คปภ.ติงสรรพากร เก็บภาษีควบกิจการบ.ประกัน หวั่นบริษัทขนาดเล็กต้องปิดกิจการ หลังเกณฑ์ใหม่และการเปิดเสรีการเงินมีผล ระบุต้นทุนสูงไม่เอื้อประโยชน์เหมือนแบงก์พาณิชย์
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เปิดเผยว่า โอกาสที่ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตขนาดเล็กต่างๆจะเกิดการควบรวมกันในอนาคตคงจะเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน เนื่องจากหากกรมสรรพากรยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องของการยกเว้นการเสียภาษีการควบรวมกิจการของธุรกิจประกันฯ เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีดังกล่าวแล้วจะทำให้การควบรวมกิจการมีต้นทุนด้านภาษีสูงมาก
อย่างไรก็ตาม คปภ.ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด และไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างไร และล่าสุด คปภ.ได้เข้าพบกับทางกรมสรรพากรเพื่อหารือเรื่องนี้ ในการรับทราบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ คปภ.ได้เสนอแนวทางเรื่องการยกเว้นภาษีการควบรวมกิจการของธุรกิจประกันฯควบคู่ไปกับแผนพัฒนาตลาดทุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ต.ล.ท. เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คปภ.ยืนยันว่าจะตามเรื่องดังกล่าวกับทางกรมสรรพากรอย่างต่อเนื่อง พื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นกว่านี้
“ถามว่าเมื่อไหร่จะได้คำตอบจากกรมสรรพากรในเรื่ององการยกเว้นภาษีของธุรกิประกันฯ ยอมรับว่ายากมากที่จะระบุวันเวลาที่ชัดเจน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่เสนอแผนพัฒนาตลาดทุนว่ามีการกระตุนเรื่องนี้กับทางกรมสรรพากรมากน้อยแค่ไหน ในส่วน คปภ.ก็ได้มีการเขาพบกับกรมสรรพากรอย่างต่อเนื่องในลักษณะการหารือเป็นหลัก เพื่อขอความคืบหน้า ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะตอบว่าเมื่อไหร่จะได้ข้อสรุป” แหล่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า ปัญหาดังกล่าวน่าจะถือเป็นความเสี่ยงของบริษัทประกันฯที่ไม่ได้ตามเกณฑ์คปภ. แต่ไม่อาจควบรวมกิจการหรือเพิ่มทุนได้เนื่องจากต้นทุนด้านภาษีที่สูงอาจจะเสี่ยงต่อการถูกสั่งปิดกิจการได้
แม้ว่า แนวโน้มการควบรวมกิจการของธุรกิจประกันฯจะมีความชัดเจนมากขึ้นก็ตาม แต่ด้วยข้อปัญหาในเรื่องภาษีนี้ ธุรกิจประกันฯที่มีแผนที่จะควบรวมกิจการจึงจำเป็นต้องเลื่อนแผนดังกล่าวออกไปก่อน และหันมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจตนเองมากขึ้น
ทั้งนี้ ธุรกิจประกันฯที่มีขนาดเล็กหรือมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอกับกฎเกณฑ์ต่างๆที่ทาง คปภ.นำมาใช้ โดยเฉพาะมาตรการการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital:RBC) ประกอบกับการเปิดเสรีในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นแรงกดดันธุรกิจประกันฯของไทยค่อนข้างมาก ดังนั้น ธุรกิจที่ไม่แข็งแกร่งพอคงหนี้ไม่พ้นต้องเกิดการวบรวมธุรกิจแน่นอน
