ผมเคยสงสัยมานานเกือบสิบปีแล้วว่า ทำไมราคาก๊าซที่ประเทศไทยซื้อจากประเทศพม่าเพื่อนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าที่ราชบุรีจึงมีราคาแพงกว่าราคาที่เราซื้อจากแหล่งก๊าซที่ผลิตได้ในอ่าวไทย (ซึ่งเป็นของคนไทยเอง) ค่อนข้างมาก โดยคิดเป็นมูลค่าเฉพาะส่วนที่แพงกว่าเป็นเงินถึงประมาณ 4.5 แสนล้านบาทตลอดอายุโครงการประมาณ 40 ปี
ในตอนนั้นผมคิดว่า ราคาก๊าซจากอ่าวไทยเป็นราคาปกติของตลาดโลก แต่ราคาก๊าซจากพม่าเป็นราคาที่ได้ “รวมค่าโกง” เรียบร้อยแล้ว ผมคิดอย่างนี้จริงๆ ครับ ผมไปพูดที่ไหนก็ไม่มีสื่อมวลชนใดสนใจ พิมพ์เป็นหนังสือก็แล้ว พูดง่ายๆ คือเรื่องนี้ “จุดไม่ติด”
มาในวันนี้สิ่งที่ผมสงสัยยังคงเป็นความจริงอยู่ครับ คือ ก๊าซจากพม่ายังคงแพงกว่าจากอ่าวไทยจริง
แต่สิ่งที่ผมคิดกลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามครับ คือ ก๊าซจากพม่าเป็นราคาปกติของตลาดโลก(คิดเองอีก) แต่ราคาก๊าซจากอ่าวไทยเป็นราคาที่ถูกกดให้ต่ำกว่าราคาในตลาดโลกถึง 40-67%
ข้อมูลดังกล่าวมาจากผลการศึกษาเรื่อง “ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ” ของคณะกรรมาธิการวุฒิสภา (โดยมีคุณรสนา โตสิตระกูล เป็นประธาน ซึ่งมีอำนาจในการเชิญข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงได้ แต่ประชาชนธรรมดาอย่างผมถึงจะมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อขอข้อมูลข่าวสาร แต่เอาเข้าจริงก็คงต้องเหนื่อยอีกเยอะ)
เมื่อผมเล่ามาถึงตอนนี้แล้ว สิ่งซึ่งเราต้องสงสัยต่อไปมี 4 ประการ ซึ่งผมขออนุญาตตอบไปพร้อมกัน ดังนี้ คือ
1. เขากดราคาก๊าซในอ่าวไทยให้ต่ำลงเพื่ออะไร คำตอบคือ เพื่อให้บริษัทขุดเจาะจะได้จ่ายค่าภาคหลวงน้อยๆ โดยอัตราค่าภาคหลวงที่เก็บจากบริษัทขุดเจาะในปัจจุบันประมาณ 12.5% ของราคาปากหลุมเจาะ (ซึ่งถือเป็นอัตราในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลกแล้ว) ถ้าราคาที่ปากหลุมถูกกดลง 50% บริษัทขุดเจาะก็เสียค่าภาคหลวงต่ำไปถึง 50% ในปี 2552 เราได้ค่าภาคหลวงจากก๊าซธรรมชาติประมาณ 15,000 ล้านบาท ดังนั้น รัฐหรือประชาชนก็ขาดรายได้ที่ควรจะได้ไปถึงประมาณ 15,000 ล้านบาทด้วย น้อยเสียเมื่อไหร่!
