนี้ต่างประเทศมาใช้กันอย่างมโหฬาร จนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยถูกโจมตีค่าเงินจนแทบหมดทุนสำรองระหว่างประเทศ จนต้องจำใจยอมลอยค่าเงิน และแก้กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับต่างชาติ และปล่อยให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์และวาณิชธนกิจต่างชาติเข้ามาปล้นสินทรัพย์ของประเทศไทยในราคาถูกๆมาแล้ว
เพราะจริงๆ แล้วที่ผ่านมาทุนของสหรัฐอเมริกาเองไม่ค่อยได้สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเท่ากับความมั่งคั่งของวาณิชธนกิจ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และธนาคารซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งจึงเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกาที่สามารถซื้อสินค้าและสินทรัพย์จากประทศต่างๆได้ราคาถูก แต่เป็นผลเสียต่อภาคการผลิต
นับตั้งแต่ประเทศในภูมิภาคเอเชียพากันอ่อนค่าเงิน ก็ได้ทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่กลายเป็นประเทศส่งออกที่กลับมาเกินดุลการค้า และเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง โรงงานอุตสาหกรรมได้ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในภูมิภาคนี้ตลอดระยะเวลา 14 ปี ประเทศในเอเชียหลายประเทศได้พลิกฟื้นจากสถานภาพลูกหนี้กลายเป็นประเทศเจ้าหนี้ เพราะเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว
ค่าเงินอ่อนของประเทศไทยและเอเชียก็ได้ทำให้ทุนการผลิตของสหรัฐอเมริกาย้ายฐานการผลิตของตัวเองไปยังประเทศในเอเชียมากยิ่งขึ้น ทำให้คนอเมริกันสูญเสียศักยภาพและความสามารถในการผลิต ซ้ำร้ายกว่านั้นสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่ขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างมโหฬาร
เมื่อการผลิตอยู่นอกประเทศ แถมนำเข้าแทนการผลิตในประเทศ ก็ย่อมทำให้เกิดการว่างงานเกิดขึ้นไปโดยปริยาย
ปัจจุบันหนี้ต่างประเทศ(ทั้งของรัฐบาลและเอกชน)ของอเมริกาสูงที่สุดในโลกถึง 14.82 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงแค่ 142,931 ล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศมากกว่าทุนสำรองถึง 97 เท่าตัว) แต่ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกายังรอดมาได้ก็เพราะ
ประการแรก ยังออกพันธบัตรกู้จากประเทศต่างๆได้เรื่อยๆประการหนึ่งโดยที่ทุกประเทศทั่วโลกยังเชื่อในพันธบัตรของอเมริกา
ประการที่สอง สหรัฐอเมริกาก็ได้พิมพ์ธนบัตรเงินดอลลาร์ออกมาใช้เรื่อยๆโดยที่คนยังเชื่อในดอลลาร์ (ทั้งๆที่ไม่ต้องมีอะไรหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์เลย)
ประการที่สาม ประเทศต่างๆ ได้เงินดอลลาร์มาจากการค้าระหว่างประเทศอยากได้ผลตอบแทนจึงสมประโยชน์ที่จะได้ดอกเบี้ยจากการฝากเงินกับสหรัฐอเมริกาและซื้อพันธบัตรสหรัฐอเมริกา
ไม่ใช่เฉพาะอเมริกาเท่านั้น กลุ่มประเทศยุโรปที่สำคัญหลายแห่งต่างเป็นประเทศที่ขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดกันอย่างมโหฬารทุกปีเช่นกัน ทั้ง กรีซ อังกฤษ อิตาลี สเปน ไอร์แลนด์ โปรตุเกส ฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้สหภาพยุโรปจึงจำเป็นออกพันธบัตรกู้เงินจำนวนมหาศาลดึงเงินจากเอเชียให้ไหลกลับมาเช่นกัน
