กลายเป็นอีกเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่วงการสื่อมวลชนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อปรากฎ “ฟอร์เวิร์ดเมล์” ที่มีถ้อยคำเนื้อหาข่มขู่คุกคามสื่อมวลชนรายหนึ่งอย่างชัดเจน โดยเชิญชวนให้จดจำใบหน้าของ “นักข่าวสาว” ผู้นั้น ตามมาด้วยข้อความ “...เห็นที่ไหนก็จัดให้หน่อยก็แล้วกันครับ”
ซึ่งคำว่า “จัดให้หน่อย” ที่ว่านี้ คงตีความหมายเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากการเชิญชวนให้มุ่งทำร้ายร่างกาย
เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่ทำงานวิชาชีพสื่อที่มักถูกข่มขู่จากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการนำเสนอข่าว หากแต่ในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับดังกล่าวนี้ ได้ระบุถึงสาเหตุของขบวนการไล่ล่าว่ามาจากผลงานที่ “นักข่าวสาว” ยิงคำถามจนทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องเดินหนีถึง 2 ครั้ง 2 ครา เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน จนเป็นข่าวครึกโครม และทำให้นายกฯหญิง ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนตามปกติจนถึงทุกวันนี้
ในจดหมายนั้น มีทั้งรูปภาพที่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน พร้อมระบุถึงชื่อเสียงเรียงนามจะๆ ด้วยสรรพนามจิกกัดว่า “...หล่อนคือ (ชื่อจริง)” และต้นสังกัดสถานีโทรทัศน์สี กองทัพบกช่อง 7 ไม่เว้นแม้แต่นามแฝง “มาตา วายุกานต์” ที่รู้กันเฉพาะในวงการเท่านั้น
กลายเป็นเรื่องความไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ “หมาเฝ้าบ้าน” อย่างนักข่าวภาคสนาม ที่ทำหน้าที่ตั้งคำถามกับ “ผู้นำประเทศ” เพื่อไขความกระจ่างถึงแนวนโยบายของรัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศหมาดๆ
**คำถามอย่าง “การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เพื่อนิรโทษกรรมคุณทักษิณ พี่ชายของตัวเองใช่หรือไม่ ?” หรือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร?” อาจจะทำให้ “นายกฯยิ่งลักษณ์” ขุ่นข้องหมองใจ ไม่พอใจผู้สื่อข่าวเป็นการส่วนตัวได้ แต่ก็ไม่ควรที่จะปล่อยให้ “แฟนคลับ” ของตัวเองในนาม “คนเสื้อแดง” มามีพฤติการณ์ข่มขู่คุกคามนักข่าวเช่นนี้
เพราะจากรายงานข่าวระบุ ข้อความที่ปรากฏในอีเมลล์นี้ ได้กระจายอยู่ในเวบไซต์เครือข่ายของคนเสื้อแดงในวงกว้าง อีกทั้งเมื่อสาวลึกไปถึง “ต้นตอ” ของจดหมายลูกโซ่ในสังคมออนไลน์ ก็พบว่า ระบุชื่อผู้ส่งคือ พรทิพย์ ปักษานนท์ ซึ่งชื่อตรงโดยบังเอิญกับ “ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง จ.เพชรบุรี ”
จึงกลายประเด็น “ร้อนฉ่า” ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ในฐานะ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ต้องเข้ามามีบทบาทแสดง “จุดยืน” หรือเข้ามาจัดการโดยด่วน แต่เมื่อถูกตั้งคำถามในเรื่องนี้ก็ได้เพียงตอบตามสไตล์เดิม โดย “เลี่ยงบาลี” ว่า จะติดตามสอบถามรายละเอียด พร้อมออกตัวว่า ส่วนตัวยินดีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเต็มที่ และคิดว่าสื่อแต่ละคน ก็ทำหน้าที่ของตัวเอง
ไม่ต่างจากกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงใช้ “กฎหมู่” รุมทำร้ายอดีตนักศึกษา ม.ราชภัฏ 2 คนที่บุกมาวางพวงหรีดประจานการทำหน้าที่เอนเอียงเข้าข้างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประธานรัฐสภา ในวันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา ทั้งที่เป็นการแสดงออกตามวิถีประชาธิปไตย ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ทำได้เพียง “โบ้ย” ให้เป็นหน้าที่ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่มีแนวโน้มจะได้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