2. ถ้าเขาซื้อขายกันในราคาต่ำๆ ตามข้อที่ 1 แล้ว บริษัทขุดเจาะจะยอมหรือ? เพราะเขาก็ขาดรายได้ไปด้วย ตอบ เขายอมครับ เพราะเขาไปตั้งบริษัทลูกขึ้นมา แล้วให้บริษัทที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะเข้ามาถือหุ้นด้วย ว่ากันตรงๆ ก็คือ มีการจัดตั้ง บริษัท จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด ซึ่งเว็บไซต์ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้เล่าความเป็นมาพร้อมหุ้นส่วนไว้ว่า
"หลังจากที่มีการค้นพบก๊าซธรรมชาติปริมาณมากในอ่าวไทย รัฐบาลจึงเริ่มนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาอุตสาหกรรม บริษัท ปตท.จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนองนโยบายรัฐบาล โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บริษัท Tractebel S.A. ประเทศเบลเยียม บริษัท British Gas Plc. ประเทศอังกฤษ และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน ในปีเดียวกัน โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลง จนถึงปัจจุบันประกอบด้วย”
เมื่อบริษัทขุดเจาะ (ทั้งที่เป็นของ ปตท.สผ. และเป็นของบริษัทต่างชาติ) ก็ขายให้กับ บริษัท จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด ในราคาถูกๆ เพื่อลดค่าภาคหลวง จากนั้นบริษัทนี้ก็ส่งไปขายต่อให้กับโรงไฟฟ้าในราคาที่เขาอยากจะขาย (เพราะเป็นระบบผูกขาด) ข่าวลึกๆ ที่ผมทราบก็คือ เขาให้ กฟผ. ในราคาที่แพงกว่าขายให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนเสียอีก หากมีเวลาจะรื้อค้นเอกสารออกมาเผยแพร่กันอีกครั้ง
3. ข้อสงสัยประการที่ 3 คือ การกระทำในข้อที่ 2 นั้น ผิดกฎหมายหรือไม่? ตอบ จากพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 หมวดทั่วไป มาตรา 4 ระบุว่า "ราคาตลาด” หมายความว่า ราคาในตลาดเปิดเผย หากไม่มีราคาดังกล่าว หมายความว่า ราคาที่พึงคิดกันระหว่างบุคคลซึ่งเป็นอิสระต่อกันโดยไม่มีความสัมพันธ์ใน ด้านทุนหรือการจัดการ”
ผมเชื่อว่า บริษัท จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด กับบริษัทที่ได้รับสัมปทาน มีความสัมพันธ์ในด้านทุนหรือการจัดการ อย่างชัดเจน แม้ว่าในเวลาต่อมาได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียมเรื่อยมา แต่ผมได้ตรวจสอบแล้ว (ทั้ง 6 ฉบับ, หลังสุด 2550) ความหมายในหมวดทั่วไปไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแน่นอน
4. ประการสุดท้าย ทำไมไม่มีการลงโทษ (ตามมาตรา 110) ที่ระบุว่า "ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ นำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง หรือกระทำการใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาคหลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปีและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท”
แม้บทลงโทษจะเบาและจิ๊บๆ มากเมื่อเทียบกับความสูญเสียนับหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ก็ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายตลอดมา ดังนั้น เราควรจะฟ้องใครบ้าง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ข้าราชการและนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง ที่น่าเจ็บใจอีกอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่แก้ไข พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่เคยเพิ่มโทษในมาตรา 110 เลย มีแต่เอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนมากว่าเดิมเสมอ
สำหรับวันนี้ ผมขอฟ้องประชาชนก่อนนะครับ จะจุดติดอีกหรือไม่ก็ไม่รู้ เฮ่อประเทศไทย!
ในตอนนั้นผมคิดว่า ราคาก๊าซจากอ่าวไทยเป็นราคาปกติของตลาดโลก แต่ราคาก๊าซจากพม่าเป็นราคาที่ได้ “รวมค่าโกง” เรียบร้อยแล้ว ผมคิดอย่างนี้จริงๆ ครับ ผมไปพูดที่ไหนก็ไม่มีสื่อมวลชนใดสนใจ พิมพ์เป็นหนังสือก็แล้ว พูดง่ายๆ คือเรื่องนี้ “จุดไม่ติด”
มาในวันนี้สิ่งที่ผมสงสัยยังคงเป็นความจริงอยู่ครับ คือ ก๊าซจากพม่ายังคงแพงกว่าจากอ่าวไทยจริง
แต่สิ่งที่ผมคิดกลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามครับ คือ ก๊าซจากพม่าเป็นราคาปกติของตลาดโลก(คิดเองอีก) แต่ราคาก๊าซจากอ่าวไทยเป็นราคาที่ถูกกดให้ต่ำกว่าราคาในตลาดโลกถึง 40-67%
ข้อมูลดังกล่าวมาจากผลการศึกษาเรื่อง “ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ” ของคณะกรรมาธิการวุฒิสภา (โดยมีคุณรสนา โตสิตระกูล เป็นประธาน ซึ่งมีอำนาจในการเชิญข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงได้ แต่ประชาชนธรรมดาอย่างผมถึงจะมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อขอข้อมูลข่าวสาร แต่เอาเข้าจริงก็คงต้องเหนื่อยอีกเยอะ)
เมื่อผมเล่ามาถึงตอนนี้แล้ว สิ่งซึ่งเราต้องสงสัยต่อไปมี 4 ประการ ซึ่งผมขออนุญาตตอบไปพร้อมกัน ดังนี้ คือ
1. เขากดราคาก๊าซในอ่าวไทยให้ต่ำลงเพื่ออะไร คำตอบคือ เพื่อให้บริษัทขุดเจาะจะได้จ่ายค่าภาคหลวงน้อยๆ โดยอัตราค่าภาคหลวงที่เก็บจากบริษัทขุดเจาะในปัจจุบันประมาณ 12.5% ของราคาปากหลุมเจาะ (ซึ่งถือเป็นอัตราในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลกแล้ว) ถ้าราคาที่ปากหลุมถูกกดลง 50% บริษัทขุดเจาะก็เสียค่าภาคหลวงต่ำไปถึง 50% ในปี 2552 เราได้ค่าภาคหลวงจากก๊าซธรรมชาติประมาณ 15,000 ล้านบาท ดังนั้น รัฐหรือประชาชนก็ขาดรายได้ที่ควรจะได้ไปถึงประมาณ 15,000 ล้านบาทด้วย น้อยเสียเมื่อไหร่!
