ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ คุณดุสิต นนทะนาคร ประธานหอการค้าไทย คนที่ 21 ที่ล่วงลับด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2554 ที่ผ่านมา...
ผมเชื่อว่าแค่เพียงความดีงามของคุณดุสิตเพียงเรื่องเดียวก่อนท่านลาจากโลกนี้ไป คือ การออกมาแฉโพยว่าประเทศไทยของเรามีการทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร ข้าราชการการเมืองสมคบกับข้าราชการประจำมีการเรียกรับผลประโยชน์กันโครงการละ 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันท่านยังได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการประสาน 21 องค์กรภาคเอกชนขึ้นมาต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในหมู่คนไทยที่รักบ้านรักเมืองอย่างกว้างขวาง....แค่นี้ก็เป็นกุศลผลบุญที่จะส่งผลให้ดวงวิญญาณของคุณดุสิต สงบสุขอยู่ ณ สัมปรายภพแล้ว..
ผมไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับคุณดุสิตเป็นการส่วนตัวแม้แต่น้อยนิด แต่วันนี้ขอกราบดวงวิญญาณท่านด้วยความคารวะจากใจ...
เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องใหญ่ เราๆ ท่านๆ รู้ดีว่ามันคือมะเร็งร้ายที่กำลังคร่าชีวิตประเทศไทยให้ตายทั้งเป็น แต่เราๆ ท่านๆ ก็ดูเหมือนจะจนปัญญาที่จะจัดหาหยูกยามาจัดการกับโรคร้ายนี้ได้ ได้แต่รณรงค์เรียกร้องให้นักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการชั่วหยุดพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งคุณดุสิต นนทะนาคร ก็เป็นหนึ่งเสียงสำคัญ...แต่ดูเหมือนว่าเชื้อมะเร็งร้ายนี้มันจะดื้อยา...
กระนั้นก็ตาม อาจเพราะคนยังเชื่อว่าบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์แบบที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ท่านว่า หรืออาจเพราะคนไทยที่เป็นคนดีๆ ยังมีมากกว่าคนไทยที่เป็นคนชั่วหรือคนไม่ดี ทำให้สังคมไทยยังไม่สิ้นหวังที่จะต่อสู้กับเจ้ามะเร็งร้าย
สู้กันด้วยร้อยแปดพันประการกระบวนท่า...รณรงค์ต่อต้าน..เรียกร้องวิงวอนกันแล้ววิ่งวอนกันอีก...
แม้ไม่เชื่อน้ำยาของพรรคการเมืองหรือนักการเมือง แต่ทันทีที่ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ชูธงพรรครักประเทศไทยในการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. 2554 ว่า ขอเป็นพรรคฝ่ายค้าน ตรวจสอบต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน คนไทยจำนวนหนึ่งก็แห่กันไปเทคะแนนให้พรรคชูวิทย์เข้าสภาถึง 4 คน ซึ่งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ถ้าในที่สุดพรรคชูวิทย์พูดจริงและทำได้จริงก็อาจได้รับคะแนนที่นั่งเพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้บรรดากูรูการเมืองจะทำนายว่า การเมืองฉากต่อไปพรรคเล็กพรรคน้อยจะสูญพันธุ์ก็ตาม...
ที่เชื่อเช่นนี้ก็เพราะเชื่อว่า...พลังทางศีลธรรมของสังคมไทยยังมีอยู่ แม้นับวันจะถูกพลังทุนสามานย์รุกคืบกลืนกินให้สยบยอมหนักมือขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม ขณะเดียวกันภาคประชาชนนับร้อยนับพันองค์กรที่ทำงานในลักษณะต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน แบบ ปปช.ภาคประชาชนหรือแม้แต่องค์กรที่ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม แม้จะยังไม่มีการสนธิกำลังหรือ “บูรณาการ” กันอย่างจริงๆ จังๆ ก็ตาม แต่ก็พอจะกล่าวได้ว่า...คนดีๆ และพร้อมต่อสู้ก็ยังมีอยู่พอประมาณ...
เช่นเดียวกับภาคการเมืองในรัฐสภาทั้ง ส.ส.และส.ว.แม้พวกเขาจะเป็น “ส่วนใหญ่ของปัญหา” แต่ก็พอจะมีกลุ่มที่เป็น “ส่วนหนึ่งของการแก้ไข” พอจะฝากผีฝากไข้ไว้ หรือเป็นเครื่องมือของประชาชนได้บ้าง อย่างน้อยๆ ก็ด้วยบทบาทการพูดจาปราศรัยที่พูดแล้วเสียงดังกว่าประชาชนทั่วไป รวมทั้งการยับยั้งกฎบัตรกฎหมายที่จะออกมาทำร้ายทำลายบ้านเมือง หรือการผลักดันกฎหมายที่เป็นคุณกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ดังเช่นที่เคยมีการเรียกร้องกันว่า “คดีคอร์รัปชันต้องไม่มีอายุความ” ฯลฯ หากออกมาได้ก็อาจจะทำให้เจ้ามะเร็งร้ายชะลอความรุนแรงลงได้บ้าง...
แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ พูดไปทำไมมี...ตราบใดที่การปฏิรูปประเทศทั้งระบบหรือปฏิรูปขนาดใหญ่ยังไม่เกิด การฝากความหวังไว้ที่นักการเมืองนั้นลำบากยากยิ่ง เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว ใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องให้ปฏิรูปเป็นลำดับแรกก็คือ “นักการเมือง” นั่นเอง
ขณะเดียวกันเมื่อลองนึกถึงองค์กรต่างๆ ทั้งองค์กรอิสระ องค์กรของรัฐที่ทำหน้าที่ในการปราบการทุจริตคอร์รัปชัน-การประพฤติมิชอบ, ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ผมว่ามันก็มีมากจนเกินพอเสียด้วยซ้ำ...
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.),คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.), ผู้ตรวจการแผ่นดิน, สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีกลไกรัฐตามปกติอีกจำนวนไม่น้อย หรือแม้แต่องค์กรอิสระอย่าง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ถือเป็นองค์กรสำคัญที่ช่วยหยุดมะเร็งร้ายได้หากสามารถทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรมได้จริงๆ..
แต่คำตอบ ผลลัพธ์ก็อย่างที่เราได้แลเห็น...
พูดไปทำไมมี (อีกที) พูดไปบ่นไปก็เริ่มออกอาการเครียดๆ เกิดมะเร็งในอารมณ์...ทุกวันนี้ผมเลยพยายามทำใจว่าแม้ยังไม่สิ้นหวังแต่ก็ไม่อยากคาดหวังอะไรมาก (โดยเฉพาะกับพวกผู้เฒ่าที่มือถือสากปากถือศีลทั้งหลาย) พยายามมองโลกในแง่ดีเพื่อปลุกปลอบใจตัวเอง ดังนั้นเมื่อขับรถแล้วเห็นป้ายโฆษณารณรงค์ตามโครงการโรงเรียนสีขาวของกทม.โดยชูคำขวัญ “โตแล้วไม่โกง” ก็เกิดความรู้สึกที่ดี มีความหวัง...
ผมเชื่อว่าถ้าโครงการนี้ทำกันจริงๆ จังๆ ไม่เป็นเพียงโครงการโฆษณาหาเงินของใคร นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะเยาวชนเหล่านี้คืออนาคตของชาติในวันหน้า ยิ่งถ้าหากทั้งประเทศรณรงค์ “โตแล้วไม่โกง” สัก 2-3 รุ่นๆ ละ 4 -5 ปี เน้นไปที่นักเรียนระดับ ป. 5-ป. 6 หรือระดับมัธยม น่าจะมีผลเชิงบวก และอาจจะลบล้างค่านิยมอันตรายของคนรุ่นใหม่ที่ผลสำรวจออกมาว่า...พวกเขายอมรับการโกงแต่ขอให้ทำงาน....ได้บ้าง
พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า หลายเดือนก่อนได้พูดคุยกับ คุณอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา คุณอุทัยบอกว่าตอนเล่นการเมืองใหม่ๆ ตั้งเป้าจะเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ และหากได้เป็นนายกฯ คุณอุทัยบอกว่าได้เตรียมคำขวัญวันเด็กเอาไว้ว่า “เด็กในวันนี้คือตัวอย่างของผู้ใหญ่ในวันนี้” ซึ่งผมบอกว่าเชยจังฟังแล้วมึน แต่คุณอุทัยบอกว่าท่านอยากจะสื่อให้เห็นว่า..ไม่อยากหวังกับผู้ใหญ่ ถ้าจะแก้การทุจริตคอร์รัปชันอย่าแก้ที่สังคมปัจจุบัน แต่ต้องทำให้เด็กเยาวชนของชาติเป็นอนาคตของประเทศที่ไม่โกง...
