“การพนัน เป็นความหวังของคนจน แต่เป็นกีฬาของคนรวย” นี่คือวาทะของนักเขียนผู้ใช้นามปากกา “เทียนวรรณ”
จากวาทะดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเจ้าของวาทะนี้ได้แยกการพนันออกเป็นสองแง่ คือ เป็นความหวัง และเป็นกีฬา โดยตัวผู้เล่นการพนันเป็นตัวแบ่งประเภท กล่าวคือ ถ้าเล่นการพนันเพื่อหวังชนะ และได้ผลตอบแทนจากการเป็นผู้ชนะ และมีดีใจ มีความสมหวังกับความชนะ ในทางกลับกัน ถ้าแพ้ เกิดความเสียใจและผิดหวัง ก็จัดเข้าประเภทคนจน
แต่ถ้าเล่นเพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ไม่เดือดร้อน ก็จัดเข้าประเภทคนรวย
ดังนั้น การพนันตามนัยนี้ ถึงแม้รูปแบบของการพนันจะเหมือนกัน แต่ผลที่ได้จากการเล่นต่างกัน และผลที่ต่างกันนี้เองคือปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิด ถ้าจะปราบบ่อนเถื่อนให้หมดไป หรือไม่หมดไปแต่ให้ผู้คนในสังคมได้รับผลกระทบจากการมีบ่อนน้อยที่สุดว่าจะทำอย่างไร?
จริงอยู่ การป้องกันมิให้มีการเปิดบ่อนได้อย่างเด็ดขาด 100 เปอร์เซ็นต์ คงทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย ในทำนองเดียวกับการปราบโสเภณี แต่การป้องกันมิให้ผู้คนได้รับผลกระทบจากการมีบ่อนน่าจะกระทำได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
1. อนุญาตให้เปิดบ่อนโดยถูกต้องตามกฎหมายในเขตที่กำหนดไว้เป็นพิเศษ และมีการตรวจสอบควบคุมมิให้ผู้เล่นประเภทคนจนที่แพ้แล้วเดือดร้อน ทั้งแก่ตัวเองและครอบครัวเข้าไปเล่นในบ่อน
2. เปิดโอกาสให้คนที่ต้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้นเข้าไปเล่นโดยได้รับความสะดวก และได้รับการคุ้มครองรักษาความปลอดภัย รวมไปถึงมีระบบการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐอย่างรอบคอบและรัดกุม
ถ้าทำได้ตามแนวทางนี้ ก็คงจะแก้ปัญหาการมีบ่อนเถื่อนดังที่เป็นอยู่ และเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้
อะไรทำให้บ่อนเถื่อนเกิดขึ้นและอยู่ได้โดยที่ผู้รักษากฎหมายไม่ดำเนินการจับกุมและลงโทษ ทั้งๆ ที่บ่อนที่ว่าตั้งอยู่ในชุมชนอย่างเปิดเผย และเป็นที่รู้กันของผู้คนรอบๆ ที่ตั้งของบ่อน?
เกี่ยวกับเรื่องนี้คำตอบคงหาได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องการจะหาคำตอบหรือไม่ และรู้แล้วแก้ปัญหาได้หรือไม่เท่านั้น ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. ทุกครั้งที่มีข่าวการปราบบ่อน จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องเกือบทุกครั้ง อย่างน้อยก็รู้เห็นเป็นใจในการปล่อยให้มีการเปิดบ่อน และได้รับผลประโยชน์ตอบแทน จึงทำให้บ่อนเกิดขึ้นและดำเนินการอยู่ได้
2. ในการเล่นการพนันทำได้ไม่ยาก เพียงแต่มีการนัดหมายและรวมตัวกันก็เปิดบ่อนได้แล้ว หรือที่เรียกว่า บ่อนวิ่ง บ่อนประเภทนี้ถึงแม้จะไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ดำเนินการได้ และปราบปรามยากด้วย
3. นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีอิทธิพลอื่นใดเข้าไปเกี่ยวข้องการเล่นการพนัน
อิทธิพลทางการเมือง รวมไปถึงอิทธิพลเถื่อนในรูปของนักเลงท้องถิ่นก็เปิดบ่อนได้ โดยที่ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปจัดการแจ้งความเพราะความกลัวภัยร้ายจะมาถึงตัวก็มีอยู่
ดังนั้น การแก้ปัญหาบ่อนการพนันด้วยการคาดโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงอย่างเดียว ดังที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำลังดำเนินการอยู่ คงจะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปไม่ได้ และที่น่ากลัวกว่านี้ การแก้ปัญหาในทำนองนี้อาจทำให้เกิดช่องทางการหาประโยชน์จากการมีบ่อนจากรูปแบบเดิม โดยการจ่ายให้คนเดิม มาเป็นการเปิดใหม่โดยจ่ายให้คนใหม่เกิดขึ้นได้ด้วย จึงควรระวังในจุดนี้ไว้ด้วย เพราะถ้าฟังข่าวการปราบปรามด้วยการเอาผิดตำรวจ และเรียกเจ้าของบ่อนมาคาดโทษ คงไม่พอที่จะเป็นหลักประกันได้ว่า ต่อจากนี้กรุงเทพมหานครจะไม่มีบ่อนอีกต่อไป
