ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – เผยการปราบขบวนการน้ำมันเถื่อนและยาเสพติดในภาคใต้ภายใต้การกำกับดูแลของ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต.ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ขณะที่ “พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” ยอมรับว่ามีเงินทุนบางส่วนถูกส่งให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ส่วน “เลขาฯ ศอ.บต.” ก็ไม่น้อยหน้ายอมรับว่าคำสั่งทั้ง “ผู้ว่าฯ-ศุลกากร-ตำรวจ” ไม่มีใครทำตาม ด้าน “ผู้ว่าฯสงขลา” ระบุชัดเหตุที่ข้าราชการไม่ขยับตัวเพราะกลัวกองทัพปิดมดล้อม แฉซ้ำรถยันต์ลักลอบขนน้ำมันเถื่อนมักพ่วงยาเสพติดด้วย และที่ผ่านสะดวกเพราะมีการจ่ายส่วยเรียบร้อยแล้ว
จากกรณีที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้เปิดเผยว่า ขบวนการก่อความไม่สงบได้รับเงินสนับสนุนในการแบ่งแยกดินแดนจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนและยาเสพติดในภาคใต้ จึงมีนโยบายให้หน่วยงานต่างๆ เช่น ศุลกากร สรรพสามิต ตำรวจและฝ่ายปกครอง ร่วมมือกันสกัดกั้นตามแนวชายแดน และจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) ได้มีคำสั่งให้ผู้ว่าฯในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้รับผิดชอบในการประสานงานกับหน่วยต่างๆ ในแต่ละจังหวัด เพื่อกวดขันจับกุมผู้ค้าน้ำมันเถื่อนใน 5 จังหวัด ซึ่ง “ศูนย์ข่าวASTVผู้จัดการหาดใหญ่” ได้รายงานข่าวมาโดยตลอดนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสกัดกั้นและจับกุมน้ำมันเถื่อนจากกลุ่มนายทุนที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล ตามคำสั่งของนายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.ได้ผลดีอยู่เพียง 15 วัน โดยสามารถจับกุมรถบรรทุกน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นรถกระบะดัดแปลงติดแท็งก์บรรทุกน้ำมันคันละ 3,000 ลิตร รวมทั้งรถบรรทุกน้ำมันชนิด 6 ล้อและ 10 ล้อ จำนวน 500 กว่าคัน หยุดการขนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ประเทศไทยได้ภาษาน้ำมันเพิ่มขึ้นวันละหลายล้านบาท
แต่ปรากฏว่า ขณะนี้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนทั้งหมดได้นำรถบรรทุกดัดแปลงเข้าไปขนน้ำมันจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเดิมอีกครั้ง โดยที่ จ.นราธิวาสมีการขนผ่านเข้ามายังทางชายแดน อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และ อ.แว้ง ส่วนที่ จ.สตูลขนผ่านทางชายแดนบ้านวังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล และ จ.สงขลา ผ่านทางชายแดน ต.สำนักขาม ต.ปาดังเบซาร์ และ ต.ประกอบ สำหรับ จ.สงขลาเป็นขบวนการของนายทุนจาก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนแนวร่วม ขบวนการแบ่งแยกดินแดน
พล.ท.อุดมชัยกล่าวว่า ปัญหาการค้าน้ำมันเถื่อนเป็นภัยทับซ้อน ที่สร้างความไม่สงบในชายแดนใต้ ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนใน 5 จังหวัดชายแดนใต้เชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึง และเงินจำนวนหนึ่งถูกส่งให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดน จากการตรวจสอบในทางลึกพบว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนเชื่อมโยงเป็นกลุ่มเดียวกับขบวนการค้ายาเสพติด จึงขอให้เจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆในพื้นที่ เช่น ศุลกากร สรรพสามิต ตำรวจและฝ่ายปกครองช่วยเหลือในการสกัดกั้นและจับกุม
“เพราะลำพังกำลังของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งหมด เพราะเรามีภารกิจหลักคือ การคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปราบปรามขบวนการแบ่งแยกดินแดน กอ.รมน.มีหลักฐานชัดเจนว่า การก่อการร้ายหลายครั้งเกิดจากการเข้าจับกุมน้ำมันเถื่อนและยาเสพติด โดยนายทุนที่อยู่เบื้องหลังว่าจ้างให้แนวร่วมก่อความไม่สงบ เพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่ แต่ถ้าเรากลัว ไม่จับกุม เท่ากับปล่อยให้ขบวนการนี้เติบโตและจะเป็นภัยต่อความมั่นคงที่ใหญ่กว่าเดิม”
