วานนี้(28 ก.ย.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ของคณะนิติราษฎร์ http://www.enlightened-jurists.com ได้นำเสนอ "สารถึงผู้อ่าน - ถึงประชาชนผู้รักในนิติรัฐ-ประชาธิปไตย" ข้อความดังนี้ “ประกาศนิติราษฎร์” 28 September 2011 สืบเนื่องจากข้อเสนอทางวิชาการ "5 ปี รัฐประหาร 1 ปี นิติราษฏร์" และคำชี้แจงรายละเอียดของข้อเสนอให้ "ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549" ซึ่งคณะนิติราษฎร์ ได้เปิดแถลงข้อเสนอต่อประชาชนผู้สนใจ และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 และ 25 กันยายน 2554 ตามลำดับ
ปรากฏว่ามีผู้เขียนบทความ จดหมาย คำกลอน รวมทั้งส่งอีเมลมาถึงคณะนิติราษฎร์จำนวนมาก ทั้งที่ให้กำลังใจ สนับสนุนข้อเสนอ รวมทั้งเสนอแนะเพิ่มเติม และทั้งที่ตั้งคำถาม แสดงความไม่เห็นด้วย หรือต่อว่าด่าทอ แต่ด้วยสมาชิกของคณะนิติราษฎร์ไม่สามารถแสดงความคิดเห็น หรือตอบกลับอีเมลเหล่านั้นได้ทั้งหมด จึงขอส่งสารมายังทุกท่านว่า
คณะนิติราษฏร์ ได้รับสารเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว และขอขอบคุณในทุกคำให้กำลังใจและสนับสนุนของประชาชนผู้มีใจรักในนิติรัฐ - ประชาธิปไตย และปฏิเสธ ไม่ก้มหัว หรือยอมจำนนต่อรัฐประหารไม่ว่า ณ เวลาใดๆ ขอขอบคุณและชื่นชมทุกท่านที่พร้อมร่วมกันยืนยันว่า ในที่สุดแล้ว ประชาชนคือรัฐาธิปัตย์ที่แท้จริงในระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ และมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการลบล้างผลพวงจากการประกอบอาชญากรรมยึดอำนาจไปจากมือประชาชน
คณะนิติราษฎร์ จะน้อมรับและตอบข้อสงสัยในคำวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอฯ ก็ต่อเมื่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านั้นได้อ่านและทำความเข้าใจทุกถ้อยแถลงของข้อเสนอฯ อย่างละเอียดเพียงพอแล้ว ด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง วิจารณ์อยู่บนพื้นฐานหลักการแห่งกฎหมาย และขอแสดงความเสียดาย แต่ไม่แสดงความท้อใจเมื่อเราพบว่า ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่จำนนต่อรัฐประหาร พร้อมสยบยอมต่ออำนาจอื่นใด เหยียบย่ำหลักการ และมองข้ามหัวประชาชน.
**เด็จพี่ อ้างสอดคล้องกับหลักการปชต.
ที่รัฐสภา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะนิติราษฎร์ ซึ่งนำโดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ออกแถลงการณ์โดยมีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหารเมื่อวันที่ 19กันยายน 2549 แต่ปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์และนักวิชาการสาย คมช.ได้ออกมาตอบโต้ข้อเสนอดังกล่าวนั้น ตนเห็นว่าคณะนิติราษฎร์ล้านเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่มีแนวความคิดสอดคล้องกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยและมองเห็นความไม่ถูกต้องของรัฐประหาร และการรัฐประหารก็เท่ากับว่ารัฐธรรมนูญของไทยไม่มีความเป็นนิติรัฐ ประกาศของคณะรัฐประหารจึงไม่มีค่าบังคับใช้เป็นกฎหมายแต่อย่างใด ตนจึงอยากจะขอให้นักวิชาการและลิ่วล้อของ คมช.เข้าใจหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า การที่คณะนิติราษฎร์เสนอแนวความคิดดังกล่าวก็เพื่อทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและยึดถือเป็นธรรมเนียมผิด ๆ มาโดยตลอดให้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง การที่ลิ่วล้อ คมช.ออกมาโต้ตอบ คณะนิติราษฎร์ จึงไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากต้องการเสพติดอำนาจที่ตนเองเคยได้รับจากการหยิบยื่นของ คมช.
“ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไม่ได้มีเจตนาที่จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีตามที่ถูกกล่าวหาก แต่ต้องการสร้างนิติรัฐของประเทศไทยให้มีความสมบูรณ์ชึ้นเท่านั้น ส่วนใครจะได้ประโยชน์ บ้างจากข้อเสนอดังกล่าวก็เป็นเรื่องผลพลอยได้แต่ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของคณะนิติราษฎร์”นายพร้อมพงศ์ กล่าว
**พท. แขวะ “มาร์ค” หยุดใช้วาทะกรรม
ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่คณะนิติราษฎร์ ซึ่งนำโดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ออกแถลงการณ์โดยมีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหารเมื่อวันที่ 19กันยายน 2549 ว่า ที่พรรคเพื่อไทยได้มีมีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โดยอยากขอเรียกร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ช่วยตอบรับการจัดสัมมนาเพื่อพูดคุยกับกลุ่ม 7 อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนตนขอชี้แจงว่าจากการที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวหาว่า สถานที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสถานที่ที่ไม่มีความเป็นกลางนั้น ตนเห็นว่าเป็นสถานที่ที่มี่ความเหมาะสมที่สุด และมีความเป็นกลางอยู่แล้ว นายอภิสิทธิ์ อย่าได้ใช้วาทะกรรมในการหลีกเลี่ยงที่จะไปพูดคุย ในวันนี้ข้อเสนอของ 7 อาจารย์ มีหลากหลายวาระ เพียงแต่ผู้นำฝ่ายค้านอย่าหยิบยกประเด็นที่ตนไม่เห็นด้วยมากล่าวโทษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ย้อนกลับไปดูคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติ ยุบ พรรคประชาธิปัตย์ กรณีเงินบริจาค258 ล้านบาท และกรณีเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่น่าสนใจพอกับคดีของคณะนิติราษฎร์ รวมถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์จะไปยื่นถอดถอน เพื่อเอาผิดอัยการสูงสุด (อสส.) กรณีไม่ฎีกาคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ปของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์ และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งขณะเดียวกันเรื่องดังกล่าวอาจเนื่องมาจากหน่วยงานราชการทำอะไรไม่ถูกใจพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ทำตามความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ก็กล่าวหาว่ามีการแทรกแซง ไม่มีความยุติธรรม หรือจะต้องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และอสส.ทำตามความคิดของฝ่ายค้านเพียงอย่างเดียว จึงจะชื่นชมว่ายุติธรรม
ปรากฏว่ามีผู้เขียนบทความ จดหมาย คำกลอน รวมทั้งส่งอีเมลมาถึงคณะนิติราษฎร์จำนวนมาก ทั้งที่ให้กำลังใจ สนับสนุนข้อเสนอ รวมทั้งเสนอแนะเพิ่มเติม และทั้งที่ตั้งคำถาม แสดงความไม่เห็นด้วย หรือต่อว่าด่าทอ แต่ด้วยสมาชิกของคณะนิติราษฎร์ไม่สามารถแสดงความคิดเห็น หรือตอบกลับอีเมลเหล่านั้นได้ทั้งหมด จึงขอส่งสารมายังทุกท่านว่า
คณะนิติราษฏร์ ได้รับสารเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว และขอขอบคุณในทุกคำให้กำลังใจและสนับสนุนของประชาชนผู้มีใจรักในนิติรัฐ - ประชาธิปไตย และปฏิเสธ ไม่ก้มหัว หรือยอมจำนนต่อรัฐประหารไม่ว่า ณ เวลาใดๆ ขอขอบคุณและชื่นชมทุกท่านที่พร้อมร่วมกันยืนยันว่า ในที่สุดแล้ว ประชาชนคือรัฐาธิปัตย์ที่แท้จริงในระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ และมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการลบล้างผลพวงจากการประกอบอาชญากรรมยึดอำนาจไปจากมือประชาชน
คณะนิติราษฎร์ จะน้อมรับและตอบข้อสงสัยในคำวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอฯ ก็ต่อเมื่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านั้นได้อ่านและทำความเข้าใจทุกถ้อยแถลงของข้อเสนอฯ อย่างละเอียดเพียงพอแล้ว ด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง วิจารณ์อยู่บนพื้นฐานหลักการแห่งกฎหมาย และขอแสดงความเสียดาย แต่ไม่แสดงความท้อใจเมื่อเราพบว่า ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่จำนนต่อรัฐประหาร พร้อมสยบยอมต่ออำนาจอื่นใด เหยียบย่ำหลักการ และมองข้ามหัวประชาชน.
