xs
xsm
sm
md
lg

จากยิ่งลักษณ์และเฉลิม ถึงสปิโนซา และ “ปทปรมะธิปไตย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ในห้วงเวลาทางการเมืองที่ยาวนานโดยสัมพัทธ์ของประเทศไทยระหว่างนี้ เรามีบุคคล 2 คน ซึ่งมีความโดดเด่นในเวทีสื่อมวลชน พวกเขา ปรากฏตัว พูด กล่าว กระทำ แสดงบทบาท อย่างต่อเนื่อง ผมกำลังกล่าวถึงคุณยิ่งลักษณ์ กับ คุณเฉลิม อันเป็นสตรีและบุรุษที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดจากประชาคม ชุมชนของชาวไทย ณ ปัจจุบันกาล

การแสดงออกทางวาจา การตัดสินใจ และการกระทำที่สตรีและบุรุษทั้งสองดำเนินการผ่านสื่อมวลชน เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความสนธยาแห่งภูมิปัญญากับความเจิดจ้าของความยะโสโอหัง อันเป็นภาพสะท้อนของการห่อหุ้มสิ่งที่ด้อยค่าหรือไร้ค่าด้วยตำแหน่งที่สูงส่ง

คุณยิ่งลักษณ์ห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ที่ดูมีราคา ใบหน้าของเธอมักประดับด้วยรอยยิ้ม ยกเว้นตอนที่กำลังเผชิญกับคำถามที่เกินความเข้าใจหรือความรู้ที่มีอยู่ ถึงกระนั้นเธอก็มิได้แสดงอาการก้าวร้าวในการตอบโต้ ด้วยความที่เธอเป็นคนสุภาพจึงเลี่ยงสถานการณ์อันไม่น่าพึงปรารถนานั้นด้วยการเดินหนีหรือยุติการสื่อสารกับบรรดาผู้สื่อข่าวที่รุมล้อมเธอ

อย่างไรก็ตาม ผู้คนในสังคมมีความคาดหวังต่อบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากกว่าความงดงามของเสื้อผ้าอาภรณ์ มากกว่าใบหน้าที่สะสวย และคำพูดที่สุภาพ สิ่งที่ประชาชนจำนวนมากคาดหวังต่อผู้ดำรงตำแหน่งนี้ คือการแสดงออกถึงความรอบรู้และภูมิปัญญาในการบริหารประเทศและการแก้ไขปัญหาแก่ประชาชนให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ แต่สิ่งเหล่านี้กลับดูเหมือนกลายเป็นสิ่งที่หายากเหลือประมาณ

หากสภาวะของรัตติกาลแห่งความไม่รู้ ยังเป็นสภาวะหลักที่ดำรงอยู่ในจิตของผู้นำประเทศ คุณค่าและเกียรติยศของตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของประเทศก็ย่อมเสื่อมคลายลงไป ความสลด อดสูของประชาชนก็สะสมเพิ่มพูนขึ้น และแน่นอนว่าความรู้สึกดูแคลนก็จะแผ่ขยายออกไป สุภาพสตรีผู้ดำรงตำแหน่งนี้ เธอจะรู้ตัวหรือเปล่าว่า การแสดงออกของเธอ ณ ห้วงกาลนี้เป็นสิ่งที่กำลังกัดกร่อนและทำลายตัวเธอเอง

ด้านคุณเฉลิมผู้มีความสามารถอันใหญ่หลวงประการหนึ่งคือ การประจบสอพลอและการแสดงออกถึงความจงรักภักดีให้คุณทักษิณได้รับรู้ ก็ได้ใช้สิ่งนั้นเป็นบันไดไต่เต้าอำนาจได้ดิบได้ดีจนเป็นรองนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย คุณเฉลิมเป็นนักการเมืองที่มีบุคลิกตรงกันข้ามกับคุณยิ่งลักษณ์ เป็นผู้พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา บางครั้งออกไปทางก้าวร้าว อย่างไรก็ตามคุณเฉลิมมีคุณสมบัติสำคัญอีกประการหนึ่งคือความอวดดี

คุณเฉลิมอาจทราบหรือไม่ทราบก็ได้ว่า มนุษย์คนใดก็ตามที่มีความอวดดีเป็นเจ้าเรือน จะสร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น บารุค สปิโนซา นักปรัชญาชาวฮอลแลนด์ เชื้อสายยิวได้วิเคราะห์อย่างน่าฟังเกี่ยวกับความอวดดีว่า “มนุษย์ที่อวดดีจะเล่าแต่เพียงการกระทำที่ยิ่งใหญ่ของตนเองและความชั่วร้ายของผู้อื่น เขามีความสำราญเมื่ออยู่ในหมู่ของผู้ที่ด้อยกว่าตนเองซึ่งจะอัศจจรรย์ใจกับเรื่องราวที่ได้รับฟังและเชื่ออย่างงมงาย”

