xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

TRUTH TODAY “พี่ชาย” วาระแห่งชาติ ประชาชนจมน้ำ ช่างหัวมัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จนถึงขณะนี้เป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้วที่พี่น้องประชาชนคนไทยใน 44 จังหวัดทั่วประเทศต้องเผชิญกับปัญหาอุทกภัยอย่างหนักหนาสาหัสโดยไม่มีทีท่าว่า วิกฤตการณ์อันเลวร้ายครั้งนี้จะคลี่คลายลงไปเมื่อใด

ทุกๆ วัน ภาพของพี่น้องประชาชนที่อุ้มลูกจูงหลานพร้อมหอบหิ้วข้าวของหนีภัยน้ำท่วม ขณะที่บ้านช่องห้องหอของตัวเองต้องจมอยู่ใต้น้ำ หลายคนต้องมาทำเพิงพักชั่วคราวนอกพักค้างอ้างแรมอยู่ริมถนน กลายเป็นภาพที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า อุทกภัยในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วราว 87 คน ไม่นับรวมถึงพื้นที่ทางการเกษตรที่เสียหายไปแล้วนับล้านๆ ไร่

ทั้งนี้ หากใครได้ติดตามข่าวตามหน้าสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ ก็จะพบกับข่าวการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งนำมาซึ่งความเศร้าใจต่อผู้คนในประเทศเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์จากฤทธิ์น้ำป่าซัดดินโคลนถล่ม ที่หมู่บ้าน ต.น้ำไผ่ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ช่วงเวลากลางดึก พบศพพ่อแม่ลูก และยังมีผู้สูญหายอีก 9 คน หรือที่ จ.นครสวรรค์ จ.ส.อ.วสันต์ ธันนิธิ อายุ 58 ปี สังกัด ร.4 พัน 2 ค่ายจิรประวัติ ขณะที่กำลังขับเรือท้องแบนอ้อมเกาะอยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดน้ำวนดูดเรือจมลงไปต่อหน้าต่อตาผู้คนที่ไม่อาจช่วยอะไรได้

ยังไม่นับรวมการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินในพื้นที่อุทกภัยในจังหวัดอื่นๆ อีกมาก ซึ่งกล่าวได้ว่าอุทกภัยที่กระหน่ำซ้ำเติมประเทศไทยอยู่นี้ หนักหนาสาหัสยิ่งนัก และอาจจะหนักกว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่า ภาระหน้าที่ในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนย่อมหนีไม่พ้นรัฐบาล โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

แต่นับจากวันที่เกิดวิกฤตมาจนถึงวันนี้ ต้องบอกว่า “น่าผิดหวัง” ยิ่งนักกับการแก้ปัญหาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะความเดือดร้อนของประชาชนมิได้บรรเทาเบาบางลงแต่อย่างใด ไม่เหมือนงานที่ทำให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายที่มาจนถึงวันนี้ดูเหมือนว่า “งาน” ที่วางเอาไว้หลายอย่างผลิดอกออกผลให้คนดูไบได้ยลจนแก้มปริ ไม่ว่าจะเป็นการกุลีกุจอเรื่องการขออภัยโทษ หรือการแต่งตั้งพรรคเพื่อนฝูงของตัวเองให้ได้ดิบได้ดีไปตามๆ กัน ขณะที่คนไทยหลายพื้นที่กำลังจมอยู่ในห้วงทุกข์ อดอยากหิวโหย เจ็บป่วย สิ้นหวัง และสิ้นเนื้อประดาตัว

**อนาถใจ ยิ่งลักษณ์แก้ปัญหาหรือแก้บน

ย้อนกลับไปเริ่มแรกเดิมที ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ผุดสโลแกนการทำงานที่สวยหรู "บางระกำโมเดล"ไม่ว่าจะเป็น "2 พี 2 อาร์" ที่นำประสบการณ์การจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใน อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก มาใช้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งสร้างความชอกช้ำ “ระกำ” ใจให้ประชาชนมากขึ้นไปอีก ขณะเดียวกัน ประชาชนเขาก็สงสัยกันเหลือเกินว่า ไอ้ "บางระกำโมเดล" ที่ว่านั้นมันมีหน้าตาเป็นอย่างไร จะจินตนาการเอาเองก็ใช่ที่ หรือว่าที่อ.บางระกำ ในจังหวัดพิษณุโลก เขามีแผนป้องกัน หรือการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมที่ทรงประสิทธิภาพอย่างไร
แต่อย่างที่บอก “บางระกำโมเดล” มันโดนน้ำท่วมระลอกที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้!