ครับ ขอแสดงความอาลัยกับการจากไปของคุณดุสิต นนทะนาคร อีกครั้ง มะเร็งเม็ดเลือดขาวคร่าชีวิตท่าน ถ้ารักท่าน คิดถึงท่านก็ต้องช่วยกันหาหนทางหยุดมะเร็งทุจริตคอร์รัปชันที่กำลังคร่าชีวิตประเทศไทยให้จงได้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือตามบทบาทหน้าที่..อย่ายอมแพ้มัน!!
samr_rod@hotmail.com
ผมเชื่อว่าแค่เพียงความดีงามของคุณดุสิตเพียงเรื่องเดียวก่อนท่านลาจากโลกนี้ไป คือ การออกมาแฉโพยว่าประเทศไทยของเรามีการทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร ข้าราชการการเมืองสมคบกับข้าราชการประจำมีการเรียกรับผลประโยชน์กันโครงการละ 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันท่านยังได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการประสาน 21 องค์กรภาคเอกชนขึ้นมาต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในหมู่คนไทยที่รักบ้านรักเมืองอย่างกว้างขวาง....แค่นี้ก็เป็นกุศลผลบุญที่จะส่งผลให้ดวงวิญญาณของคุณดุสิต สงบสุขอยู่ ณ สัมปรายภพแล้ว..
ผมไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับคุณดุสิตเป็นการส่วนตัวแม้แต่น้อยนิด แต่วันนี้ขอกราบดวงวิญญาณท่านด้วยความคารวะจากใจ...
เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องใหญ่ เราๆ ท่านๆ รู้ดีว่ามันคือมะเร็งร้ายที่กำลังคร่าชีวิตประเทศไทยให้ตายทั้งเป็น แต่เราๆ ท่านๆ ก็ดูเหมือนจะจนปัญญาที่จะจัดหาหยูกยามาจัดการกับโรคร้ายนี้ได้ ได้แต่รณรงค์เรียกร้องให้นักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการชั่วหยุดพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งคุณดุสิต นนทะนาคร ก็เป็นหนึ่งเสียงสำคัญ...แต่ดูเหมือนว่าเชื้อมะเร็งร้ายนี้มันจะดื้อยา...
กระนั้นก็ตาม อาจเพราะคนยังเชื่อว่าบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์แบบที่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ท่านว่า หรืออาจเพราะคนไทยที่เป็นคนดีๆ ยังมีมากกว่าคนไทยที่เป็นคนชั่วหรือคนไม่ดี ทำให้สังคมไทยยังไม่สิ้นหวังที่จะต่อสู้กับเจ้ามะเร็งร้าย
สู้กันด้วยร้อยแปดพันประการกระบวนท่า...รณรงค์ต่อต้าน..เรียกร้องวิงวอนกันแล้ววิ่งวอนกันอีก...
แม้ไม่เชื่อน้ำยาของพรรคการเมืองหรือนักการเมือง แต่ทันทีที่ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ชูธงพรรครักประเทศไทยในการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. 2554 ว่า ขอเป็นพรรคฝ่ายค้าน ตรวจสอบต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน คนไทยจำนวนหนึ่งก็แห่กันไปเทคะแนนให้พรรคชูวิทย์เข้าสภาถึง 4 คน ซึ่งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ถ้าในที่สุดพรรคชูวิทย์พูดจริงและทำได้จริงก็อาจได้รับคะแนนที่นั่งเพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้บรรดากูรูการเมืองจะทำนายว่า การเมืองฉากต่อไปพรรคเล็กพรรคน้อยจะสูญพันธุ์ก็ตาม...
ที่เชื่อเช่นนี้ก็เพราะเชื่อว่า...พลังทางศีลธรรมของสังคมไทยยังมีอยู่ แม้นับวันจะถูกพลังทุนสามานย์รุกคืบกลืนกินให้สยบยอมหนักมือขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม ขณะเดียวกันภาคประชาชนนับร้อยนับพันองค์กรที่ทำงานในลักษณะต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน แบบ ปปช.ภาคประชาชนหรือแม้แต่องค์กรที่ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม แม้จะยังไม่มีการสนธิกำลังหรือ “บูรณาการ” กันอย่างจริงๆ จังๆ ก็ตาม แต่ก็พอจะกล่าวได้ว่า...คนดีๆ และพร้อมต่อสู้ก็ยังมีอยู่พอประมาณ...
เช่นเดียวกับภาคการเมืองในรัฐสภาทั้ง ส.ส.และส.ว.แม้พวกเขาจะเป็น “ส่วนใหญ่ของปัญหา” แต่ก็พอจะมีกลุ่มที่เป็น “ส่วนหนึ่งของการแก้ไข” พอจะฝากผีฝากไข้ไว้ หรือเป็นเครื่องมือของประชาชนได้บ้าง อย่างน้อยๆ ก็ด้วยบทบาทการพูดจาปราศรัยที่พูดแล้วเสียงดังกว่าประชาชนทั่วไป รวมทั้งการยับยั้งกฎบัตรกฎหมายที่จะออกมาทำร้ายทำลายบ้านเมือง หรือการผลักดันกฎหมายที่เป็นคุณกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ดังเช่นที่เคยมีการเรียกร้องกันว่า “คดีคอร์รัปชันต้องไม่มีอายุความ” ฯลฯ หากออกมาได้ก็อาจจะทำให้เจ้ามะเร็งร้ายชะลอความรุนแรงลงได้บ้าง...
แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ พูดไปทำไมมี...ตราบใดที่การปฏิรูปประเทศทั้งระบบหรือปฏิรูปขนาดใหญ่ยังไม่เกิด การฝากความหวังไว้ที่นักการเมืองนั้นลำบากยากยิ่ง เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว ใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องให้ปฏิรูปเป็นลำดับแรกก็คือ “นักการเมือง” นั่นเอง
ขณะเดียวกันเมื่อลองนึกถึงองค์กรต่างๆ ทั้งองค์กรอิสระ องค์กรของรัฐที่ทำหน้าที่ในการปราบการทุจริตคอร์รัปชัน-การประพฤติมิชอบ, ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ผมว่ามันก็มีมากจนเกินพอเสียด้วยซ้ำ...
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.),คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.), ผู้ตรวจการแผ่นดิน, สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีกลไกรัฐตามปกติอีกจำนวนไม่น้อย หรือแม้แต่องค์กรอิสระอย่าง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ถือเป็นองค์กรสำคัญที่ช่วยหยุดมะเร็งร้ายได้หากสามารถทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรมได้จริงๆ..
แต่คำตอบ ผลลัพธ์ก็อย่างที่เราได้แลเห็น...
พูดไปทำไมมี (อีกที) พูดไปบ่นไปก็เริ่มออกอาการเครียดๆ เกิดมะเร็งในอารมณ์...ทุกวันนี้ผมเลยพยายามทำใจว่าแม้ยังไม่สิ้นหวังแต่ก็ไม่อยากคาดหวังอะไรมาก (โดยเฉพาะกับพวกผู้เฒ่าที่มือถือสากปากถือศีลทั้งหลาย) พยายามมองโลกในแง่ดีเพื่อปลุกปลอบใจตัวเอง ดังนั้นเมื่อขับรถแล้วเห็นป้ายโฆษณารณรงค์ตามโครงการโรงเรียนสีขาวของกทม.โดยชูคำขวัญ “โตแล้วไม่โกง” ก็เกิดความรู้สึกที่ดี มีความหวัง...
ผมเชื่อว่าถ้าโครงการนี้ทำกันจริงๆ จังๆ ไม่เป็นเพียงโครงการโฆษณาหาเงินของใคร นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะเยาวชนเหล่านี้คืออนาคตของชาติในวันหน้า ยิ่งถ้าหากทั้งประเทศรณรงค์ “โตแล้วไม่โกง” สัก 2-3 รุ่นๆ ละ 4 -5 ปี เน้นไปที่นักเรียนระดับ ป. 5-ป. 6 หรือระดับมัธยม น่าจะมีผลเชิงบวก และอาจจะลบล้างค่านิยมอันตรายของคนรุ่นใหม่ที่ผลสำรวจออกมาว่า...พวกเขายอมรับการโกงแต่ขอให้ทำงาน....ได้บ้าง
พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า หลายเดือนก่อนได้พูดคุยกับ คุณอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา คุณอุทัยบอกว่าตอนเล่นการเมืองใหม่ๆ ตั้งเป้าจะเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ และหากได้เป็นนายกฯ คุณอุทัยบอกว่าได้เตรียมคำขวัญวันเด็กเอาไว้ว่า “เด็กในวันนี้คือตัวอย่างของผู้ใหญ่ในวันนี้” ซึ่งผมบอกว่าเชยจังฟังแล้วมึน แต่คุณอุทัยบอกว่าท่านอยากจะสื่อให้เห็นว่า..ไม่อยากหวังกับผู้ใหญ่ ถ้าจะแก้การทุจริตคอร์รัปชันอย่าแก้ที่สังคมปัจจุบัน แต่ต้องทำให้เด็กเยาวชนของชาติเป็นอนาคตของประเทศที่ไม่โกง...
ครับ ขอแสดงความอาลัยกับการจากไปของคุณดุสิต นนทะนาคร อีกครั้ง มะเร็งเม็ดเลือดขาวคร่าชีวิตท่าน ถ้ารักท่าน คิดถึงท่านก็ต้องช่วยกันหาหนทางหยุดมะเร็งทุจริตคอร์รัปชันที่กำลังคร่าชีวิตประเทศไทยให้จงได้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือตามบทบาทหน้าที่..อย่ายอมแพ้มัน!!
samr_rod@hotmail.com