ดังนั้นจึงใคร่ขอให้ ส.ส.ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ติดตามดูต่อว่า เมื่อบ่อนรายเก่าปิดไปแล้ว จะมีบ่อนรายใหม่ภายใต้ผู้เกื้อหนุนคนใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ และถ้าพบว่าเกิดขึ้นแล้วขอให้ดำเนินการในรูปแบบเดียวกันจะได้ไม่ถูกมองว่าสองมาตรฐาน และที่เสนอแนวคิดนี้ก็ด้วยเชื่อว่าการพนันจะไม่หมดไปโดยการแก้ไขด้วยกฎหมาย ตราบเท่าที่ผู้รักษากฎหมายยังบริหารกิเลสของตนเองให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม และคุณธรรมไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดในการปราบบ่อนของรองนายกฯ เฉลิมในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการทำให้ผู้คนในสังคมรู้ว่ามีบ่อนเถื่อนในกรุงเทพฯ และมีได้เพราะผู้รักษากฎหมายบางคนเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ควรจะมีมาตรการเสริมอย่างอื่น เช่น ห้ามคนไทยออกไปเล่นบ่อนเขมรที่พูดกันว่าเป็นบ่อนที่นักการเมืองไทยมีเอี่ยวอยู่ด้วย เพราะถ้าไม่มีมาตรการนี้ การจับบ่อนเมืองไทยก็เท่ากับช่วยให้บ่อนเขมรมีลูกค้าเพิ่มขึ้นนั่นเอง
อีกประการหนึ่งที่ไม่ควรลืมก็คือว่า การออกมาปราบปรามบ่อนจะเป็นการเปิดทางให้ค่าเรียกเก็บส่วยจากบ่อนแพงขึ้นกว่าเดิม และเป็นเหตุให้เจ้าของกิจการเปลี่ยนมือจากกลุ่มเดิมเป็นกลุ่มใหม่ได้ด้วย
ทั้งหมดที่เขียนมาก็เพื่อจะบอกว่า การปราบบ่อนดีแล้ว เพียงแต่ขอให้ทำตลอด ไม่ควรมีอะไรแอบแฝงและเป็นการเปิดโอกาสให้รายใหม่สวมตอรายเก่าก็จะดีมาก
จากวาทะดังกล่าว จะเห็นได้ว่าเจ้าของวาทะนี้ได้แยกการพนันออกเป็นสองแง่ คือ เป็นความหวัง และเป็นกีฬา โดยตัวผู้เล่นการพนันเป็นตัวแบ่งประเภท กล่าวคือ ถ้าเล่นการพนันเพื่อหวังชนะ และได้ผลตอบแทนจากการเป็นผู้ชนะ และมีดีใจ มีความสมหวังกับความชนะ ในทางกลับกัน ถ้าแพ้ เกิดความเสียใจและผิดหวัง ก็จัดเข้าประเภทคนจน
แต่ถ้าเล่นเพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ไม่เดือดร้อน ก็จัดเข้าประเภทคนรวย
ดังนั้น การพนันตามนัยนี้ ถึงแม้รูปแบบของการพนันจะเหมือนกัน แต่ผลที่ได้จากการเล่นต่างกัน และผลที่ต่างกันนี้เองคือปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิด ถ้าจะปราบบ่อนเถื่อนให้หมดไป หรือไม่หมดไปแต่ให้ผู้คนในสังคมได้รับผลกระทบจากการมีบ่อนน้อยที่สุดว่าจะทำอย่างไร?
จริงอยู่ การป้องกันมิให้มีการเปิดบ่อนได้อย่างเด็ดขาด 100 เปอร์เซ็นต์ คงทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลย ในทำนองเดียวกับการปราบโสเภณี แต่การป้องกันมิให้ผู้คนได้รับผลกระทบจากการมีบ่อนน่าจะกระทำได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
1. อนุญาตให้เปิดบ่อนโดยถูกต้องตามกฎหมายในเขตที่กำหนดไว้เป็นพิเศษ และมีการตรวจสอบควบคุมมิให้ผู้เล่นประเภทคนจนที่แพ้แล้วเดือดร้อน ทั้งแก่ตัวเองและครอบครัวเข้าไปเล่นในบ่อน
2. เปิดโอกาสให้คนที่ต้องเล่นเพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้นเข้าไปเล่นโดยได้รับความสะดวก และได้รับการคุ้มครองรักษาความปลอดภัย รวมไปถึงมีระบบการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐอย่างรอบคอบและรัดกุม
ถ้าทำได้ตามแนวทางนี้ ก็คงจะแก้ปัญหาการมีบ่อนเถื่อนดังที่เป็นอยู่ และเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้
อะไรทำให้บ่อนเถื่อนเกิดขึ้นและอยู่ได้โดยที่ผู้รักษากฎหมายไม่ดำเนินการจับกุมและลงโทษ ทั้งๆ ที่บ่อนที่ว่าตั้งอยู่ในชุมชนอย่างเปิดเผย และเป็นที่รู้กันของผู้คนรอบๆ ที่ตั้งของบ่อน?