รู้แต่ว่านับตั้งแต่วันที่ประกาศวาทกรรม “บางระกำโมเดล” อันสวยหรู มาจนถึงวันนี้ ทุกอย่างยังจมอยู่ใต้น้ำ!

จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ ก็ยังคงไม่ปรากฏข้อมูลให้เห็นเลยว่า บางระกำโมเดลนี้มีพิมพ์เขียวป้องกันหรือแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างไร เรียกว่านับจากวันที่ประกาศวาทกรรมบางระกำโมเดลอันสวยหรูจนถึงวันนี้ก็มิได้มีอะไรคืบหน้าเป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อย

และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ในขณะที่ประชาชนในพื้นที่อย่างอำเภอบางระกำ วิพากษ์วิจารณ์กันขรมในโมเดลไร้รูปร่างอย่าง “บางระกำโมเดล” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้กล่าวอย่างหน้าชื่นตาบานในการประชุม ครม.ว่า

“การแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลถือว่า ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศยังมีปัญหาโดยเฉพาะจุดรับน้ำที่มีแม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกันแก้ไขได้ยากจึงมีปัญหา และปีนี้ปริมาณน้ำฝนมีมาก”

เท่านั้นแหละ สำหรับวิสัยทัศน์ของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ ที่ได้แสดงภาวะผู้นำกับปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ประชาชนจนเรียกได้ว่าเป็น “ทุกข์หนัก” ที่พวกเขารอความจริงใจในการให้ความช่วยเหลือจากรัฐบาล

มิหนำซ้ำ บรรดารัฐมนตรี ก็ยังได้แค่แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า ความจริงการแก้ปัญหาในเบื้องต้น การเข้าช่วยเหลือประชาชนรัฐบาลถือว่าทำได้ในระดับที่พอใจทำได้ดีแล้ว แต่ก็ยังห่วงเรื่องผลกระทบทางจิตใจมากกว่าตอนนี้ควรจะเน้นการใช้โอกาสในช่วงน้ำทะเลลดลงหากทางดันน้ำให้ไหลลงสู่ทะเลโดยเร็วที่สุด

ขณะเดียวกันการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ ก็ได้สะท้อนถึงตัวตนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้เห็นชัดขึ้นว่า เธอก็ไม่ได้ต่างจาก “โคลนนิ่ง” ที่เป็นเพียงแค่นายกรัฐมนตรี นิ่งๆ ที่มิได้เป็นผู้นำให้กับบรรดารัฐมนตรีตามกระทรวงต่างๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาแนวทางการแก้ปัญหาอุทกภัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องเป็นประธานหัวโต๊ะการประชุม ครม. รอฟังความเห็นการแก้ปัญหาของบรรดารัฐมนตรีรายกระทรวง ต้องไม่ลืมว่า การทำงานที่ดี "หัวหน้า" อย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องรู้งานในหลักการทั้งระบบ เข้าใจอุปสรรคการทำงานของลูกน้อง และต้องพร้อมสนับสนุนทุกด้าน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติทำงานอย่างคล่องตัวที่สุด แต่สุดท้ายแล้ว ดีที่สุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็คือการสั่งรัฐมนตรีรายกระทรวงลงไปดูพื้นที่เท่านั้น

ตอนนี้คนที่ประสบภัยอยากเห็นก็คือคำสั่งแก้ปัญหา และการตัดสินใจเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน มากกว่าการตัดสินใจตามสถานการณ์ หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ อย่าไปคิดว่า มีปลัดกระทรวง มีหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ งานจะออกมาดี

ที่เจ็บปวดก็คือชาวบ้านในจังหวัดพิจิตร ได้ร้องเรียนถึงการแก้ปัญหาล่าช้า ถึงขนาดมีกระแสข่าวว่า ชาวบ้านร้องทุกข์ว่ายังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เนื่องจากนายรังสรรค์ ตันเจริญ นายอำเภอเมืองพิจิตร ได้ลาพักผ่อนบินไปเที่ยวเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย กับนายกเหล่ากาชาด จ.พิจิตร และหัวหน้าส่วนราชการทั้งคณะ 30 คน

