ASTVผู้จัดการรายวัน – รถยนต์คันแรกเข้า ครม.วันนี้ คลอดเกณฑ์รถนั่งอีโคคาร์ 1,500 ซีซี หรือปิ๊กอัพราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ตั้งเงื่อนไขห้ามโอนเปลี่ยนมือภายใน 5 ปี คาดยอดขายรถตลอดอายุโครงการพุ่งกระฉูด 5 แสนคัน
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ในวันที่ 13 กันยายนนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการรถยนต์คันแรกตามนโยบายรัฐบาล โดยหลักการจะเป็นการจ่ายเงินคืนให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรกตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดแทนภาษีสรรพสามิต เพราะภาษีสรรพสามิตเป็นการคิดจากผู้ประกอบการราคาหน้าโรงงาน ไม่สามารถคืนให้กับผู้ซื้อรถโดยตรงได้
ทั้งนี้เกณฑที่กำหนดในการซื้อรถยนต์คันแรกตามโครงการรัฐบาลจะต้องเป็นผู้มีอายุไม่น้อยกว่า 21 ปี และต้องไม่เคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อน และจะต้องซื้อภายในระกว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 โดยต้องเป็นรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี หรือรถกระบะ ไม่จำกัดขนาดเครื่องยนต์ที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยผู้ซื้อจะแจ้งความจำนงค์ในการเข้าร่วมกับกรมสรรพสามิตที่กระจายทั่วประเทศ 280 แห่งก่อนว่าจะเข้าร่วมโครงการ เพื่อประสานร่วมกรมขนส่งทางบก ในการตรวจสอบคุณสมบัติว่าเคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อนหรือไม่
นอกจากนี้จะต้องขึ้นทะเบียน เพื่อประทับตราห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือลงในสมุดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ต้องการจะซื้อรถจะต้องจ่ายเงินในราคาเต็มไปก่อนและเมื่อถือครองรถยนต์ครบหนึ่งปีให้มาติดต่อที่สรรพสามิตพื้นที่ เพื่อขอเงินชดเชยคืนในอัตราที่ที่จ่ายภาษีสรรพสามิตไป แต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท โดยกรมสรรพสามิตจะจ่ายเป็นเช็คในนามผู้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าว
"การที่ต้องล๊อกสมุดทะเบียน เพื่อไม่ให้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือ เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการมีรถยนต์คันแรกจริงๆ ไม่ให้มีการเปิดทางให้มีการสวมสิทธิ์ หรือใช้ชื่อบุคคลอื่นแทน โดยยอมรับว่าการไปล๊อกไว้ 5 ปีก็จะทำให้คนซื้อเสียสภาพคล่องบางส่วนแต่ถือว่ารัฐบาลได้ช่วยเหลือให้ตรงจุดจริงๆ" นายพงษ์ภาณุกล่าว
นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า จากมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศในช่วงเวลาที่ออกมาตรการเพิ่มขึ้น 5 แสนคันจากยอดขายเดิม 9 แสนคัน และจะทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีรถยนต์ในปีงบประมาณ 2555 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากที่แต่ละปีจะจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ได้ 8-9 หมื่นล้านบาท
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ นายกอุตสาหกรรมรถยนต์กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวที่ออกมาคาดว่าจะครอบคลุมตลาดรถยนต์ประมาณ 80% แต่จะเพิ่มยอดจำหน่ายรถยนต์ถึง 5 แสนคันหรือไม่นั้นยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ ต้องขึ้นกับการตอบรับของประชาชนด้วย แต่สำหรับรายได้ทางภาษีที่จะหายไป คงขึ้นกับคนจะนิยมไปซื้อประเภทไหน เพราะแต่ละประเภทเสียภาษีไม่เท่ากัน โดยรถยนต์ประหยัดพลังงานประเภทอีโคคาร์ ซึ่งเสียภาษีในอัตรา 17% คิดเป็นเงินประมาณ 6-6.5 หมื่นบาทต่อคัน ส่วนรถกระบะเสียภาษีในอัตรา 3% หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1.6 หมื่นบาทต่อคัน.
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ในวันที่ 13 กันยายนนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการรถยนต์คันแรกตามนโยบายรัฐบาล โดยหลักการจะเป็นการจ่ายเงินคืนให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรกตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดแทนภาษีสรรพสามิต เพราะภาษีสรรพสามิตเป็นการคิดจากผู้ประกอบการราคาหน้าโรงงาน ไม่สามารถคืนให้กับผู้ซื้อรถโดยตรงได้
ทั้งนี้เกณฑที่กำหนดในการซื้อรถยนต์คันแรกตามโครงการรัฐบาลจะต้องเป็นผู้มีอายุไม่น้อยกว่า 21 ปี และต้องไม่เคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อน และจะต้องซื้อภายในระกว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 โดยต้องเป็นรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี หรือรถกระบะ ไม่จำกัดขนาดเครื่องยนต์ที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยผู้ซื้อจะแจ้งความจำนงค์ในการเข้าร่วมกับกรมสรรพสามิตที่กระจายทั่วประเทศ 280 แห่งก่อนว่าจะเข้าร่วมโครงการ เพื่อประสานร่วมกรมขนส่งทางบก ในการตรวจสอบคุณสมบัติว่าเคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อนหรือไม่
นอกจากนี้จะต้องขึ้นทะเบียน เพื่อประทับตราห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือลงในสมุดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่ต้องการจะซื้อรถจะต้องจ่ายเงินในราคาเต็มไปก่อนและเมื่อถือครองรถยนต์ครบหนึ่งปีให้มาติดต่อที่สรรพสามิตพื้นที่ เพื่อขอเงินชดเชยคืนในอัตราที่ที่จ่ายภาษีสรรพสามิตไป แต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท โดยกรมสรรพสามิตจะจ่ายเป็นเช็คในนามผู้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าว
"การที่ต้องล๊อกสมุดทะเบียน เพื่อไม่ให้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือ เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการมีรถยนต์คันแรกจริงๆ ไม่ให้มีการเปิดทางให้มีการสวมสิทธิ์ หรือใช้ชื่อบุคคลอื่นแทน โดยยอมรับว่าการไปล๊อกไว้ 5 ปีก็จะทำให้คนซื้อเสียสภาพคล่องบางส่วนแต่ถือว่ารัฐบาลได้ช่วยเหลือให้ตรงจุดจริงๆ" นายพงษ์ภาณุกล่าว
นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า จากมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศในช่วงเวลาที่ออกมาตรการเพิ่มขึ้น 5 แสนคันจากยอดขายเดิม 9 แสนคัน และจะทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีรถยนต์ในปีงบประมาณ 2555 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากที่แต่ละปีจะจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ได้ 8-9 หมื่นล้านบาท
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ นายกอุตสาหกรรมรถยนต์กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวที่ออกมาคาดว่าจะครอบคลุมตลาดรถยนต์ประมาณ 80% แต่จะเพิ่มยอดจำหน่ายรถยนต์ถึง 5 แสนคันหรือไม่นั้นยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ ต้องขึ้นกับการตอบรับของประชาชนด้วย แต่สำหรับรายได้ทางภาษีที่จะหายไป คงขึ้นกับคนจะนิยมไปซื้อประเภทไหน เพราะแต่ละประเภทเสียภาษีไม่เท่ากัน โดยรถยนต์ประหยัดพลังงานประเภทอีโคคาร์ ซึ่งเสียภาษีในอัตรา 17% คิดเป็นเงินประมาณ 6-6.5 หมื่นบาทต่อคัน ส่วนรถกระบะเสียภาษีในอัตรา 3% หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1.6 หมื่นบาทต่อคัน.