2. ถ้าเขาซื้อขายกันในราคาต่ำๆ ตามข้อที่ 1 แล้ว บริษัทขุดเจาะจะยอมหรือ? เพราะเขาก็ขาดรายได้ไปด้วย ตอบ เขายอมครับ เพราะเขาไปตั้งบริษัทลูกขึ้นมา แล้วให้บริษัทที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะเข้ามาถือหุ้นด้วย ว่ากันตรงๆ ก็คือ มีการจัดตั้ง บริษัท จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด ซึ่งเว็บไซต์ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้เล่าความเป็นมาพร้อมหุ้นส่วนไว้ว่า
"หลังจากที่มีการค้นพบก๊าซธรรมชาติปริมาณมากในอ่าวไทย รัฐบาลจึงเริ่มนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาอุตสาหกรรม บริษัท ปตท.จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนองนโยบายรัฐบาล โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บริษัท Tractebel S.A. ประเทศเบลเยียม บริษัท British Gas Plc. ประเทศอังกฤษ และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน ในปีเดียวกัน โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลง จนถึงปัจจุบันประกอบด้วย”
เมื่อบริษัทขุดเจาะ (ทั้งที่เป็นของ ปตท.สผ. และเป็นของบริษัทต่างชาติ) ก็ขายให้กับ บริษัท จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด ในราคาถูกๆ เพื่อลดค่าภาคหลวง จากนั้นบริษัทนี้ก็ส่งไปขายต่อให้กับโรงไฟฟ้าในราคาที่เขาอยากจะขาย (เพราะเป็นระบบผูกขาด) ข่าวลึกๆ ที่ผมทราบก็คือ เขาให้ กฟผ. ในราคาที่แพงกว่าขายให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนเสียอีก หากมีเวลาจะรื้อค้นเอกสารออกมาเผยแพร่กันอีกครั้ง
3. ข้อสงสัยประการที่ 3 คือ การกระทำในข้อที่ 2 นั้น ผิดกฎหมายหรือไม่? ตอบ จากพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 หมวดทั่วไป มาตรา 4 ระบุว่า "ราคาตลาด” หมายความว่า ราคาในตลาดเปิดเผย หากไม่มีราคาดังกล่าว หมายความว่า ราคาที่พึงคิดกันระหว่างบุคคลซึ่งเป็นอิสระต่อกันโดยไม่มีความสัมพันธ์ใน ด้านทุนหรือการจัดการ”
ผมเชื่อว่า บริษัท จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด กับบริษัทที่ได้รับสัมปทาน มีความสัมพันธ์ในด้านทุนหรือการจัดการ อย่างชัดเจน แม้ว่าในเวลาต่อมาได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียมเรื่อยมา แต่ผมได้ตรวจสอบแล้ว (ทั้ง 6 ฉบับ, หลังสุด 2550) ความหมายในหมวดทั่วไปไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแน่นอน
4. ประการสุดท้าย ทำไมไม่มีการลงโทษ (ตามมาตรา 110) ที่ระบุว่า "ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ นำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง หรือกระทำการใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาคหลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปีและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท”
แม้บทลงโทษจะเบาและจิ๊บๆ มากเมื่อเทียบกับความสูญเสียนับหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ก็ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายตลอดมา ดังนั้น เราควรจะฟ้องใครบ้าง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ข้าราชการและนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง ที่น่าเจ็บใจอีกอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่แก้ไข พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่เคยเพิ่มโทษในมาตรา 110 เลย มีแต่เอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนมากว่าเดิมเสมอ
สำหรับวันนี้ ผมขอฟ้องประชาชนก่อนนะครับ จะจุดติดอีกหรือไม่ก็ไม่รู้ เฮ่อประเทศไทย!