ทั้งนี้ โปรดอย่าได้ถามว่า การให้บรรดารัฐมนตรีลงไปออกแอ็กชั่น รายวันจะช่วยอะไรได้มากมาย มากกว่าการแก้ปัญหาระยะยาว

** ไม่แก้ไข แต่แก้แค้น ดีแต่เล่นการเมืองเกทับ ปชป.

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ชาวบ้านกำลังรอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับหันไปเปิดศึก “สงครามน้ำลาย” กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยการเกทับบลัฟมาตรการในเรื่องเงินช่วยเหลือเยียวยาน้ำท่วมในคราวก่อน

โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นจากเดิมที่ประชาธิปัตย์เคยชดเชยพื้นที่การเกษตรที่เสียหายไร่ละ 2,000 บาท เพื่อไทยได้เสนอเพิ่มเป็น 2,222 บาทต่อไร่ ขณะที่เงินช่วยเหลือเยียวยาบ้านเรือนที่น้ำท่วมครัวเรือนละ 5,000 บาท รัฐบาลนี้เตรียมขยับขึ้นมาเป็น 5,555 บาท แต่มติ ครม.ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ทำได้ดีที่สุดแค่เพียง “ดีแต่โม้” เพราะสุดท้ายก็กลับไปเคาะสุดท้ายที่ 5,000 บาท ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านที่ยังรองบประมาณน้ำท่วมจากภาครัฐก็คงได้แต่ละเหี่ยใจ

ซ้ำร้ายความล่าช้าดังกล่าว บรรดาลิ่วล้อเพื่อไทย ก็ได้พยายามโยนให้เป็นความผิดของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งถลุงงบกลางไปจนหมด ไม่เหลือให้นำมาใช้บรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบภัย

ไม่ว่าจะเป็นนางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงปัญหาน้ำท่วมเป็นอย่างมาก และสั่งการให้ รัฐมนตรีแต่ละคน รับผิดชอบพื้นที่ในแต่ละจุด อนุมัติเงินช่วยเหลือ จ.ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา อุตรดิตถ์ และนครศรีธรรมราช รวมถึง มีการหารือในการป้องกันระยะยาวเป็นส่วนใหญ่ เพราะรัฐบาลชุดก่อนไม่ได้วางแผนในการแก้ปัญหาระยะยาว บูรณาการแก้ปัญหาแบบถาวร

แต่ก็ถูกตีโต้กลับด้วยข้อมูลที่ทางฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโต้ว่างบกลาง ยังเหลืออีกกว่า 3,000 ล้านบาท ที่สามารถนำไปใช้เยียวยาความเดือดร้อนได้ในช่วงปีงบประมาณที่เหลืออีกแค่ไม่ถึงเดือน

ถามว่ารัฐบาล พรรคเพื่อไทย เคยกระเดียดเฉียดคำพูด ถึงวาระการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ถึงขนาดว่าจะบรรจุเป็นวาระแห่งชาติตอนจะเข้ามาเป็นรัฐบาลหรือไม่ แน่นอนประชาชนย่อมไม่ถนัดหูมากไปกว่า วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระการช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตรให้กลับประเทศไทยอีกครั้ง แถมด้วยการดีดลูกคิดรางน้ำเสียเสร็จสรรพว่า การประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อใครบางคนจะใช้งบประมาณเท่าใด

เพราะหากรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ สนอกสนใจปัญหาของประเทศมากกว่าสาละวนอยู่กับปัญหาของคนในครอบครัวก็จะพบว่า ปัญหาน้ำท่วมถือเป็น ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นอยู่ปกติเป็นประจำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งปริมาณของมวลน้ำที่มากเกินกว่าปกติ รวมถึงความเสียหายจากอุทกภัยที่ขยายวงกว้างขึ้น ดังนัน้ รัฐบาลควรต้องคิดเพื่ออนาคตได้แล้วว่าจะทำอย่างไรกันต่อ ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวบ้านเผชิญชะตากรรมกันเอง แล้วทำได้แค่คอยซับน้ำตาเท่านั้น เพราะสุดท้ายก็ได้เพียงแค่จัดงาน “รวมพลังไทย ช่วยภัยน้ำท่วม” เปิดรับบริจาคให้ความช่วยเหลือถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ช่อง9และ11 โดยให้ “ยิ่งลักษณ์” เป็นประธาน รอรับการบริจาค ซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แต่อย่างใด