ยังไม่รวมถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่หน้ารัฐสภาเช่นเดียวกัน ที่กลุ่มคนเสื้อแดงเกือบปะทะกับกลุ่มตัวแทนผู้รักสุนัขต่อต้านการค้าเนื้อสุนัข ที่มาเรียกร้องให้รัฐสภาเสนอร่างกฎหมายป้องกันการทารุณสัตว์ เนื่องจากมีการเข้าใจผิดว่า “กลุ่มคนรักสุนัข” ถูกส่งมาเพื่อก่อกวนการแถลงนโยบายของทางรัฐบาล และมีปากเสียงกัน ทำให้กลุ่มคนรักสุนัขย้ายสถานที่การชุมนุม และสลายตัวไปในที่สุด
** เมื่อไม่มีแอกชั่นใดๆ ออกมาก็ดูเหมือน “ผู้นำประเทศ” ปัดความรับผิดชอบต่อเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ทั้งที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก กุมอำนาจฝ่ายบริหาร และมีเสียงเกินครึ่งในสภาฯ เรียกว่าเป็นยุคที่มีอำนาจเบ่งบานเป็นอย่างมาก แต่ปล่อยให้มวลชนผู้สนับสนุนตัวเองบางกลุ่ม “เหิมเกริม” คิดว่ามีอำนาจคับประเทศ จนขาดสติและกระทำการอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง โดยที่ไม่คิดจะห้ามปรามแม้แต่น้อย
ซึ่งนอกจากจะต้องพิสูจน์ฝีมือในฐานะผู้กุมบังเหียนใน “รัฐนาวา” แล้ว ยังต้องพิสูจน์บทบาทในการควบคุมมวลชนผู้สนับสนุนตัวเองให้ได้ด้วย มิเช่นนั้นก็หนีไม่พ้นที่จะถูกปรามาสว่าเป็น “นายกฯตัวปลอม” ที่ถูกชักใยจากต่างประเทศ อีกทั้งยังถูกมวลชนคนเสื้อแดงรุกไล่ทวงบุญคุณอย่างไม่ไว้หน้า
ที่สำคัญใน “นโยบายเร่งด่วน” ที่รัฐบาลแถลงไว้กับรัฐสภา ก็ยังระบุถึงแนวทางการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ไว้ในข้อแรกอีกด้วย ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ ก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า “แก้ไข ไม่แก้แค้น” แต่เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ บรรยากาศของบ้านเมืองก็คงไปได้ด้วยดียากขึ้น เพราะแม้แต่สื่อมวลชนยังถูกคุกคามสิทธิเสรีภาพในการทำหน้าที่ขนาดนี้
**แล้วนับประสาอะไรกับประชาชนตาดำๆที่ไม่ได้สิ่งใดคุ้มกะลาหัวจะอยู่อย่างไร
เบื้องต้น “นักข่าวสาว” คงทำได้เพียงหันหน้าพึ่งผู้รักษากฎหมายบ้านเมืองอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามผู้กระผิดมาลงโทษตามกฎหมาย เพราะเนื้อความเข้าข่ายปองร้ายหมายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว
ส่วนรัฐบาลก็มีภาระหนักที่ต้องออกมาตรการควบคุมพฤติกรรมของ “คนเสื้อแดง” บางกลุ่มที่หลงใหลได้ปลื้มกับพรรคเพื่อไทย จนบางครั้งขาดสติ แล้วส่งผลเสียมาถึงรัฐบาล และผู้นำอย่างนายกฯยิ่งลักษณ์
**และอาจกลายเป็น “มะเร็งร้าย” ที่กัดกร่อนความมั่นคงของรัฐบาลลงทุกวันๆก็เป็นได้
ซึ่งคำว่า “จัดให้หน่อย” ที่ว่านี้ คงตีความหมายเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากการเชิญชวนให้มุ่งทำร้ายร่างกาย
เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่ทำงานวิชาชีพสื่อที่มักถูกข่มขู่จากผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการนำเสนอข่าว หากแต่ในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับดังกล่าวนี้ ได้ระบุถึงสาเหตุของขบวนการไล่ล่าว่ามาจากผลงานที่ “นักข่าวสาว” ยิงคำถามจนทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องเดินหนีถึง 2 ครั้ง 2 ครา เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน จนเป็นข่าวครึกโครม และทำให้นายกฯหญิง ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนตามปกติจนถึงทุกวันนี้
ในจดหมายนั้น มีทั้งรูปภาพที่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน พร้อมระบุถึงชื่อเสียงเรียงนามจะๆ ด้วยสรรพนามจิกกัดว่า “...หล่อนคือ (ชื่อจริง)” และต้นสังกัดสถานีโทรทัศน์สี กองทัพบกช่อง 7 ไม่เว้นแม้แต่นามแฝง “มาตา วายุกานต์” ที่รู้กันเฉพาะในวงการเท่านั้น
