นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ของบริษัทในปีนี้อาจะจะต่ำกว่าเป้าหมายทีตั้งไว้ว่าจะอยู่ที่ 13% เนื่องจาก ภาวะตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนทำให้มีนักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุน จึงทำให้สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยมีการปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศเข้ามามีบทบาทในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกมาร์เกตแชร์ของบริษัทอยู่ที่ 11.52%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะไม่ต่ำกว่าช่วงครึ่งปีแรก เพราะ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 3-3.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน ทำให้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ของบริษัทอยู่ที่ 3.11 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 800 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรก 54 บริษัทมีรายได้รวม 1.53 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 375 ล้านบาท
สำหรับงานได้วาณิชธนกิจของบริษัทขณะนี้มี 13-20 ดีล แบ่งเป็น การควบรวมกิจการ(M&A)3-4 ดีล กองทุนอสังหาริมทรัพย์(พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์) 2-3 ดีล และการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)4-5 ดีล การเสนอขายหุ้นให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) 1-2 ดีล การออกตราสารหนี้ 1-2 ดีล งานที่ปรึกษาอื่นๆ 2-4 ดีล โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะสรุปงาน IB จำนวน 4-5 ดีล
นายมนตรีกล่าวว่าส่วนตัวมองว่า ควรให้ชะลอการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น)ที่จะมีการเริ่มเปิดเสรีในปีหน้า จากที่ปีนี้มีการเปิดเสรีแบบขั้นบันได เพราะหลังจากที่ได้ศึกษาในต่างประเทศ ซึ่งมีการเปิดเสรีค้าหลักทรัพย์ไปก่อนหน้านี้ไม่ได้สร้างประโยชน์ ประกอบกับการเปิดเสรีดังกล่าว เพราะจะต้องมีการลดกฏเกณฑ์กำกับดูแลลง ส่งผลให้ต่างชาติจะเข้ามาทำธุรกิจได้ง่ายขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ที่เกิดกรณีปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งในสหรัฐฯและยุโรปแต่เอเชียไม่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีความเชื่อมโยงจากทั้ง 2 ภูมิภาคที่ประสบปัญหา โดยขณะนี้สถานการณ์ของโลก มีการเปลี่ยนแปลงและค่อนข้างมีความผันผวน
" ส่วนตัวมองว่าควรที่จะชะลอการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นออกไปก่อน โดยขณะนี้มีบล.หลายแห่งมีความคิดเหมือนกัน ซึ่งผู้ประกอบการอาจจะเข้าไปพูดคุยกับผู้กำหนดนโยบายเพื่อหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูด แต่ยังไม่ถึงขั้นมีการพูดคุยกันภายในสมาคมโบรกเกอร์ " นายมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ ภายใน 2 เดือน บริษัทจะมีการจัดทำแผนธุรกิจหลังจากที่ทางเมย์แบงก์ได้เข้ามาถือหุ้นของบริษัท เพื่อกำหนดแผนธุรกิจภายในช่วง 5 ปี จากนี้ และในเดือนพฤศจิกายนทางเมย์แบงก์ก็จะส่งคนเข้ามานั่งเป็นคณะกรรมการบริษัท จำนวน 1 คน
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะไม่ต่ำกว่าช่วงครึ่งปีแรก เพราะ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 3-3.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน ทำให้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ของบริษัทอยู่ที่ 3.11 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 800 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรก 54 บริษัทมีรายได้รวม 1.53 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 375 ล้านบาท
สำหรับงานได้วาณิชธนกิจของบริษัทขณะนี้มี 13-20 ดีล แบ่งเป็น การควบรวมกิจการ(M&A)3-4 ดีล กองทุนอสังหาริมทรัพย์(พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์) 2-3 ดีล และการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)4-5 ดีล การเสนอขายหุ้นให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) 1-2 ดีล การออกตราสารหนี้ 1-2 ดีล งานที่ปรึกษาอื่นๆ 2-4 ดีล โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะสรุปงาน IB จำนวน 4-5 ดีล
นายมนตรีกล่าวว่าส่วนตัวมองว่า ควรให้ชะลอการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น)ที่จะมีการเริ่มเปิดเสรีในปีหน้า จากที่ปีนี้มีการเปิดเสรีแบบขั้นบันได เพราะหลังจากที่ได้ศึกษาในต่างประเทศ ซึ่งมีการเปิดเสรีค้าหลักทรัพย์ไปก่อนหน้านี้ไม่ได้สร้างประโยชน์ ประกอบกับการเปิดเสรีดังกล่าว เพราะจะต้องมีการลดกฏเกณฑ์กำกับดูแลลง ส่งผลให้ต่างชาติจะเข้ามาทำธุรกิจได้ง่ายขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ที่เกิดกรณีปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งในสหรัฐฯและยุโรปแต่เอเชียไม่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีความเชื่อมโยงจากทั้ง 2 ภูมิภาคที่ประสบปัญหา โดยขณะนี้สถานการณ์ของโลก มีการเปลี่ยนแปลงและค่อนข้างมีความผันผวน
" ส่วนตัวมองว่าควรที่จะชะลอการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นออกไปก่อน โดยขณะนี้มีบล.หลายแห่งมีความคิดเหมือนกัน ซึ่งผู้ประกอบการอาจจะเข้าไปพูดคุยกับผู้กำหนดนโยบายเพื่อหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูด แต่ยังไม่ถึงขั้นมีการพูดคุยกันภายในสมาคมโบรกเกอร์ " นายมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ ภายใน 2 เดือน บริษัทจะมีการจัดทำแผนธุรกิจหลังจากที่ทางเมย์แบงก์ได้เข้ามาถือหุ้นของบริษัท เพื่อกำหนดแผนธุรกิจภายในช่วง 5 ปี จากนี้ และในเดือนพฤศจิกายนทางเมย์แบงก์ก็จะส่งคนเข้ามานั่งเป็นคณะกรรมการบริษัท จำนวน 1 คน