ในขณะที่สหภาพยุโรปได้ท้าทายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐด้วยการก่อตั้งเงินสกุล “ยูโร” ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2542 ในครั้งนั้นทำให้โลกได้ถือเอาเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศประมาณ 70.9% ในขณะที่ยูโรมีอยู่ 17.9% ผ่านมา 12 ปีปรากฏว่าโลกถือเงินสกุลดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงเหลือ 60.7% และถือเป็นเงินยูโรเพิ่มขึ้นเป็น 26.6%
แต่ปัญหาสำคัญของสหภาพยุโรปก็คือการใช้เงินสกุลเดียวกันคือ “ยูโร” ทั้งๆที่แต่ละประเทศมีลักษณะทางเศรษฐกิจที่ต่างกัน อีกทั้งมีการตัดสินใจที่ไม่เป็นเอกภาพยากที่จะใช้เครื่องมือทางการเงินได้คล่องตัวเท่ากับสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดปัญหาหนี้เสียของกรีซจึงทำให้ปัญหาบานปลายถูกเปลือยอย่างล่อนจ้อนว่า หลายประเทศในยุโรปมีหนี้สินมหาศาลสภาพก็ไม่ต่างจากกรีซเช่นกัน ซึ่งจะเป็นผลทำให้เศรษฐกิจยุโรปล้มก่อนสหรัฐอเมริกา
แต่สิ่งที่ชดเชยการเสียเปรียบการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็คือ การสูบความมั่งคั่งจากภูมิภาคเอเชียกลับไป ดังนี้
1.ร่วมมือกันสูบพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติในตะวันออกกลางและเอเชียกลับคืนไปยังสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทั้งการ่วมมือกันก่อสงคราม หรือใช้สายลับสร้างสถานการณ์ในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนอาจจะสนับสนุนผู้นำแต่ละประเทศที่จะเอื้อผลประโยชน์ให้กับอเมริกาและยุโรปมากที่สุด
เพราะการก่อสงครามเป็นการตอบสนองทุนผู้ผลิตอาวุธสงครามในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุนน้ำมันในอเมริกาก็ถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองก็จะได้ประโยชน์ในการเข้ายึดแหล่งพลังงานต่างๆ และเข้าสัมปทานสูบความมั่งคั่งเหล่านั้นกลับประเทศได้ด้วย
2.ใช้กองทุนเฮดจ์ฟันด์และวาณิชธนกิจซึ่งใช้ทั้งเงินและตลาดตราสารอนุพันธ์ในการเข้าโจมตีสูบความมั่งคั่งจากตลาดทุนและตลาดเงินในชาติต่างๆ กลับคืนสู่สหรัฐอเมริกาและยุโรป ด้วยเหตุผลนี้สหรัฐอเมริกาและยุโรปจึงใช้ทุกมาตรการและใช้เงินอย่างมหาศาลเพื่ออุ้มธนาคารที่จะเป็นแหล่งทุนของเหล่ากองทุนวาณิชธนกิจและกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลาย
แต่การกู้เงินอย่างมหาศาลในยุโรปเพื่ออุ้มธนาคารที่จะได้รับผลกระทบจากกรีซ และการพิมพ์แบงค์ดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาผ่านมาตรการ QE 1 และ QE 2 เพื่ออุ้มธนาคารในสหรัฐอเมริกานั้น ตลอดจนการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องกู้เงินฉุกเฉินเพื่อหาเงินมาคืนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ เป็นการกระตุกโลกอย่างรุนแรงให้มีสติว่า
ทำไมประเทศต่างๆต้องเชื่อในเงิน “ยูโร” และ “ดอลลาร์”ต่อไป?
ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ธนาคารในยุโรปเรียกเงินคืนจากเฮดจ์ฟันด์เพื่อมาถือเงินสดมาพยุงสถานภาพของธนาคารเพื่อรองรับการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซนั้น เฮดจ์ฟันด์ได้เทขายหุ้น ตราสารน้ำมัน และทองคำ เป็นผลทำให้ราคาดิ่งลงมาก และสัญชาตญาณของเฮดจ์ฟันด์ก็จะผสมโรงในการเทขายให้มากกว่าปกติเพื่อช้อนซื้อกลับทำกำไรมาแล้วหลายระลอกใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีได้มีบทพิสูจน์หลายครั้งตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือเมื่อเหล่าเฮดจ์ฟันด์เทขายทองคำและตราสารทองคำ ราคาทองคำก็ร่วงเหมือนกันแต่ทุกครั้งที่ราคาทองคำต่ำกว่า 1,600 เหรียญต่อทรอยออนส์ ก็จะมีแรงซื้อกลับมาเช่นกันทุกครั้ง ต่างจากหุ้นและน้ำมันที่เหล่าเฮดจ์ฟันด์ยังปั่นราคาแล้วขายทิ้ง ทุบราคเพื่อช้อนซื้อกลับในลักษณะที่บงการได้ง่ายกว่า
