เวก้าฯและททท.ขานรับรัฐบาลใหม่ ดึงอาหรับเที่ยวไทย วางเป้าเพิ่มกว่า10%ตลาดรวมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แปลงนโยบาย “ศูนย์กลางการแพทย์ของเอเชีย (Medical Hub of Asia)”เป็นรูปธรรมโค้งสุดท้ายปี54
บริษัทเวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด เปิดตัวงานแสดงสินค้ากลุ่มธุรกิจพยาบาลและการดูแลสุขภาพ Med Health&Wellness2011 ที่กรุงมัสคัต ประเทศโอมาน
โดยขณะนี้กำลังรวบรวมผู้ประกอบการธุรกิจรักษาพยาบาลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานในวันที่27-29กันยายนนี้ ต่อยอดกลยุทธ์ชูไทยศูนย์กลางการแพทย์และการดูแลสุขภาพของเอเชีย เพิ่มจำนวนกลุ่มเป้าหมายอาหรับโดยรวมกว่า 10% โดยมีนายปราโมทย์ ทรัพย์เย็น ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานดูไบ นำททท.เข้าร่วมงานเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวไทยและให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อต่อยอดนโยบายจากภาครัฐที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในภูมิภาคอาหรับอย่างแข็งขันช่วงโค้งสุดท้ายปี54พร้อมหวังผลยาวถึงปี55 และส่งผลต่ออนาคตการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
นายอัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญงานแสดงสินค้าในตะวันออกกลาง เปิดเผยว่า ธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ (Health Care) รวมทั้งธุรกิจโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว เนื่องจากประชากรของโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณความต้องการบริการทางสุขภาพและการแพทย์เพิ่มมากขึ้นไปในทิศทางเดียวกับการเพิ่มของประชากร จากการที่รัฐบาลไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย (Medical Hub of Asia) ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจบริการรักษาพยาบาล ธุรกิจส่งเสริมสุขภาพ และธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทย
โดยธุรกิจบริการรักษาพยาบาล เป็นธุรกิจหลักที่สำคัญ มีผู้ประกอบการหลัก คือ โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนถึง 256 ราย โรงพยาบาลเอกชนที่มีศักยภาพรองรับกลุ่มลูกค้าชาวต่างประเทศมีจำนวน 132 แห่ง หรือร้อยละ 51.56 ของโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ ถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจบริการด้านอื่นๆ รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องด้วย อาทิ ธุรกิจยา ธุรกิจอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ รวมทั้งเกิดการสร้างอาชีพกระจายรายได้ และการจ้างงานในสาขาวิชาชีพต่างๆ
สำหรับปี2554นี้ นายอัครวุฒิ กล่าวว่าตนได้ตีเหล็กไฟร้อนโหนกระแสไทยขึ้นหม้อเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลเป็นที่นิยมในหมู่ชาวตะวันออกกลาง เปิดตัวงานแสดงสินค้า Med Health&Wellness2011 ที่กรุงมัสคัต ประเทศโอมาน ซึ่งกำลังจะจัดในวันที่27-29กันยายนนี้ ผลลัพธ์โดยรวมเพื่อสร้างและเพิ่มรายได้จากกลุ่มอาหรับเข้าประเทศไทย ช่วยสนับสนุนและสานต่อเป้าหมายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวชาวอาหรับในกลุ่มสุขภาพ(Medical Tourism) โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวและครอบครัวที่มีศักยภาพจากประเทศสมาชิกกลุ่ม GCC( คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ หรือGulf Cooperation Council) ประกอบด้วย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต โอมาน กาตาร์ บาห์เรน เป็นต้น ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี โดยนักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้มีฐานะดี และนิยมเข้ารับบริการด้านการแพทย์ของไทย สร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นจำนวนมาก มีระยะเวลาพักในประเทศไทยประมาณ 90 วัน
ทั้งนี้นายปราโมทย์ ทรัพย์เย็น ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานดูไบ ที่ได้นำททท.เข้าร่วมงานเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในงานMed Health&Wellness2011 นี้ทุกปี ได้ให้คำแนะนำการดำเนินงานเพื่อสนองตอบนโยบายจากภาครัฐอย่างสอดคล้องทางยุทธศาสตร์การแข่งขันที่เป็นปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต โดยนายอัครวุฒิเสริมว่า จากประสบการณ์ในการประชันการค้าพบว่า ประเทศคู่แข่งหลักของไทยคือประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ ซึ่งมีนโยบายและการดำเนินการตลาดค่อนข้างดีกว่าไทย แต่ไทยมีข้อได้เปรียบเช่นประเทศสิงคโปร์มีโรงพยาบาลเอกชนใหญ่ที่รักษาชาวต่างชาติได้ไม่กี่แห่ง และที่สำคัญค่ารักษาพยาบาลของไทยถูกกว่าสิงคโปร์เกือบครึ่ง
นายอัครวุฒิกล่าวอีกว่า รายได้เข้าประเทศจากกลุ่มชาวตะวันออกกลางมีมหาศาล แบ่งเป็นช่วงก่อนการเข้าโรงพยาบาล ระหว่างที่เข้าโรงพยาบาล และหลังจากออกจากโรงพยาบาล อาจจะเรียกว่าแต่ละช่วงของชีวิตมาดูแลสุขภาพและท่องเที่ยว ใช้บริการสปา นวดไทยแผนโบราณหรือใช้สมุนไพรไทย หรือกิจกรรมอะไรในประเทศไทยได้ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ฐานกลุ่มอาหรับนี้ขยายใหญ่ขึ้น และมีรายได้ต่างชาติจากอาหรับเข้าประเทศไทยมากขึ้น จากสัดส่วนของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศทั่วโลก เพิ่มมากกว่า10%ในปีนี้และต่อเนื่องในปีต่อๆไป