ASTVผู้จัดการรายวัน - การบินไทยยอมล้มแผนตั้ง ”ไทยไทเกอร์ฯ” แล้ว โดยยกเลิกต่ออายุเอ็มโอยูร่วมกับไทเกอร์แอร์ฯ ของสิงคโปร์ หลังครบกำหนด ต.ค.นี้ ใช้ “ไทย สไมล์“ ลงแข่งตลาดโลว์คอสต์เต็มที่ ชี้ข้อดี เป็นของการบินไทย100% คุมค่าใช้จ่ายได้ ส่วนบอร์ดทยอยแจ้งลาออก
นายอำพน กิตติอำพน ประธานคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมบริษัทฯ วานนี้(16 ก.ย.) ว่า หลังจากบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (เอ็มโอยู) ในการจัดตั้งสายการบิน ไทยไทเกอร์ แอร์เวย์ส ระหว่างบริษัทกับสายการบินไทเกอร์ แอร์เวย์ส จากประเทศสิงคโปร์ ครบกำหนดในเดือนต.ค. 54 นี้ จะไม่มีการต่อการลงนามในเอ็มโอยูอีกแล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทได้มีการจัดตั้ง สายการบินไทย สไมล์ (THAI Smaile) และบริหารโดยหน่วยธุรกิจของการบินไทยเอง ซึ่งสามารถแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสแอร์ไลน์) ได้ และไทย สไมล์ เป็นของการบินไทย 100% รายได้ทั้งหมดจะเข้าบริษัทโดยตรง จะส่งผลดีมากกว่า
“ที่ผ่านมาได้หารือ กับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว โดยเห็นว่าควรใช้กลยุทธการแข่งขันแบบสายการบินต้นทุนประหยัดซึ่งเมื่อตั้งไทย สไมล์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีไทย ไทเกอร์ฯ ดังนั้นก็ไม่ต้องต่อการลงนามในเอ็มโอยูอีก โดยจะใช้ไทย สไมล์ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการแข่งขันในอนาคต ซึ่งมีโอกาสสูง กำหนดรูปแบบบริการแบบไทย คุมค่าใช้จ่ายและงบประมาณได้”นายอำพนกล่าว
***บอร์ดทยอยแจ้งลาออก
นายอำพน กล่าวว่า ได้รับทราบว่า มีกรรมการบริษัทฯ แจ้งลาออกขณะนี้ 3 คนคือ นายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ อดีตอธิบดีกรมขนส่งทางอากาศ และนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ส่วนรายละเอียดการลาออกยังไม่ชัดเจน เพราะยังไม่เห็นใบลาออก แต่เบื้องต้นเท่าที่หารือกับนายสถิตย์ ทราบว่าต้องการพักผ่อน โดยเพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาดำเนินการแทน
ส่วนผลการดำเนินงานตั้งแต่เดือนม.ค.-ส.ค. 54 มีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.2%โดย มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร(Cabin Factor) เฉลี่ย 72.5% ส่วนการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ มีปริมาณสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.1% โดยมีอัตราส่วนการบรรทุกสินค้า (Freight Load Factor) เฉลี่ย 56.6% ต่ำว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.6%
โดยในไตรมาส 4 ของปีนี้จะพยายามดำเนินการให้มีกำไร แต่ยอมรับว่าจะไม่เท่ากับปีที่ผ่านมา โดยมั่นใจว่าช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ Cabin Factor จะอยู่ที่ประมาณ 75% โดยจะใช้กลยุทธ์เปิดบินเพิ่มในเส้นทางที่มีเที่ยวน้อยอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรง โดยยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับผู้โดยสารชั้นประหยัดเป็นหลัก เนื่องจากเป็นผู้โดยสารที่สร้างรายได้หลักให้กับการบินไทย.
นายอำพน กิตติอำพน ประธานคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมบริษัทฯ วานนี้(16 ก.ย.) ว่า หลังจากบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (เอ็มโอยู) ในการจัดตั้งสายการบิน ไทยไทเกอร์ แอร์เวย์ส ระหว่างบริษัทกับสายการบินไทเกอร์ แอร์เวย์ส จากประเทศสิงคโปร์ ครบกำหนดในเดือนต.ค. 54 นี้ จะไม่มีการต่อการลงนามในเอ็มโอยูอีกแล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทได้มีการจัดตั้ง สายการบินไทย สไมล์ (THAI Smaile) และบริหารโดยหน่วยธุรกิจของการบินไทยเอง ซึ่งสามารถแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสแอร์ไลน์) ได้ และไทย สไมล์ เป็นของการบินไทย 100% รายได้ทั้งหมดจะเข้าบริษัทโดยตรง จะส่งผลดีมากกว่า
“ที่ผ่านมาได้หารือ กับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว โดยเห็นว่าควรใช้กลยุทธการแข่งขันแบบสายการบินต้นทุนประหยัดซึ่งเมื่อตั้งไทย สไมล์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีไทย ไทเกอร์ฯ ดังนั้นก็ไม่ต้องต่อการลงนามในเอ็มโอยูอีก โดยจะใช้ไทย สไมล์ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการแข่งขันในอนาคต ซึ่งมีโอกาสสูง กำหนดรูปแบบบริการแบบไทย คุมค่าใช้จ่ายและงบประมาณได้”นายอำพนกล่าว
***บอร์ดทยอยแจ้งลาออก
นายอำพน กล่าวว่า ได้รับทราบว่า มีกรรมการบริษัทฯ แจ้งลาออกขณะนี้ 3 คนคือ นายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ อดีตอธิบดีกรมขนส่งทางอากาศ และนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ส่วนรายละเอียดการลาออกยังไม่ชัดเจน เพราะยังไม่เห็นใบลาออก แต่เบื้องต้นเท่าที่หารือกับนายสถิตย์ ทราบว่าต้องการพักผ่อน โดยเพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาดำเนินการแทน
ส่วนผลการดำเนินงานตั้งแต่เดือนม.ค.-ส.ค. 54 มีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.2%โดย มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร(Cabin Factor) เฉลี่ย 72.5% ส่วนการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ มีปริมาณสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.1% โดยมีอัตราส่วนการบรรทุกสินค้า (Freight Load Factor) เฉลี่ย 56.6% ต่ำว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.6%
โดยในไตรมาส 4 ของปีนี้จะพยายามดำเนินการให้มีกำไร แต่ยอมรับว่าจะไม่เท่ากับปีที่ผ่านมา โดยมั่นใจว่าช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ Cabin Factor จะอยู่ที่ประมาณ 75% โดยจะใช้กลยุทธ์เปิดบินเพิ่มในเส้นทางที่มีเที่ยวน้อยอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรง โดยยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับผู้โดยสารชั้นประหยัดเป็นหลัก เนื่องจากเป็นผู้โดยสารที่สร้างรายได้หลักให้กับการบินไทย.