เพราะแม้ทุนเฮดจ์ฟันด์จะมีขนาดใหญ่โตและพยายามสร้างความปั่นป่วนในตลาดทองคำอย่างมาก แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับ “ทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลก” ที่กำลังสะสมทองคำทุกครั้งที่ราคาต่ำลงมา แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางทั่วโลกกำลังแสวงหาทางเลือกอย่างอื่นที่ไม่ใช่ “กระดาษยูโร” หรือ “กระดาษดอลลาร์” และนั่นหมายความว่านับวัน ยุโรป และอเมริกา จะกู้เงินจากเอเชียได้ยากขึ้นทุกวัน
เนื่องจากทองคำในโลกมีจำกัด สหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นหนี้มหาศาลท่วมท้นแต่ถือทรัพย์สินทองคำมากที่สุดในโลกโดยไม่ปล่อยขายออกให้เอเชีย (เพราะต้องการบีบให้เอเชียต้องเข้ามาซื้อพันธบัตรสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่อไป) ในขณะเดียวกันเอเชียซึ่งได้ชื่อว่ามีความมั่งคั่งร่ำรวยกลับถือทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรและธนบัตรสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่กำลังด้อยค่าลงทุกวัน ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ตลาดทองคำมีราคาสูงขึ้นและผันผวนอย่างมากเพราะหลายประเทศพยายามเร่งปรับทุนสำรองของตัวเองโดยการเพิ่มสัดส่วนทองคำมากขึ้น
วันนี้คนอเมริกันและยุโรปเริ่มต่อต้านทุนนิยมในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เพราะปัญหาในประเทศที่มีปัญหาการว่างงานสูงขึ้น คนอเมริกันและยุโรปมีหนี้สินจำนวนมาก แต่รัฐบาลกลับใช้เงินอย่างมหาศาลในการอุ้มธนาคารเพื่อไปปล่อยกู้ให้กับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในการปั่น-ทุบทำกำไรจากตลาดหุ้นทั่วโลก โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ
สิ่งที่ต้องจับตามองในภาวการณ์กดดันทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งจะลามไปการเมืองด้วย เรายังไม่รู้ว่าประเทศใดจะเป็นเหยื่อรายต่อไปในการก่อสงครามเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับสหรัฐอเมริกาและยุโรป และเรายังไม่รู้ว่าจะมีขบวนการแทรกแซงทางการเมืองหรือสร้างสถานการณ์เพื่อช่วงชิงพลังงานจากประเทศใด
ในขณะเดียวกันทั่วโลกต่างเริ่มจับตามองหาสินทรัพย์อย่างอื่นเพื่อแปลงดอลลาร์และยูโรในมือให้เป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากว่าแม้กระทั่งการล่าพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ทั่วโลกเพื่อรองรับวิกฤติอาหารของโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยเฉพาะประเทศไทยมีทั้งพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก มีแหล่งพลังงานที่มีคุณภาพสูงและมีมูลค่ามหาศาล เป็นที่หมายปองจากหลายชาติอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นจึงได้แต่เพียงแจ้งว่า ไม่มีจะใครเฝ้าระวังรักษาผลประโยชน์อันมีค่าของประเทศไทยนี้ได้นอกจากคนไทยด้วยกันเองเท่านั้น!!!