การอวดอ้างว่ารู้กฎหมายดีที่สุดในประเทศแล้วจะไปสอนคนนี้คนนั้น และการพูดภาษาอังกฤษระหว่างการอภิปรายชี้แจงในรัฐสภาของไทยของคุณเฉลิมเป็นการโอ้อวดประการหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างจากอึ่งอ่างที่พยายามเบ่งพองตนเองให้ดูใหญ่ขึ้น คุณเฉลิมคงคิดว่าการพูดในสิ่งเหล่านั้นจะทำให้ตนเองดูดีขึ้นและได้รับการนับถือจากสังคมมากขึ้นว่าเป็นผู้รู้ ดูเป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่หากคิดอีกมุมคุณเฉลิมจะรู้หรือไม่ว่า การพูดเช่นนั้นกลับทำให้ผู้คนรับรู้ถึงภาวะจิตใต้สำนึกของคุณเฉลิมที่เปี่ยมไปด้วยปมด้อยอันค้างคาสะสมมาตั้งแต่อดีต การแสดงความเขื่องของคนเฉลิมมีแต่จะทำให้ประชาชนผู้มีปัญญาเกิดความรู้สึกดูถูกดูแคลน และสำหรับคนที่จิตใจอ่อนโยนหน่อยก็คงจะรู้สึกสงสารและเวทนาคุณเฉลิมยิ่งนัก

หากเปรียบเปรยพฤติกรรมของคุณเฉลิมกับเหรียญในกล่องก็คือ “เหรียญจำนวนน้อยที่อยู่ในกล่องเมื่อเขย่าย่อมเกิดเสียงดัง แต่หากเหรียญเต็มกล่องเมื่อเขย่าก็ย่อมไร้เสียงสำเนียงใดๆดังออกมา”

ยิ่งกว่านั้นการกล่าววาจา อันเป็นถ้อยคำ ดูหมิ่นเหยียดหยาม เยาะเย้ยถากถางข้าราชการประจำระดับสูงอย่างคุณถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. ผู้ที่คุณเฉลิมคิดเอาเองว่าเป็นพวกเดียวกับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และการตัดสินใจโยกย้ายตำแหน่งตามอำเภอใจ โดยปราศจากการยึดหลักคุณธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้านายตนเอง ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความทะนงตน โอหังและลุแก่อำนาจ

คุณเฉลิมอาจไม่ตระหนักว่า คนดีมีเหตุผลนั้นจะแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองหรือดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของตนด้วยการใช้วิธีการที่ไม่ไปทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ส่วนคนชั่วนั้นย่อมกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม การเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่นั้นมิใช่เป็นเรื่องของการได้รับการยกย่องว่าเก่งกล้าสามารถเหนือกว่าคนอื่น หรือดำรงอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตของบ้านเมือง ปกครองผู้อื่น หากแต่เป็นการอยู่เหนือความลำเอียงและความไร้สาระของความปรารถนาที่มืดบอดของตนเอง

ทั้งคุณยิ่งลักษณ์และคุณเฉลิมเป็นนักการเมือง จะด้วยแรงจูงใจหรือความปรารถนาของตนเองหรือของผู้อื่นก็แล้วแต่ ธรรมชาติของนักการเมืองทั่วไปคือการแสวงหาชื่อเสียงและการครอบครองตำแหน่งที่สามารถใช้อำนาจรัฐ เมื่อต้องการชื่อเสียง การยอมรับ และอำนาจ นักการเมืองก็จะต้องดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางที่จะตอบสนองความเพ้อฝันของมวลชนและเจ้าของพรรคที่ทั้งสองสังกัดอยู่ ไม่ว่าความเพ้อฝันเหล่านั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ ก็ตาม หรือมันจะเป็นการถากถางเส้นทางเพื่อนำไปสู่การทำลายสังคม ประเพณี และวัฒนธรรม มากน้อยเพียงใดก็ตาม

การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ การมีอำนาจและการใช้อำนาจทางการเมืองของคุณยิ่งลักษณ์ คุณเฉลิม และบรรดาสาวกเสื้อแดงอีกจำนวนมาก ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนเกี่ยวกับจุดอ่อนและคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยใหม่อีกครั้งหนึ่ง

