ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - แพทย์พบสมอง “หลวงพ่อคูณ” ฝ่อมากขึ้น ส่งผลความจำระยะสั้นไม่ดี เผยเป็นห่วงภาวะซึมเศร้า สั่งลูกศิษย์ชวนคุยบ่อยขึ้นและให้ศิษย์ใกล้ชิดสนิทสนมเคยปรนนิบัติเข้าเยี่ยมพูดคุย ขณะคณะลูกศิษย์จากวัดบ้านไร่รุดเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ ด้านผู้ว่าฯ- คณะแพทย์-ลูกศิษย์ หารือชี้ขาดย้ายหลวงพ่อคูณไปรักษาเจาะให้อาหารทางหน้าท้อง ที่ รพ.ศิริราช 8 ก.ย.
วานนี้ (5 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าอาการอาพาธพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่งพักรักษาอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา นานเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว ล่าสุด อาการโดยรวมหลวงพ่อคูณอยู่ในเกณฑ์ดี ตอบสนองและรู้สึกตัวดี ไม่มีไข้ ความดันเป็นปกติ น้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แต่ยังซึมเศร้าพูดคุยน้อย
นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ เปิดเผยว่า จากการตรวจร่างกายหลวงพ่อคูณยังไม่พบความผิดปกติ อาการอาพาธดีขึ้นต่อเนื่อง ระดับการเต้นของหัวใจ การหายใจ และความดันโลหิตในร่างกายปกติ
ส่วนผลการเอกซเรย์สมองล่าสุดโดยรวมยังปกติสำหรับคนที่ผ่านการผ่าตัดสมองครั้งใหญ่มาแล้ว และพบว่าภาวะสมองหลวงพ่อคูณฝ่อมากขึ้น ส่งผลให้มักจะลืมหรือจดจำเหตุการณ์ระยะสั้นๆไม่ค่อยได้ ซึ่งเป็นไปตามอายุของหลวงพ่อ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แพทย์เป็นกังวลมากในขณะนี้ คือ เรื่องภาวะซึมเศร้า เนื่องจากหลวงพ่อคูณพูดน้อย จึงพยายามให้ลูกศิษย์ชวนหลวงพ่อพูดคุยให้มากขึ้น พร้อมบีบนวดคลายเครียดตามร่างกายหลังตื่นจำวัด และให้ลูกศิษย์ที่เป็นคนเก่าแก่เคยรู้จักสนิทสนมและปรนนิบัติท่านมาก่อนเข้ามาเยี่ยมพูดคุยเพื่อไม่ให้หลวงพ่อเหงา ล่าสุด คณะลูกศิษย์จากวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจ ซึ่งทำให้หลวงพ่อคลายความเหงาซึมเศร้าไปได้บ้าง มีสีหน้าสดใสและพูดจาทักทายมากขึ้น
นพ.พินิศจัย กล่าวต่อว่า เท่าที่สอบถามลูกศิษย์ใกล้ชิด ซึ่งได้ถามหลวงพ่อว่าทำไมถึงไม่ค่อยพูด หลวงพ่อคูณ ตอบสั้นๆ ว่า “ไม่อยากพูด” ซึ่งเป็นคำตอบที่แสดงได้ชัดเจนว่าท่านเกิดอาการเบื่อเซ็ง เนื่องจากอยู่ในสถานที่เดิมนานเกินไปและที่สำคัญยังมีสายยางสำหรับให้อาหารเหลวอยู่ในช่องจมูกตลอดเวลาทำให้มีความรู้สึกไม่ดี
ฉะนั้น เรื่องการตัดสินใจเจาะเพื่อให้อาหารทางสายยางผ่านหน้าท้อง คณะลูกศิษย์และจังหวัดนครราชสีมาต้องให้ความชัดเจนกับแพทย์โดยเร็ว เพื่อประโยชน์ที่หลวงพ่อจะได้รับ เนื่องจากหากรอนานไปอีกยิ่งจะทำให้ท่านมีสภาพจิตใจที่ไม่ดี เพราะตอนที่ทดลองถอดสายยางออกจากช่องจมูกก่อนหน้านี้ หลวงพ่อคูณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ฉันอาหารเองได้ไม่เพียงพอและเกิดอาการสำลักจึงต้องกลับมาใส่สายยางที่จมูกให้อีกครั้ง ฉะนั้น การไม่มีสายยางอยู่ในจมูกจะช่วยด้านภาวะจิตใจ และอารมณ์ของท่านได้เป็นอย่างดี
"สำหรับการรักษาแพทย์ยังคงให้อาหารเหลวผ่านสายยางทางจมูกอย่างต่อเนื่อง และ ให้หลวงพ่องดฉันอาหารและน้ำทางปากทุกชนิดเนื่องจากเกรงจะเกิดอาการสำลักติดเชื้ออีก และขณะนี้ได้หยุดให้ยาละลายเลือดเป็นวันที่ 4 แล้ว ซึ่งต้องหยุดให้ยาดังกล่าวเป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด โดยคณะแพทย์ต้องทำการประเมินสภาพร่างกายหลวงพ่อคูณอีกครั้งก่อนการเจาะหน้าท้องเพราะสภาพร่างกายของหลวงพ่อต้องประเมินแบบวันต่อวัน" นพ.พินิศจัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงบ่าย นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้ประชุมหารือกับคณะแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา คณะกรรมการวัดบ้านไร่ และคณะลูกศิษย์ใกล้ชิด เรื่องเกี่ยวกับอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณและแนวทางรักษา โดยเฉพาะกรณีที่คณะลูกศิษย์ ต้องการย้ายหลวงพ่อคูณไปรักษาและเจาะให้อาหารทางสายยางผ่านหน้าท้องที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ แต่คณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราช เสนอที่จะเดินทางมาดำเนินการให้ ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา
นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติร่วมกันให้ย้ายหลวงพ่อคูณ ไปเจาะหน้าท้องเพื่อให้อาหารผ่านสายยางทางหน้าท้องที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ ในวันที่ 8 ก.ย. เนื่องจากล่าสุด คณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราชได้ตอบรับที่จะรับหลวงพ่อไปทำการรักษาที่กรุงเทพฯ ส่วนการเดินทางจะขอสนับสนุนเครื่องบินฝนหลวง จากสำนักฝนหลวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเคยนำหลวงพ่อคูณไปผ่าตัดสมองมาก่อนแล้ว เพราะการเดินทางด้วยเครื่องบินจะทำให้หลวงพ่อคูณบอบซ้ำน้อยกว่าเดินทางด้วยรถยนต์
ทั้งนี้แพทย์โรงพยาบาลศิริราช จะผ่าตัดเจาะหน้าท้องหลวงพ่อคูณ ในวันที่ 9 ก.ย. หากไม่มีอาการผิดปกติอะไรจะส่งหลวงพ่อกลับมารักษาต่อที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ในวันที่ 12 ก.ย. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการติดสินใจของคณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นคาดว่าอีกประมาณ 3 สัปดาห์หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เกิดขึ้น แพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จะพิจารณาอนุญาตให้หลวงพ่อคูณ กลับไปพักฟื้นที่วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้