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
“ทองคำ” ถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่หลายประเทศเคยใช้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรของชาติตัวเองมาแล้วมาก่อน เพราะคนจะเชื่อในกระดาษเงินตราได้ก็เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ต้องถือทองคำเดินไปเดินมา และให้ธนาคารกลางเป็นคนรับฝากทองคำเหล่านั้นพร้อมกับการออกกระดาษทดแทน เพื่อให้เชื่อว่ากระดาษเหล่านั้นมีมูลค่าเท่ากับทองคำที่ฝากเอาไว้กับธนาคารหรือธนาคารกลางของแต่ละประเทศ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจผู้ชนะสงคราม ได้กำหนดตีมูลค่าทองคำผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ที่ 35 ดอลลาร์เท่ากับทองคำ 1 ออนส์ เงินดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นเงินสากลที่ถูกนำไปใช้ทั่วโลก และเมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกใช้ในการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศ ก็ยิ่งทำให้เงินดอลลาร์ได้ใช้มากกว่าปริมาณทองคำที่มีอยู่จริงในทุนสำรองของสหรัฐอเมริกา
ประกอบกับในช่วงเวลานั้นสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่การทำสงครามยืดเยื้อกับเวียดนามและสงครามเย็นก่อให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณมหาศาล ทั้งขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ก็ยิ่งทำให้ทองคำที่มีอยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นมีน้อยกว่าเงินดอลลาร์ที่พิมพ์อยู่จริง ดังนั้นหากประเทศใดเอาดอลลาร์มาแลกทองคำกลับคืนก็ย่อมไม่มีทองคำให้เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ ในปี พ.ศ. 2514 สหรัฐอเมริกาจึงประกาศหยุดการใช้ทองคำหนุนหลังเงินดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
และด้วยความคุ้นเคยหรือยอมจำนนของประเทศต่างๆในโลกได้ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักของโลกมาอย่างยาวนานโดยไม่ใครเคยคำนึงการหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไทยและอีกหลายประเทศก็เคยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตะกร้าเงินค่อนข้างคงที่ตรึงเอาไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินบาทเคยแข็งค่าตามเงินดอลลาร์สหรัฐ จนประเทศไทยมีความฟุ้งเฟ้อนำเข้าสินค้าต่างประเทศ ขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แถมยังกู้หนี้ต่างประเทศมาใช้กันอย่างมโหฬาร จนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยถูกโจมตีค่าเงินจนแทบหมดทุนสำรองระหว่างประเทศ จนต้องจำใจยอมลอยค่าเงิน และแก้กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับต่างชาติ และปล่อยให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์และวาณิชธนกิจต่างชาติเข้ามาปล้นสินทรัพย์ของประเทศไทยในราคาถูกๆมาแล้ว
เพราะจริงๆ แล้วที่ผ่านมาทุนของสหรัฐอเมริกาเองไม่ค่อยได้สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเท่ากับความมั่งคั่งของวาณิชธนกิจ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และธนาคารซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งจึงเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกาที่สามารถซื้อสินค้าและสินทรัพย์จากประทศต่างๆได้ราคาถูก แต่เป็นผลเสียต่อภาคการผลิต
นับตั้งแต่ประเทศในภูมิภาคเอเชียพากันอ่อนค่าเงิน ก็ได้ทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่กลายเป็นประเทศส่งออกที่กลับมาเกินดุลการค้า และเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง โรงงานอุตสาหกรรมได้ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในภูมิภาคนี้ตลอดระยะเวลา 14 ปี ประเทศในเอเชียหลายประเทศได้พลิกฟื้นจากสถานภาพลูกหนี้กลายเป็นประเทศเจ้าหนี้ เพราะเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว
ค่าเงินอ่อนของประเทศไทยและเอเชียก็ได้ทำให้ทุนการผลิตของสหรัฐอเมริกาย้ายฐานการผลิตของตัวเองไปยังประเทศในเอเชียมากยิ่งขึ้น ทำให้คนอเมริกันสูญเสียศักยภาพและความสามารถในการผลิต ซ้ำร้ายกว่านั้นสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นประเทศที่ขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างมโหฬาร