ในขณะที่ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.กล่าวว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับผู้ว่าฯ ศุลกากรและตำรวจไม่ฟังคำสั่งของ ศอ.บต. ยอมรับว่า หนักใจในการแก้ปัญหา เพราะผู้ว่าฯทุกจังหวัดจะรายงานว่าไม่มีการค้ารายใหญ่ เป็นการค้าของชาวบ้านทั่วไป ทำให้ ศอ.บต.ไม่มีพยานหลักฐานในการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ เมื่อผู้ว่าฯและศุลกากรยังปล่อยให้มีการขนน้ำมันเถื่อนเข้ามาอย่างเดิม
“ศอ.บต.คงต้องปรับวิธีการตั้งคณะทำงานที่เป็นของ ศอ.บต.เข้าตรวจสอบและติดตามการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีบางส่วนที่รับส่วยจากกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อน”
ด้าน นายวิญญู ทองสกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขนน้ำมันเถื่อนเข้าสู่ประเทศมากที่สุด กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้รายงานว่า หากมีการสกัดกั้นผู้ค้าน้ำมันเถื่อน นายทุนที่อยู่เบื้องหลังจะนำกองทัพมดที่มีหน้าที่ขนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านให้แก่นายทุน ล้อมที่ทำการศุลกากรเพื่อสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ตนจึงได้ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเป็นผู้ตัดสินใจเองว่า จะปล่อยให้มีการค้าน้ำมันเช่นเดิมหรือจับกุม โดยให้อยู่ในดุลพินิจของด่านศุลกากรแต่ละแห่ง
ในขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้ข้อมูลว่า รถบรรทุกที่ขนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากขนน้ำมันเถื่อนแล้วยังมีการซุกซ่อนใบกระท่อมเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยใบกระท่อมทั้งหมดถูกส่งไปขายให้แก่นายทุนใน จ.ปัตตานี จ.ยะลาและ จ.นราธิวาส เพื่อเป็นส่วนผสมในการผลิตยาเสพติด 4 X 100 เพื่อขายให้กับผู้เสพในพื้นที่
สำหรับใบกระท่อมที่ปลูกในประเทศเพื่อนบ้านมีจำนวนมาก และเป็นชนิดที่มีก้านสีแดง ซึ่งมีฤทธิ์ความมึนเมามากกว่าในประเทศไทย และใบกระท่อมในมาเลเซียไม่ผิดกฎหมาย นายทุนจากฝั่งไทยจึงร่วมมือกับนายทุนในฝั่งมาเลเซียเป็นเอเยนต์จำหน่ายให้แก่ผู้ต้องการ ส่วนรถขนน้ำมันเถื่อนสามารถนำใบกระท่อมผ่านจุดตรวจของตำรวจและศุลกากรอย่างปลอดภัย เพราะรถที่ขนน้ำมันเถื่อนไม่ถูกตรวจค้น
“เนื่องจากจุดตรวจของเจ้าหน้าที่รับส่วยน้ำมันเถื่อน และได้ทำบัญชีทะเบียนรถเอาไว้แล้วจึงไม่มีการตรวจค้น จึงทำให้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนค้าได้ค้าทั้งน้ำมันและใบกระท่อมในเวลาเดียวกัน” เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ากล่าวตบท้าย
จากกรณีที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้เปิดเผยว่า ขบวนการก่อความไม่สงบได้รับเงินสนับสนุนในการแบ่งแยกดินแดนจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนและยาเสพติดในภาคใต้ จึงมีนโยบายให้หน่วยงานต่างๆ เช่น ศุลกากร สรรพสามิต ตำรวจและฝ่ายปกครอง ร่วมมือกันสกัดกั้นตามแนวชายแดน และจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) ได้มีคำสั่งให้ผู้ว่าฯในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้รับผิดชอบในการประสานงานกับหน่วยต่างๆ ในแต่ละจังหวัด เพื่อกวดขันจับกุมผู้ค้าน้ำมันเถื่อนใน 5 จังหวัด ซึ่ง “ศูนย์ข่าวASTVผู้จัดการหาดใหญ่” ได้รายงานข่าวมาโดยตลอดนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสกัดกั้นและจับกุมน้ำมันเถื่อนจากกลุ่มนายทุนที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล ตามคำสั่งของนายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.ได้ผลดีอยู่เพียง 15 วัน โดยสามารถจับกุมรถบรรทุกน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นรถกระบะดัดแปลงติดแท็งก์บรรทุกน้ำมันคันละ 3,000 ลิตร รวมทั้งรถบรรทุกน้ำมันชนิด 6 ล้อและ 10 ล้อ จำนวน 500 กว่าคัน หยุดการขนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ประเทศไทยได้ภาษาน้ำมันเพิ่มขึ้นวันละหลายล้านบาท
แต่ปรากฏว่า ขณะนี้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนทั้งหมดได้นำรถบรรทุกดัดแปลงเข้าไปขนน้ำมันจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเดิมอีกครั้ง โดยที่ จ.นราธิวาสมีการขนผ่านเข้ามายังทางชายแดน อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และ อ.แว้ง ส่วนที่ จ.สตูลขนผ่านทางชายแดนบ้านวังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล และ จ.สงขลา ผ่านทางชายแดน ต.สำนักขาม ต.ปาดังเบซาร์ และ ต.ประกอบ สำหรับ จ.สงขลาเป็นขบวนการของนายทุนจาก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนแนวร่วม ขบวนการแบ่งแยกดินแดน
