xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อผมถูกตำรวจไล่ล่าเหมือนอาชญากร : ใครกันแน่ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ เรื่องที่ผมถูกตำรวจไล่ล่าเหมือนอาชญากรนั้นจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และ/หรือให้กำลังใจ รวมทั้งตำรวจที่ปฏิบัติการอย่างนุ่มนวลสุภาพและพูดจากันรู้เรื่อง

สรุปได้ว่า ในเหตุการณ์วันที่ 6 และ 7 กันยายน 2554 นั้นในทัศนะของผม ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

แต่เรื่องอันเกิดแต่ข้อกล่าวหาว่ามีการยึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมินั้นยังไม่จบ และสมควรสะสางว่าใครกันแน่ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย สังคมจะได้เรียนรู้-จดจำและป้องกันไว้มิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างในอนาคต

การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเป็นหัวใจและรากเหง้าของภัยพิบัติต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเกิดโดยน้ำมือมนุษย์ โดยธรรมชาติ หรือโดยอุบัติเหตุ และถ้าหากปล่อยเลยตามเลยจะนำไปสู่กลียุคขู่เข็ญครั้งใหญ่ในแผ่นดิน

การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นคืออย่างไร ก็คือการละเลย หลีกเลี่ยง ขัดขืน ฝ่าฝืน หน่วงเหนี่ยว บิดเบี้ยว ทำลายและหักดิบ ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ-บทบัญญัติ ขบวนการ ครรลองและเจตนารมณ์ของกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น เป็นเหตุให้ความยุติธรรมที่กฎหมายจะต้องคุ้มครองต้องสูญหาย ตกหล่นหรือล่าช้าไป

การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้แก่ ขบวนการโกงกินอย่างต่อเนื่องโดยนักการเมือง ข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจระดับสูง ตั้งแต่เริ่มสร้างนับจากการถมดินมาสู่การก่อสร้างซื้อและติดตั้งอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ การให้สัมปทาน งานบริการ และบริหารพื้นที่ เช่น ร้านขายสินค้าปลอดภาษีและที่จอดรถ เป็นต้น ไม่มีพรรคใดบริสุทธิ์ผุดผ่องต่างรู้เห็นเป็นใจและร่วมกันบริโภคทั้งสิ้น และในที่สุดองค์กรอิสระปัญญาอ่อนที่ท่าดีทีเหลวก็จะปล่อยบรรดาคนระยำรอดพ้นเงื้อมมือของกฎหมายไปด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เรื่องนี้คนทั้งแผ่นดินพากันลืมจวนจะหมดสิ้นแล้ว

ที่เหลืออยู่และกระพือกันไม่หยุดก็คือ คดียึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิที่ผมตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ด้วย เรื่องนี้ถูกบิดเบือนโดยสื่อทั้งในและนอกประเทศ โดยวงวิชาการปัญญาอ่อน และโดยฝูงชนที่คลั่งไคล้บูชาทักษิณว่าเป็นการกระทำผิด แต่การเผาบ้านเผาเมืองของขบวนการสีแดงเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญอันถูกต้อง หรือถ้าผิดก็ผิดเหมือนๆ กัน

ความจริงก็คือ การชุมนุมของสีเหลืองเป็นการชุมนุมทางการเมืองที่หลบภัยจากปืน ระเบิด และอาวุธสังหารบริเวณทำเนียบฯ มาร้องทุกข์และขับไล่นายสมชายซึ่งจะเดินทางกลับมา คือ

(1) เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สงบเรียบร้อยไม่มีการใช้กำลังหรือทำลายทรัพย์สินใดๆ ต่างกับขบวนการฟอกขาวและทวงคืนอำนาจทักษิณที่ทำลายชีวิตทรัพย์สินและธุรกิจภาคเอกชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

(2) การปิดสนามบินเป็นคำสั่งของผู้อำนวยการการท่าอากาศยานฯ เพื่อป้ายผิดให้ผู้ชุมนุมที่มิได้เข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติการรับส่งผู้โดยสาร ลานบินหรือหอบังคับการแต่อย่างใด

(3) การปิดสนามบินไม่ว่าในยุโรปหรืออเมริกา ทั้งๆ ที่มิใช่การต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยหากเป็นการสไตร์กเพื่อต่อรองค่าแรงมีความยืดเยื้อรุนแรงเสียหายมากกว่ากลับมิถูกนำมาเปรียบเทียบให้เห็น ซ้ำสื่อและทีวีในความครอบงำของรัฐบาลพากันบิดเบือนราวกับว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก และมีความเสียหายที่ประมาณค่ามิได้ ในขณะที่เหตุการณ์ต่อมาที่ฝ่ายแดงลุกฮือขึ้นล้มการประชุมสุดยอดผู้นำเอเซียนที่พัทยากลับเงียบเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นสพ.ชั้นนำในต่างประเทศก็กระพือข่าวรับลูกจากสีแดงกันถ้วนทั่ว เมื่อผมแก้ข่าวไปที่ Boston Globe ความเข้าใจจึงดีขึ้น ต่างกับมาตรฐานมติชนสุดสัปดาห์ ลงข่าวกล่าวหาผมกับอาจารย์ป๋วยด้วยความเท็จ ทั้งจดหมายและโทรศัพท์ขอร้องก็ไม่ยอมแก้ข่าวให้ เรื่องยึดสนามบิน ประชาชนไทยต้องเสพยาพิษและอวิชชาจากสื่อทำนองเดียวกัน