เมื่อการผลิตอยู่นอกประเทศ แถมนำเข้าแทนการผลิตในประเทศ ก็ย่อมทำให้เกิดการว่างงานเกิดขึ้นไปโดยปริยาย
ปัจจุบันหนี้ต่างประเทศ(ทั้งของรัฐบาลและเอกชน)ของอเมริกาสูงที่สุดในโลกถึง 14.82 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงแค่ 142,931 ล้านเหรียญสหรัฐ (มีหนี้ต่างประเทศมากกว่าทุนสำรองถึง 97 เท่าตัว) แต่ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกายังรอดมาได้ก็เพราะ
ประการแรก ยังออกพันธบัตรกู้จากประเทศต่างๆได้เรื่อยๆประการหนึ่งโดยที่ทุกประเทศทั่วโลกยังเชื่อในพันธบัตรของอเมริกา
ประการที่สอง สหรัฐอเมริกาก็ได้พิมพ์ธนบัตรเงินดอลลาร์ออกมาใช้เรื่อยๆโดยที่คนยังเชื่อในดอลลาร์ (ทั้งๆที่ไม่ต้องมีอะไรหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์เลย)
ประการที่สาม ประเทศต่างๆ ได้เงินดอลลาร์มาจากการค้าระหว่างประเทศอยากได้ผลตอบแทนจึงสมประโยชน์ที่จะได้ดอกเบี้ยจากการฝากเงินกับสหรัฐอเมริกาและซื้อพันธบัตรสหรัฐอเมริกา
ไม่ใช่เฉพาะอเมริกาเท่านั้น กลุ่มประเทศยุโรปที่สำคัญหลายแห่งต่างเป็นประเทศที่ขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดกันอย่างมโหฬารทุกปีเช่นกัน ทั้ง กรีซ อังกฤษ อิตาลี สเปน ไอร์แลนด์ โปรตุเกส ฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้สหภาพยุโรปจึงจำเป็นออกพันธบัตรกู้เงินจำนวนมหาศาลดึงเงินจากเอเชียให้ไหลกลับมาเช่นกัน
ในขณะที่สหภาพยุโรปได้ท้าทายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐด้วยการก่อตั้งเงินสกุล “ยูโร” ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2542 ในครั้งนั้นทำให้โลกได้ถือเอาเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศประมาณ 70.9% ในขณะที่ยูโรมีอยู่ 17.9% ผ่านมา 12 ปีปรากฏว่าโลกถือเงินสกุลดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงเหลือ 60.7% และถือเป็นเงินยูโรเพิ่มขึ้นเป็น 26.6%
แต่ปัญหาสำคัญของสหภาพยุโรปก็คือการใช้เงินสกุลเดียวกันคือ “ยูโร” ทั้งๆที่แต่ละประเทศมีลักษณะทางเศรษฐกิจที่ต่างกัน อีกทั้งมีการตัดสินใจที่ไม่เป็นเอกภาพยากที่จะใช้เครื่องมือทางการเงินได้คล่องตัวเท่ากับสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดปัญหาหนี้เสียของกรีซจึงทำให้ปัญหาบานปลายถูกเปลือยอย่างล่อนจ้อนว่า หลายประเทศในยุโรปมีหนี้สินมหาศาลสภาพก็ไม่ต่างจากกรีซเช่นกัน ซึ่งจะเป็นผลทำให้เศรษฐกิจยุโรปล้มก่อนสหรัฐอเมริกา
แต่สิ่งที่ชดเชยการเสียเปรียบการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็คือ การสูบความมั่งคั่งจากภูมิภาคเอเชียกลับไป ดังนี้
1.ร่วมมือกันสูบพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติในตะวันออกกลางและเอเชียกลับคืนไปยังสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทั้งการ่วมมือกันก่อสงคราม หรือใช้สายลับสร้างสถานการณ์ในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนอาจจะสนับสนุนผู้นำแต่ละประเทศที่จะเอื้อผลประโยชน์ให้กับอเมริกาและยุโรปมากที่สุด
เพราะการก่อสงครามเป็นการตอบสนองทุนผู้ผลิตอาวุธสงครามในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุนน้ำมันในอเมริกาก็ถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองก็จะได้ประโยชน์ในการเข้ายึดแหล่งพลังงานต่างๆ และเข้าสัมปทานสูบความมั่งคั่งเหล่านั้นกลับประเทศได้ด้วย
2.ใช้กองทุนเฮดจ์ฟันด์และวาณิชธนกิจซึ่งใช้ทั้งเงินและตลาดตราสารอนุพันธ์ในการเข้าโจมตีสูบความมั่งคั่งจากตลาดทุนและตลาดเงินในชาติต่างๆ กลับคืนสู่สหรัฐอเมริกาและยุโรป ด้วยเหตุผลนี้สหรัฐอเมริกาและยุโรปจึงใช้ทุกมาตรการและใช้เงินอย่างมหาศาลเพื่ออุ้มธนาคารที่จะเป็นแหล่งทุนของเหล่ากองทุนวาณิชธนกิจและกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลาย
แต่การกู้เงินอย่างมหาศาลในยุโรปเพื่ออุ้มธนาคารที่จะได้รับผลกระทบจากกรีซ และการพิมพ์แบงค์ดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาผ่านมาตรการ QE 1 และ QE 2 เพื่ออุ้มธนาคารในสหรัฐอเมริกานั้น ตลอดจนการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องกู้เงินฉุกเฉินเพื่อหาเงินมาคืนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ เป็นการกระตุกโลกอย่างรุนแรงให้มีสติว่า
ทำไมประเทศต่างๆต้องเชื่อในเงิน “ยูโร” และ “ดอลลาร์”ต่อไป?
ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ธนาคารในยุโรปเรียกเงินคืนจากเฮดจ์ฟันด์เพื่อมาถือเงินสดมาพยุงสถานภาพของธนาคารเพื่อรองรับการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซนั้น เฮดจ์ฟันด์ได้เทขายหุ้น ตราสารน้ำมัน และทองคำ เป็นผลทำให้ราคาดิ่งลงมาก และสัญชาตญาณของเฮดจ์ฟันด์ก็จะผสมโรงในการเทขายให้มากกว่าปกติเพื่อช้อนซื้อกลับทำกำไรมาแล้วหลายระลอกใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีได้มีบทพิสูจน์หลายครั้งตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือเมื่อเหล่าเฮดจ์ฟันด์เทขายทองคำและตราสารทองคำ ราคาทองคำก็ร่วงเหมือนกันแต่ทุกครั้งที่ราคาทองคำต่ำกว่า 1,600 เหรียญต่อทรอยออนส์ ก็จะมีแรงซื้อกลับมาเช่นกันทุกครั้ง ต่างจากหุ้นและน้ำมันที่เหล่าเฮดจ์ฟันด์ยังปั่นราคาแล้วขายทิ้ง ทุบราคเพื่อช้อนซื้อกลับในลักษณะที่บงการได้ง่ายกว่า
เพราะแม้ทุนเฮดจ์ฟันด์จะมีขนาดใหญ่โตและพยายามสร้างความปั่นป่วนในตลาดทองคำอย่างมาก แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับ “ทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลก” ที่กำลังสะสมทองคำทุกครั้งที่ราคาต่ำลงมา แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางทั่วโลกกำลังแสวงหาทางเลือกอย่างอื่นที่ไม่ใช่ “กระดาษยูโร” หรือ “กระดาษดอลลาร์” และนั่นหมายความว่านับวัน ยุโรป และอเมริกา จะกู้เงินจากเอเชียได้ยากขึ้นทุกวัน
เนื่องจากทองคำในโลกมีจำกัด สหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นหนี้มหาศาลท่วมท้นแต่ถือทรัพย์สินทองคำมากที่สุดในโลกโดยไม่ปล่อยขายออกให้เอเชีย (เพราะต้องการบีบให้เอเชียต้องเข้ามาซื้อพันธบัตรสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่อไป) ในขณะเดียวกันเอเชียซึ่งได้ชื่อว่ามีความมั่งคั่งร่ำรวยกลับถือทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรและธนบัตรสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่กำลังด้อยค่าลงทุกวัน ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ตลาดทองคำมีราคาสูงขึ้นและผันผวนอย่างมากเพราะหลายประเทศพยายามเร่งปรับทุนสำรองของตัวเองโดยการเพิ่มสัดส่วนทองคำมากขึ้น
วันนี้คนอเมริกันและยุโรปเริ่มต่อต้านทุนนิยมในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เพราะปัญหาในประเทศที่มีปัญหาการว่างงานสูงขึ้น คนอเมริกันและยุโรปมีหนี้สินจำนวนมาก แต่รัฐบาลกลับใช้เงินอย่างมหาศาลในการอุ้มธนาคารเพื่อไปปล่อยกู้ให้กับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในการปั่น-ทุบทำกำไรจากตลาดหุ้นทั่วโลก โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ
สิ่งที่ต้องจับตามองในภาวการณ์กดดันทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งจะลามไปการเมืองด้วย เรายังไม่รู้ว่าประเทศใดจะเป็นเหยื่อรายต่อไปในการก่อสงครามเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับสหรัฐอเมริกาและยุโรป และเรายังไม่รู้ว่าจะมีขบวนการแทรกแซงทางการเมืองหรือสร้างสถานการณ์เพื่อช่วงชิงพลังงานจากประเทศใด
ในขณะเดียวกันทั่วโลกต่างเริ่มจับตามองหาสินทรัพย์อย่างอื่นเพื่อแปลงดอลลาร์และยูโรในมือให้เป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากว่าแม้กระทั่งการล่าพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ทั่วโลกเพื่อรองรับวิกฤติอาหารของโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยเฉพาะประเทศไทยมีทั้งพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก มีแหล่งพลังงานที่มีคุณภาพสูงและมีมูลค่ามหาศาล เป็นที่หมายปองจากหลายชาติอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นจึงได้แต่เพียงแจ้งว่า ไม่มีจะใครเฝ้าระวังรักษาผลประโยชน์อันมีค่าของประเทศไทยนี้ได้นอกจากคนไทยด้วยกันเองเท่านั้น!!!