ASTVผู้จัดการรายวัน - ทริสประเมินไทยเบฟฯ ซื้อเสริมสุขไม่กระทบอันดับเครดิต เหตุฐานะแข็งแกร่ง-สภาพคล่องพอรองรับหนี้ แม้จะต้องใช้เงินกู้บางส่วนแต่ยังอยู่ในระดับที่รับได้ และยังรับผลดีจากระบบโลจิสติกส์ในอนาคต
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า จากการที่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ประกาศซื้อกิจการของ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) จะยังไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ได้
ทั้งนี้ บริษัทไทยเบฟเวอเรจได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2554 ระบุว่า บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทไทยเบฟเวอเรจได้ทำการตกลงซื้อหุ้นของบริษัทเสริมสุขจำนวน 110.461 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 41.55% ของหุ้นของบริษัทเสริมสุขจาก บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด และ Seven-Up Nederland, B.V. (กลุ่มเป๊ปซี่) ในราคาหุ้นละ 58 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 6,406.8 ล้านบาท
โดยการซื้อหุ้นบริษัทเสริมสุขจากกลุ่มเป๊ปซี่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติกจะทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไปเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดที่เหลืออยู่ระหว่างวันที่ 15 กันยายนถึง 19 ตุลาคม 2554 หากการเสนอซื้อหุ้นประสบความสำเร็จ บริษัทก็จะต้องใช้งบลงทุนซื้อกิจการประมาณ 15,422 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้เงินจากการกู้ยืมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบริษัทมีแหล่งเงินกู้ที่เพียงพอสำหรับการซื้อกิจการในครั้งนี้
และหลังการควบรวมกิจการ บริษัทไทยเบฟเวอเรจจะมีอำนาจควบคุมในบริษัทเสริมสุขเนื่องจากบริษัทถือครองหุ้นในสัดส่วน 41.55% จากกลุ่มเป๊ปซี่ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บริษัท เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งถือครองหุ้นบริษัทเสริมสุขในสัดส่วน 32.62% ด้วย ในส่วนของสัญญาที่บริษัทเสริมสุขมีกับกลุ่มเป๊ปซี่ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน 2555 นั้นยังไม่มีความแน่นอนในเรื่องการต่อสัญญา อย่างไรก็ตาม ระบบการกระจายสินค้าของบริษัทซึ่งรวมกับเครือข่ายของบริษัทเสริมสุขจะกลายเป็นเครือข่ายการกระจายสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ขณะที่บริษัทไทยเบฟเวอเรจมีแนวโน้มที่ดีในการขยายการเติบโตในกลุ่มสินค้าของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การลงทุนโดยใช้เงินกู้ในครั้งนี้จะมีผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทไทยเบฟเวอเรจอ่อนตัวลงบ้าง โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ที่ระหว่าง 25%-30% เมื่อเทียบกับระดับปัจจุบัน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ที่ 17%
อนึ่ง บริษัทเสริมสุขดำเนินธุรกิจการผลิตและกระจายสินค้าเครื่องดื่มเป๊ปซี่ภายใต้สัญญาระยะยาวกับกลุ่มเป๊ปซี่ นอกจากนี้ บริษัทเสริมสุขยังเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมอื่น ๆ ตลอดจนชาเย็นพร้อมดื่มและน้ำผลไม้ รวมทั้งยังเป็นผู้กระจายสินค้าเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิและเครื่องดื่มให้พลังงานอื่น ๆ ด้วย โดยบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 21,977 ล้านบาทในปี 2553 และ 11,578 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554
ปัจจุบันบริษัทไทยเบฟเวอเรจได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้งที่ระดับ "AA" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่"
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า จากการที่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ประกาศซื้อกิจการของ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) จะยังไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ได้
ทั้งนี้ บริษัทไทยเบฟเวอเรจได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2554 ระบุว่า บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทไทยเบฟเวอเรจได้ทำการตกลงซื้อหุ้นของบริษัทเสริมสุขจำนวน 110.461 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 41.55% ของหุ้นของบริษัทเสริมสุขจาก บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด และ Seven-Up Nederland, B.V. (กลุ่มเป๊ปซี่) ในราคาหุ้นละ 58 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 6,406.8 ล้านบาท
โดยการซื้อหุ้นบริษัทเสริมสุขจากกลุ่มเป๊ปซี่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติกจะทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไปเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดที่เหลืออยู่ระหว่างวันที่ 15 กันยายนถึง 19 ตุลาคม 2554 หากการเสนอซื้อหุ้นประสบความสำเร็จ บริษัทก็จะต้องใช้งบลงทุนซื้อกิจการประมาณ 15,422 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้เงินจากการกู้ยืมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบริษัทมีแหล่งเงินกู้ที่เพียงพอสำหรับการซื้อกิจการในครั้งนี้
และหลังการควบรวมกิจการ บริษัทไทยเบฟเวอเรจจะมีอำนาจควบคุมในบริษัทเสริมสุขเนื่องจากบริษัทถือครองหุ้นในสัดส่วน 41.55% จากกลุ่มเป๊ปซี่ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บริษัท เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งถือครองหุ้นบริษัทเสริมสุขในสัดส่วน 32.62% ด้วย ในส่วนของสัญญาที่บริษัทเสริมสุขมีกับกลุ่มเป๊ปซี่ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน 2555 นั้นยังไม่มีความแน่นอนในเรื่องการต่อสัญญา อย่างไรก็ตาม ระบบการกระจายสินค้าของบริษัทซึ่งรวมกับเครือข่ายของบริษัทเสริมสุขจะกลายเป็นเครือข่ายการกระจายสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ขณะที่บริษัทไทยเบฟเวอเรจมีแนวโน้มที่ดีในการขยายการเติบโตในกลุ่มสินค้าของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การลงทุนโดยใช้เงินกู้ในครั้งนี้จะมีผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทไทยเบฟเวอเรจอ่อนตัวลงบ้าง โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ที่ระหว่าง 25%-30% เมื่อเทียบกับระดับปัจจุบัน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ที่ 17%
อนึ่ง บริษัทเสริมสุขดำเนินธุรกิจการผลิตและกระจายสินค้าเครื่องดื่มเป๊ปซี่ภายใต้สัญญาระยะยาวกับกลุ่มเป๊ปซี่ นอกจากนี้ บริษัทเสริมสุขยังเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมอื่น ๆ ตลอดจนชาเย็นพร้อมดื่มและน้ำผลไม้ รวมทั้งยังเป็นผู้กระจายสินค้าเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิและเครื่องดื่มให้พลังงานอื่น ๆ ด้วย โดยบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 21,977 ล้านบาทในปี 2553 และ 11,578 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554
ปัจจุบันบริษัทไทยเบฟเวอเรจได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้งที่ระดับ "AA" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่"