**เด็จพี่ อ้างสอดคล้องกับหลักการปชต.
ที่รัฐสภา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะนิติราษฎร์ ซึ่งนำโดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ออกแถลงการณ์โดยมีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหารเมื่อวันที่ 19กันยายน 2549 แต่ปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์และนักวิชาการสาย คมช.ได้ออกมาตอบโต้ข้อเสนอดังกล่าวนั้น ตนเห็นว่าคณะนิติราษฎร์ล้านเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่มีแนวความคิดสอดคล้องกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยและมองเห็นความไม่ถูกต้องของรัฐประหาร และการรัฐประหารก็เท่ากับว่ารัฐธรรมนูญของไทยไม่มีความเป็นนิติรัฐ ประกาศของคณะรัฐประหารจึงไม่มีค่าบังคับใช้เป็นกฎหมายแต่อย่างใด ตนจึงอยากจะขอให้นักวิชาการและลิ่วล้อของ คมช.เข้าใจหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า การที่คณะนิติราษฎร์เสนอแนวความคิดดังกล่าวก็เพื่อทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและยึดถือเป็นธรรมเนียมผิด ๆ มาโดยตลอดให้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง การที่ลิ่วล้อ คมช.ออกมาโต้ตอบ คณะนิติราษฎร์ จึงไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากต้องการเสพติดอำนาจที่ตนเองเคยได้รับจากการหยิบยื่นของ คมช.
“ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไม่ได้มีเจตนาที่จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีตามที่ถูกกล่าวหาก แต่ต้องการสร้างนิติรัฐของประเทศไทยให้มีความสมบูรณ์ชึ้นเท่านั้น ส่วนใครจะได้ประโยชน์ บ้างจากข้อเสนอดังกล่าวก็เป็นเรื่องผลพลอยได้แต่ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของคณะนิติราษฎร์”นายพร้อมพงศ์ กล่าว
**พท. แขวะ “มาร์ค” หยุดใช้วาทะกรรม
ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่คณะนิติราษฎร์ ซึ่งนำโดย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ออกแถลงการณ์โดยมีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหารเมื่อวันที่ 19กันยายน 2549 ว่า ที่พรรคเพื่อไทยได้มีมีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โดยอยากขอเรียกร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ช่วยตอบรับการจัดสัมมนาเพื่อพูดคุยกับกลุ่ม 7 อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนตนขอชี้แจงว่าจากการที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวหาว่า สถานที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสถานที่ที่ไม่มีความเป็นกลางนั้น ตนเห็นว่าเป็นสถานที่ที่มี่ความเหมาะสมที่สุด และมีความเป็นกลางอยู่แล้ว นายอภิสิทธิ์ อย่าได้ใช้วาทะกรรมในการหลีกเลี่ยงที่จะไปพูดคุย ในวันนี้ข้อเสนอของ 7 อาจารย์ มีหลากหลายวาระ เพียงแต่ผู้นำฝ่ายค้านอย่าหยิบยกประเด็นที่ตนไม่เห็นด้วยมากล่าวโทษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ย้อนกลับไปดูคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติ ยุบ พรรคประชาธิปัตย์ กรณีเงินบริจาค258 ล้านบาท และกรณีเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่น่าสนใจพอกับคดีของคณะนิติราษฎร์ รวมถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์จะไปยื่นถอดถอน เพื่อเอาผิดอัยการสูงสุด (อสส.) กรณีไม่ฎีกาคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ปของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์ และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งขณะเดียวกันเรื่องดังกล่าวอาจเนื่องมาจากหน่วยงานราชการทำอะไรไม่ถูกใจพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ทำตามความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ก็กล่าวหาว่ามีการแทรกแซง ไม่มีความยุติธรรม หรือจะต้องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และอสส.ทำตามความคิดของฝ่ายค้านเพียงอย่างเดียว จึงจะชื่นชมว่ายุติธรรม