แต่ที่น่าเศร้าใจก็คือ การจัดการรวมพลังไทย ช่วยภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นนั้น มิได้เกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีและดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง เนื่องเพราะกว่าที่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะลุกขึ้นมาจัดงาน เวลาก็ล่วงเลยไปไม่น้อยกว่า 4 เดือนนับจากวันแรกที่อุทกภัยแรกถาโถมเข้าใส่ประชาชนคนไทย

ด้วยเหตุดังกล่าว สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อการแก้ปัญหาน้ำท่วมนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมาแต่อย่างใด ถ้ารัฐบาลอภิสิทธิ์ “ดีแต่พูด” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ “ดีแต่โม้” เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว

**เสื้อแดงช้ำใจ นายกฯปูดูแต่ปัญหา “พี่ชาย”

อย่างไรก็ตาม จะว่าไปแล้วปัญหาอุทกภัยครั้งนี้ ยังได้สะท้อนถึงความเป็นจริงอันน่าเจ็บปวดสำหรับ “คนเสื้อแดง” เพราะหลายพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติล้วนเป็น "พื้นที่คนเสื้อแดง" ไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี ยโสธร พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ

เรียกว่าครอบคลุมไปทั่วทุกภาคของประชาชนเสื้อแดงที่เทใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย เข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาให้ ซึ่งหลักฐานก็คงเห็นชัดกันอยู่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ห่วงใยมวลชนคนเสื้อแดงที่จงรักภักดีต่อ “ตระกูลชิน” ของเธอมากเพียงใด เพราะจนถึงขณะนี้ ทุกข์ของประชาชน แม้จะเป็นคนเสื้อแดง ก็ยังไม่ได้รับความคลี่คลาย

อาจกล่าวได้ว่า ปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในทุกภาคส่วนทั่วประเทศ มิได้กระเดียดเฉียดใกล้หรือทำให้เป็น “รูปธรรม” ได้เลยแม้แต่น้อยหากนำมาเปรียบกับ “โมเดล” การช่วยเหลือทักษิณ และเหล่ากอเครือญาติตระกูลชินวัตร

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออีกว่า ไฮไลต์เด็ดคือวาระงานประจำในช่วง 1-2 สัปดาห์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ล้วนแล้วแต่เป็นคิวการเดินทางพบปะผู้นำประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอินโดนีเซีย ประเทศบรูไน ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วทั้งสองประเทศกก็ล้วนแล้วแต่เป็นมหามิตรของ นช.ทักษิณทั้งสิ้น โดยเฉพาะบรูไนที่ นช.ทักษิณใช้เป็นฐานกำลังในการเคลื่อนไหวทางการเหมือนและพบปะแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงอยู่เสมอๆ

หรือจะเป็นประเทศกัมพูชา ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปพบกับนาย ฮุนเซน นายกฯกัมพูชา ก่อนที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายจะเดินทางเยือนกัมพูชาเพียงแค่ 1 วัน ซึ่งก็เป็นที่รับรู้กันว่า การเดินทางไปเยือนกัมพูชาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้เป็นวาระเพื่อพี่ชายเป็นการเฉพาะ

ขณะที่ประชาชนชาวไทยนับไม่ถ้วนยังคงต้องนอนขวัญผวากับปัญหาอุทกภัยที่ภาโถมเข้าใส่ อีกทั้งไม่รู้ชะตากรรมว่าหลังจากน้ำลดแล้วชีวิตพวกเขาจะเป็นอย่างไร เพราะทั้งบ้านเรือนและไร่นานั้นถูกน้ำถล่มจมหายไปหมดแล้ว

นี่ไม่นับรวมถึงปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน ค่าครองชีพ ราคาสินค้าแพงที่จ่ออยู่เป็นปัญหาเร่งด่วนให้รัฐบาลนี้ต้องพิสูจน์ฝีมือ

สุดท้าย อาจกล่าวได้ว่า จากปัญหาอุทกภัยที่ประเทศไทยประสบอยู่ ณ ขณะนี้ ทำให้สังคมได้รับรู้และรับทราบถึงความ “บ้อท่า” และ “ไร้น้ำยา” ในการจัดการแก้ไขปัญหาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้นอีกว่า "รัฐบาลเพื่อพี่ชาย" ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะพฤติกรรมล้วนๆ !!



กำลังโหลดความคิดเห็น