เกี่ยวกับเรื่องนี้คำตอบคงหาได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องการจะหาคำตอบหรือไม่ และรู้แล้วแก้ปัญหาได้หรือไม่เท่านั้น ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. ทุกครั้งที่มีข่าวการปราบบ่อน จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องเกือบทุกครั้ง อย่างน้อยก็รู้เห็นเป็นใจในการปล่อยให้มีการเปิดบ่อน และได้รับผลประโยชน์ตอบแทน จึงทำให้บ่อนเกิดขึ้นและดำเนินการอยู่ได้
2. ในการเล่นการพนันทำได้ไม่ยาก เพียงแต่มีการนัดหมายและรวมตัวกันก็เปิดบ่อนได้แล้ว หรือที่เรียกว่า บ่อนวิ่ง บ่อนประเภทนี้ถึงแม้จะไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ดำเนินการได้ และปราบปรามยากด้วย
3. นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีอิทธิพลอื่นใดเข้าไปเกี่ยวข้องการเล่นการพนัน
อิทธิพลทางการเมือง รวมไปถึงอิทธิพลเถื่อนในรูปของนักเลงท้องถิ่นก็เปิดบ่อนได้ โดยที่ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปจัดการแจ้งความเพราะความกลัวภัยร้ายจะมาถึงตัวก็มีอยู่
ดังนั้น การแก้ปัญหาบ่อนการพนันด้วยการคาดโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงอย่างเดียว ดังที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำลังดำเนินการอยู่ คงจะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปไม่ได้ และที่น่ากลัวกว่านี้ การแก้ปัญหาในทำนองนี้อาจทำให้เกิดช่องทางการหาประโยชน์จากการมีบ่อนจากรูปแบบเดิม โดยการจ่ายให้คนเดิม มาเป็นการเปิดใหม่โดยจ่ายให้คนใหม่เกิดขึ้นได้ด้วย จึงควรระวังในจุดนี้ไว้ด้วย เพราะถ้าฟังข่าวการปราบปรามด้วยการเอาผิดตำรวจ และเรียกเจ้าของบ่อนมาคาดโทษ คงไม่พอที่จะเป็นหลักประกันได้ว่า ต่อจากนี้กรุงเทพมหานครจะไม่มีบ่อนอีกต่อไป
ดังนั้นจึงใคร่ขอให้ ส.ส.ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ติดตามดูต่อว่า เมื่อบ่อนรายเก่าปิดไปแล้ว จะมีบ่อนรายใหม่ภายใต้ผู้เกื้อหนุนคนใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ และถ้าพบว่าเกิดขึ้นแล้วขอให้ดำเนินการในรูปแบบเดียวกันจะได้ไม่ถูกมองว่าสองมาตรฐาน และที่เสนอแนวคิดนี้ก็ด้วยเชื่อว่าการพนันจะไม่หมดไปโดยการแก้ไขด้วยกฎหมาย ตราบเท่าที่ผู้รักษากฎหมายยังบริหารกิเลสของตนเองให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม และคุณธรรมไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดในการปราบบ่อนของรองนายกฯ เฉลิมในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการทำให้ผู้คนในสังคมรู้ว่ามีบ่อนเถื่อนในกรุงเทพฯ และมีได้เพราะผู้รักษากฎหมายบางคนเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ควรจะมีมาตรการเสริมอย่างอื่น เช่น ห้ามคนไทยออกไปเล่นบ่อนเขมรที่พูดกันว่าเป็นบ่อนที่นักการเมืองไทยมีเอี่ยวอยู่ด้วย เพราะถ้าไม่มีมาตรการนี้ การจับบ่อนเมืองไทยก็เท่ากับช่วยให้บ่อนเขมรมีลูกค้าเพิ่มขึ้นนั่นเอง
อีกประการหนึ่งที่ไม่ควรลืมก็คือว่า การออกมาปราบปรามบ่อนจะเป็นการเปิดทางให้ค่าเรียกเก็บส่วยจากบ่อนแพงขึ้นกว่าเดิม และเป็นเหตุให้เจ้าของกิจการเปลี่ยนมือจากกลุ่มเดิมเป็นกลุ่มใหม่ได้ด้วย
ทั้งหมดที่เขียนมาก็เพื่อจะบอกว่า การปราบบ่อนดีแล้ว เพียงแต่ขอให้ทำตลอด ไม่ควรมีอะไรแอบแฝงและเป็นการเปิดโอกาสให้รายใหม่สวมตอรายเก่าก็จะดีมาก