ASTVผู้จัดการรายวัน - กสิกรฯมั่นใจสินเชื่อที่อยู่อาศัยปีนี้โตเกินเป้าที่ตั้งไว้ 13-15% รับอานิสงส์นโยบายบ้านหลังแรกรัฐหนุน ขณะที่ทั้งระบบโต 8.5% ส่วนเศรษฐกิจโลกไม่น่ากระทบ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารในปีนี้ มีโอกาสที่จะเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 13-15% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายลดหย่อยภาษีบ้านหลังแรกของรัฐบาล โดยในช่วงครึ่งปีแรกสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารขยายตัว 9% และหากธนาคารมีอัตราการเติบโตของปล่อยสินเชื่อตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะคิดเป็นสินเชื่อใหม่ประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท และส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 1.85-1.9 แสนล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 8.5% จากปีก่อนหน้าที่มีอัตราการเติบโต 9.2%
"นโยบายลดหย่อนภาษีบ้านหล้งแรกของรัฐดังกล่าวจะส่งผลต่อดีมานด์ในกลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรก ซึ่งจะทำให้ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีหน้ามีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 9-9.5% จากปีนี้"
ทั้งนี้ การเติบโตของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเติบโตเฉลี่ยที่ 3.7% ธนาคารรัฐมีการเติบโตที่ 2.8% และธนาคารพาณิชย์ขยายตัวที่ 5.7%
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารกสิกรไทยภายหลังจากมาตรการรัฐดังกล่าวเริ่มดำเนินการ ธนาคารจะยังไม่มีกลยุทธ์พิเศษในการดึงดูดลูกค้า แต่จะมีลักษณะการออกแคมเปญอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในการให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษแก่กลุ่มลูกค้า โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเสนอให้กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อใช้แก่ลูกค้าในโครงการจะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยลูกค้าทั่วไปประมาณ 0.25-0.75%
นายชาติชายกล่าวอีกว่า ธนาคารจะพยายามเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและรักษาอันดับในการเป็นที่ 2 ของธุรกิจการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 50% และกลุ่มลูกค้ารายย่อยผ่านสาขาธนาคาร 50%
ทั้งนี้กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 1 รายจะมีการเลือกธนาคารกสิกรไทยเป็น 1 ใน 2 ของกลุ่มผู้ที่ปล่อยสินเชื่อในโครงการที่อยู่อาศัย เช่น แสนสิริ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เอพี และพฤกษาฯ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันธนาคารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเฉลี่ยต่อรายประมาณ 2.5 ล้านบาท
ด้านสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในต่างประเทศนั้น ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้า โดยเห็นได้จากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551 ลูกค้า สามารถปรับตัวได้ดีและเรียนรู้การป้องกันตัวเองในระดับหนึ่งแล้ว
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารในปีนี้ มีโอกาสที่จะเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 13-15% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายลดหย่อยภาษีบ้านหลังแรกของรัฐบาล โดยในช่วงครึ่งปีแรกสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารขยายตัว 9% และหากธนาคารมีอัตราการเติบโตของปล่อยสินเชื่อตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะคิดเป็นสินเชื่อใหม่ประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท และส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 1.85-1.9 แสนล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 8.5% จากปีก่อนหน้าที่มีอัตราการเติบโต 9.2%
"นโยบายลดหย่อนภาษีบ้านหล้งแรกของรัฐดังกล่าวจะส่งผลต่อดีมานด์ในกลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรก ซึ่งจะทำให้ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีหน้ามีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 9-9.5% จากปีนี้"
ทั้งนี้ การเติบโตของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเติบโตเฉลี่ยที่ 3.7% ธนาคารรัฐมีการเติบโตที่ 2.8% และธนาคารพาณิชย์ขยายตัวที่ 5.7%
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารกสิกรไทยภายหลังจากมาตรการรัฐดังกล่าวเริ่มดำเนินการ ธนาคารจะยังไม่มีกลยุทธ์พิเศษในการดึงดูดลูกค้า แต่จะมีลักษณะการออกแคมเปญอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในการให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษแก่กลุ่มลูกค้า โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเสนอให้กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อใช้แก่ลูกค้าในโครงการจะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยลูกค้าทั่วไปประมาณ 0.25-0.75%
นายชาติชายกล่าวอีกว่า ธนาคารจะพยายามเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและรักษาอันดับในการเป็นที่ 2 ของธุรกิจการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 50% และกลุ่มลูกค้ารายย่อยผ่านสาขาธนาคาร 50%
ทั้งนี้กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 1 รายจะมีการเลือกธนาคารกสิกรไทยเป็น 1 ใน 2 ของกลุ่มผู้ที่ปล่อยสินเชื่อในโครงการที่อยู่อาศัย เช่น แสนสิริ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เอพี และพฤกษาฯ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันธนาคารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเฉลี่ยต่อรายประมาณ 2.5 ล้านบาท
ด้านสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในต่างประเทศนั้น ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้า โดยเห็นได้จากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551 ลูกค้า สามารถปรับตัวได้ดีและเรียนรู้การป้องกันตัวเองในระดับหนึ่งแล้ว