แต่เรื่องนี้ผมต้องเขียนอย่างระมัดระวังเพราะผู้คนในศตวรรษนี้ ต่างมีความเชื่ออย่างงมงายว่า ประชาธิปไตยเป็นสิ่งศักสิทธิ์ หากใครวิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตย ก็มีโอกาสง่ายมากที่จะถูกประณามหรือตีตราในทางเสียหายจากบรรดาเหล่าสาวกของลัทธิประชาธิปไตยนิยม

ดังนั้นในขั้นนี้ผมจึงของยืมความคิดจาก บารุค สปิโนซา นักปรัชญาที่ผมชื่นชอบในความคิดและวิถีการใช้ชีวิตของเขา สปิโนซากล่าวไว้ว่า จุดอ่อนของประชาธิปไตยคือ เป็นระบอบที่มีแนวโน้มทำให้คนซึ่งไม่ดิบดีอะไรนักขึ้นมาอยู่ในอำนาจและไม่มีทางใดที่จะหลีกเลี่ยงสภาพนี้ได้ ปริมาณของเสียงข้างมากที่ได้มาจากอารมณ์อันแปรปรวนและปราศจากพื้นฐานของเหตุผลเชิงจริยธรรมโดยตัวของมันเองแล้วไม่เคยสร้างปัญญา ระบอบนี้จึงมีแนวโน้มทำให้นักหลอกลวงและผู้ประจบสอพลอได้รับตำแหน่งที่ดีที่สุด ขณะที่ผู้มีความสามารถ มีความรอบรู้ มีภูมิปัญญา มีทักษะและประสบการณ์มีโอกาสน้อยมากที่เข้าไปสู่ตำแหน่งสำคัญในการบริหารบ้านเมือง

สปิโนซายังกล่าวต่อไปว่า ด้วยเหตุดังกล่าวรัฐบาลประชาธิปไตยจึงกลายเป็นขบวนการของนักปลุกปั่น ปลุกระดม คนที่มีคุณค่า ความสามารถ มีจริยธรรมก็รังเกียจที่จะเดินไปสู่เวทีการเมือง เพราะเขาไม่ต้องการถูกตัดสินและประเมินค่าโดยผู้คนที่ไร้คุณค่า

สปิโนซาเชื่อว่า โดยธรรมชาติมนุษย์มีความไม่เท่าเทียมกันทางภูมิปัญญา คุณธรรม ความสามารถและความรับผิดชอบ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเป็นผู้บริหารบ้านเมือง ความเชื่อของประชาธิปไตยเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์ในทุกมิติดูเป็นสิ่งที่ไร้สาระ เพราะเป็นการแสวงหาในสิ่งที่ไม่ดำรงอยู่ ดังนั้นใครแสวงหาเรื่องนี้จึงเป็นการแสวงหาสิ่งที่ไร้สาระ

อันที่จริงความคิดเรื่องนี้ของสปิโนซามีความคล้ายคลึงกับการจำแนกมนุษย์ตามระดับภูมิปัญญาในศาสนาพุทธเรื่องบัวสี่เหล่า อันได้แก่ 1) อุคคฏิตัญญู ซึ่งเป็นพวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ 2) วิปจิตัญญู ซึ่งเป็นพวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป 3) เนยยะ ซึ่งเป็นพวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่มีสัมมาทิฏฐิ เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง และ 4) ปทปรมะ พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน

ด้วยเหตุที่จำนวนมนุษย์ในสังคมทั่วไปมีพวก “ปทปรมะ” หรือบัวที่จมในโคลนตมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นระบอบประชาธิปไตยซึ่งปกครองด้วยเสียงข้างมาก จึงเป็นการปกครองที่ถูกกำหนดจากเหล่ามนุษย์ที่เป็นพวกบัวจมอยู่ในโคลนตม ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องเลือกมนุษย์เผ่าพันธ์เดียวกับพวกเขา อันได้แก่ พวกบัวที่จมในโคบนตมด้วยกันเองเป็นผู้ปกครองประเทศ

เราจึงอาจกล่าวอีกแบบหนึ่งได้ว่า ระบอบประชาธิปไตย ก็คือ “ระบอบปทปรมะธิปไตย” หรือ ระบอบที่อำนาจอธิปไตยเป็นของพวกบัวที่จมในโคลนตม และ เป็นระบอบที่ประเทศถูกชี้นำและกำหนดโดยบรรดาพวกบัวที่จมอยู่ในโคลนตมนั่นเอง

กำลังโหลดความคิดเห็น