“เราคงหนี้ไม่พ้นเรื่องการควบรวมกิจการของบริษัทประกันฯที่ไม่แข็งแรงในอนาคตแน่นอน แม้ว่าจะติดปัญหาบางอย่างก็ตาม ซึ่งปัญหาหลักคือเรื่องของภาษีที่ไม่ได้รับการยกเหมือนแบงก์พาณิชย์ หากเกิดการควบรวมขึ้นธุรกิจเหล่านี้จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ไม่รีบร้อนในการควบรวมมากนัก” แห่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เปิดเผยว่า โอกาสที่ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตขนาดเล็กต่างๆจะเกิดการควบรวมกันในอนาคตคงจะเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน เนื่องจากหากกรมสรรพากรยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องของการยกเว้นการเสียภาษีการควบรวมกิจการของธุรกิจประกันฯ เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีดังกล่าวแล้วจะทำให้การควบรวมกิจการมีต้นทุนด้านภาษีสูงมาก
อย่างไรก็ตาม คปภ.ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด และไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างไร และล่าสุด คปภ.ได้เข้าพบกับทางกรมสรรพากรเพื่อหารือเรื่องนี้ ในการรับทราบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ คปภ.ได้เสนอแนวทางเรื่องการยกเว้นภาษีการควบรวมกิจการของธุรกิจประกันฯควบคู่ไปกับแผนพัฒนาตลาดทุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ต.ล.ท. เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คปภ.ยืนยันว่าจะตามเรื่องดังกล่าวกับทางกรมสรรพากรอย่างต่อเนื่อง พื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นกว่านี้
“ถามว่าเมื่อไหร่จะได้คำตอบจากกรมสรรพากรในเรื่ององการยกเว้นภาษีของธุรกิประกันฯ ยอมรับว่ายากมากที่จะระบุวันเวลาที่ชัดเจน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่เสนอแผนพัฒนาตลาดทุนว่ามีการกระตุนเรื่องนี้กับทางกรมสรรพากรมากน้อยแค่ไหน ในส่วน คปภ.ก็ได้มีการเขาพบกับกรมสรรพากรอย่างต่อเนื่องในลักษณะการหารือเป็นหลัก เพื่อขอความคืบหน้า ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะตอบว่าเมื่อไหร่จะได้ข้อสรุป” แหล่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า ปัญหาดังกล่าวน่าจะถือเป็นความเสี่ยงของบริษัทประกันฯที่ไม่ได้ตามเกณฑ์คปภ. แต่ไม่อาจควบรวมกิจการหรือเพิ่มทุนได้เนื่องจากต้นทุนด้านภาษีที่สูงอาจจะเสี่ยงต่อการถูกสั่งปิดกิจการได้
แม้ว่า แนวโน้มการควบรวมกิจการของธุรกิจประกันฯจะมีความชัดเจนมากขึ้นก็ตาม แต่ด้วยข้อปัญหาในเรื่องภาษีนี้ ธุรกิจประกันฯที่มีแผนที่จะควบรวมกิจการจึงจำเป็นต้องเลื่อนแผนดังกล่าวออกไปก่อน และหันมาสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจตนเองมากขึ้น
ทั้งนี้ ธุรกิจประกันฯที่มีขนาดเล็กหรือมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอกับกฎเกณฑ์ต่างๆที่ทาง คปภ.นำมาใช้ โดยเฉพาะมาตรการการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital:RBC) ประกอบกับการเปิดเสรีในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นแรงกดดันธุรกิจประกันฯของไทยค่อนข้างมาก ดังนั้น ธุรกิจที่ไม่แข็งแกร่งพอคงหนี้ไม่พ้นต้องเกิดการวบรวมธุรกิจแน่นอน
“เราคงหนี้ไม่พ้นเรื่องการควบรวมกิจการของบริษัทประกันฯที่ไม่แข็งแรงในอนาคตแน่นอน แม้ว่าจะติดปัญหาบางอย่างก็ตาม ซึ่งปัญหาหลักคือเรื่องของภาษีที่ไม่ได้รับการยกเหมือนแบงก์พาณิชย์ หากเกิดการควบรวมขึ้นธุรกิจเหล่านี้จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ไม่รีบร้อนในการควบรวมมากนัก” แห่งข่าว กล่าว