ผู้ที่รับกรรมจากตำรวจและคำพิพากษาของสื่อ 114 ราย คดียึดสนามบินเจ็บปวดมากน้อยต่างกันตามฐานานุรูป แต่ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ตามปฏิญญาสิทธิมนุษยชนต่างกระทบกระเทือนด้วยกันทั้งสิ้น

ตอนเรียนหนังสืออยู่เมืองนอก เพื่อนๆนักเรียนทุนรัฐบาลเคยปรึกษากันว่าจะกลับเมืองไทยดีหรือไม่ดี ถ้ากลับเราต้องเผชิญหน้าเผด็จการถนอม-ประภาสแน่ๆ ปัจจัยหนึ่งที่พอทำให้เราคลายใจคือศาลสถิตยุติธรรม

บัดนี้ ผมจำต้องพูดว่าศาลของเราได้เปลี่ยนไปทั้งด้านมาตรฐาน และความเชื่อถือจากประชาชนเสื่อมลง จะฝากฝีฝากไข้อย่างเช่นสมัยก่อนไม่ได้ ผมมีตัวอย่างมากมายแต่ขอยกไว้ก่อน นอกจากจะพูดสั้นๆ เรื่องของตัวเอง ผมถูกฟ้องคดีปฏิญญาฟินแลนด์ 2 คดี แทนที่ศาลจะสั่งให้รวมกลับแยกกันพิจารณา คดีที่หนึ่งกล่าวหาโดยยกบทความและหนังสือของผมมาอ้าง อีกคดีหนึ่ง ยกบทความและหนังสือเดียวกันมาอ้างอีก แต่แถมด้วยการที่ผมไปร่วมอภิปรายเรื่องนี้กับดร.ชัยอนันต์ ดร.เจิมศักดิ์ และสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ธรรมศาสตร์เข้าไปอีกด้วย

คดีแรกศาลพิพากษาจำคุกแต่คดีหลังยกฟ้อง เพราะผู้พิพากษาท่านเห็นว่าเป็นการเขียนและพูดเชิงวิชาการเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง ทั้ง 2 คดีตัดสินเช้าบ่ายบนบัลลังก์เดียวกันวันเดียวกัน แต่ผู้ที่ตอกย้ำคำพิพากษาแรกของผมมาถึงทุกวันนี้คือคอลัมนิสต์ สื่อ และเว็บไซต์ของขบวนการสีแดง

ทีนี้กลับมาถึงคดีสนามบิน ผมถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด 5 กระทง ไม่มีฐานผู้ก่อการร้ายตามที่ผู้สื่อข่าวทีวีสัมภาษณ์ภริยาผมแต่อย่างใด ผมมิได้คิดหนีตำรวจหรือศาล หรือใช้อภิสิทธิ์อิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผมไม่สามารถไปรายงานตัวได้เพราะผมรู้และเข้าใจดีว่าตำรวจมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายประมวลวิอาญาในการออกหมายเรียก และในการนำหมายเรียกไปขอให้ศาลออกหมายจับผม ผมเป็นนักเรียนกฎหมาย และเป็นครูสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ และเป็นอดีตตุลาการรัฐธรรมนูญ ผมเห็นแก่ความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ และมักง่ายทำลายกฎหมายเสียเอง ทั้งๆ ที่รู้ไม่ได้

ผมเห็นว่าการที่ตำรวจออกหมายชุ่ยๆ ไม่สอดคล้องต่อหลักและข้อกำหนดที่ชัดแจ้งในบทบัญญัติกฎหมาย เป็นการลุแก่อำนาจไม่ควรส่งเสริมเพราะจะกลายเป็นทุกข์ของราษฎรต่อไปเรื่อยๆ และศาลเองก็ไม่ควรจะตามใจตำรวจขอให้ออกหมายจับอะไรก็ออก โดยไม่ตรวจสอบให้รอบคอบเสียก่อนว่าตำรวจได้ปฏิบัติตามประมวลวิอาญาครบถ้วนถูกต้องแล้วหรือไม่ ขอให้การออกหมายจับคุณสุนัย มโนมัยอุดม ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ และหมายจับผมเป็นบทเรียนที่ดีของศาลต่อไป อย่าให้เขาว่าศาลได้ว่าออกหมายจับและมีธงยกคำร้องในศาลชั้นต้นตลอดเพราะเข้ากับตำรวจและเห็นแก่เงินประกัน

หากประชาชนพึ่งศาลไม่ได้ และทนายต้องกุ๊กกิ๊กพึ่งตำรวจซึ่งเป็นด่านแรกของขบวนการยุติธรรมแล้ว ประชาชนผู้บริสุทธิ์ผู้ไม่รู้เรื่องกฎหมายไม่มีเส้นมีสาย หากตกอยู่ในเงื้อมมือทนายชั่วจะทำอย่างไร อำนาจอธิปไตยของประชาชนและพระปรมาภิไธยของในหลวงจะยังมีความหมายอะไร (ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น