พล.ท.อุดมชัยกล่าวว่า ปัญหาการค้าน้ำมันเถื่อนเป็นภัยทับซ้อน ที่สร้างความไม่สงบในชายแดนใต้ ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนใน 5 จังหวัดชายแดนใต้เชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึง และเงินจำนวนหนึ่งถูกส่งให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดน จากการตรวจสอบในทางลึกพบว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนเชื่อมโยงเป็นกลุ่มเดียวกับขบวนการค้ายาเสพติด จึงขอให้เจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆในพื้นที่ เช่น ศุลกากร สรรพสามิต ตำรวจและฝ่ายปกครองช่วยเหลือในการสกัดกั้นและจับกุม
“เพราะลำพังกำลังของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งหมด เพราะเรามีภารกิจหลักคือ การคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปราบปรามขบวนการแบ่งแยกดินแดน กอ.รมน.มีหลักฐานชัดเจนว่า การก่อการร้ายหลายครั้งเกิดจากการเข้าจับกุมน้ำมันเถื่อนและยาเสพติด โดยนายทุนที่อยู่เบื้องหลังว่าจ้างให้แนวร่วมก่อความไม่สงบ เพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่ แต่ถ้าเรากลัว ไม่จับกุม เท่ากับปล่อยให้ขบวนการนี้เติบโตและจะเป็นภัยต่อความมั่นคงที่ใหญ่กว่าเดิม”
ในขณะที่ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.กล่าวว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับผู้ว่าฯ ศุลกากรและตำรวจไม่ฟังคำสั่งของ ศอ.บต. ยอมรับว่า หนักใจในการแก้ปัญหา เพราะผู้ว่าฯทุกจังหวัดจะรายงานว่าไม่มีการค้ารายใหญ่ เป็นการค้าของชาวบ้านทั่วไป ทำให้ ศอ.บต.ไม่มีพยานหลักฐานในการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ เมื่อผู้ว่าฯและศุลกากรยังปล่อยให้มีการขนน้ำมันเถื่อนเข้ามาอย่างเดิม
“ศอ.บต.คงต้องปรับวิธีการตั้งคณะทำงานที่เป็นของ ศอ.บต.เข้าตรวจสอบและติดตามการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีบางส่วนที่รับส่วยจากกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อน”
ด้าน นายวิญญู ทองสกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขนน้ำมันเถื่อนเข้าสู่ประเทศมากที่สุด กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้รายงานว่า หากมีการสกัดกั้นผู้ค้าน้ำมันเถื่อน นายทุนที่อยู่เบื้องหลังจะนำกองทัพมดที่มีหน้าที่ขนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านให้แก่นายทุน ล้อมที่ทำการศุลกากรเพื่อสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ตนจึงได้ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเป็นผู้ตัดสินใจเองว่า จะปล่อยให้มีการค้าน้ำมันเช่นเดิมหรือจับกุม โดยให้อยู่ในดุลพินิจของด่านศุลกากรแต่ละแห่ง
ในขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้ข้อมูลว่า รถบรรทุกที่ขนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากขนน้ำมันเถื่อนแล้วยังมีการซุกซ่อนใบกระท่อมเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยใบกระท่อมทั้งหมดถูกส่งไปขายให้แก่นายทุนใน จ.ปัตตานี จ.ยะลาและ จ.นราธิวาส เพื่อเป็นส่วนผสมในการผลิตยาเสพติด 4 X 100 เพื่อขายให้กับผู้เสพในพื้นที่
สำหรับใบกระท่อมที่ปลูกในประเทศเพื่อนบ้านมีจำนวนมาก และเป็นชนิดที่มีก้านสีแดง ซึ่งมีฤทธิ์ความมึนเมามากกว่าในประเทศไทย และใบกระท่อมในมาเลเซียไม่ผิดกฎหมาย นายทุนจากฝั่งไทยจึงร่วมมือกับนายทุนในฝั่งมาเลเซียเป็นเอเยนต์จำหน่ายให้แก่ผู้ต้องการ ส่วนรถขนน้ำมันเถื่อนสามารถนำใบกระท่อมผ่านจุดตรวจของตำรวจและศุลกากรอย่างปลอดภัย เพราะรถที่ขนน้ำมันเถื่อนไม่ถูกตรวจค้น
“เนื่องจากจุดตรวจของเจ้าหน้าที่รับส่วยน้ำมันเถื่อน และได้ทำบัญชีทะเบียนรถเอาไว้แล้วจึงไม่มีการตรวจค้น จึงทำให้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนค้าได้ค้าทั้งน้ำมันและใบกระท่อมในเวลาเดียวกัน” เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ากล่าวตบท้าย