กลายเป็นเรื่องความไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ “หมาเฝ้าบ้าน” อย่างนักข่าวภาคสนาม ที่ทำหน้าที่ตั้งคำถามกับ “ผู้นำประเทศ” เพื่อไขความกระจ่างถึงแนวนโยบายของรัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศหมาดๆ
**คำถามอย่าง “การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เพื่อนิรโทษกรรมคุณทักษิณ พี่ชายของตัวเองใช่หรือไม่ ?” หรือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร?” อาจจะทำให้ “นายกฯยิ่งลักษณ์” ขุ่นข้องหมองใจ ไม่พอใจผู้สื่อข่าวเป็นการส่วนตัวได้ แต่ก็ไม่ควรที่จะปล่อยให้ “แฟนคลับ” ของตัวเองในนาม “คนเสื้อแดง” มามีพฤติการณ์ข่มขู่คุกคามนักข่าวเช่นนี้
เพราะจากรายงานข่าวระบุ ข้อความที่ปรากฏในอีเมลล์นี้ ได้กระจายอยู่ในเวบไซต์เครือข่ายของคนเสื้อแดงในวงกว้าง อีกทั้งเมื่อสาวลึกไปถึง “ต้นตอ” ของจดหมายลูกโซ่ในสังคมออนไลน์ ก็พบว่า ระบุชื่อผู้ส่งคือ พรทิพย์ ปักษานนท์ ซึ่งชื่อตรงโดยบังเอิญกับ “ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง จ.เพชรบุรี ”
จึงกลายประเด็น “ร้อนฉ่า” ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ในฐานะ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ต้องเข้ามามีบทบาทแสดง “จุดยืน” หรือเข้ามาจัดการโดยด่วน แต่เมื่อถูกตั้งคำถามในเรื่องนี้ก็ได้เพียงตอบตามสไตล์เดิม โดย “เลี่ยงบาลี” ว่า จะติดตามสอบถามรายละเอียด พร้อมออกตัวว่า ส่วนตัวยินดีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเต็มที่ และคิดว่าสื่อแต่ละคน ก็ทำหน้าที่ของตัวเอง
ไม่ต่างจากกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงใช้ “กฎหมู่” รุมทำร้ายอดีตนักศึกษา ม.ราชภัฏ 2 คนที่บุกมาวางพวงหรีดประจานการทำหน้าที่เอนเอียงเข้าข้างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประธานรัฐสภา ในวันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา ทั้งที่เป็นการแสดงออกตามวิถีประชาธิปไตย ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ทำได้เพียง “โบ้ย” ให้เป็นหน้าที่ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่มีแนวโน้มจะได้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
ยังไม่รวมถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่หน้ารัฐสภาเช่นเดียวกัน ที่กลุ่มคนเสื้อแดงเกือบปะทะกับกลุ่มตัวแทนผู้รักสุนัขต่อต้านการค้าเนื้อสุนัข ที่มาเรียกร้องให้รัฐสภาเสนอร่างกฎหมายป้องกันการทารุณสัตว์ เนื่องจากมีการเข้าใจผิดว่า “กลุ่มคนรักสุนัข” ถูกส่งมาเพื่อก่อกวนการแถลงนโยบายของทางรัฐบาล และมีปากเสียงกัน ทำให้กลุ่มคนรักสุนัขย้ายสถานที่การชุมนุม และสลายตัวไปในที่สุด
** เมื่อไม่มีแอกชั่นใดๆ ออกมาก็ดูเหมือน “ผู้นำประเทศ” ปัดความรับผิดชอบต่อเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ทั้งที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก กุมอำนาจฝ่ายบริหาร และมีเสียงเกินครึ่งในสภาฯ เรียกว่าเป็นยุคที่มีอำนาจเบ่งบานเป็นอย่างมาก แต่ปล่อยให้มวลชนผู้สนับสนุนตัวเองบางกลุ่ม “เหิมเกริม” คิดว่ามีอำนาจคับประเทศ จนขาดสติและกระทำการอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง โดยที่ไม่คิดจะห้ามปรามแม้แต่น้อย
ซึ่งนอกจากจะต้องพิสูจน์ฝีมือในฐานะผู้กุมบังเหียนใน “รัฐนาวา” แล้ว ยังต้องพิสูจน์บทบาทในการควบคุมมวลชนผู้สนับสนุนตัวเองให้ได้ด้วย มิเช่นนั้นก็หนีไม่พ้นที่จะถูกปรามาสว่าเป็น “นายกฯตัวปลอม” ที่ถูกชักใยจากต่างประเทศ อีกทั้งยังถูกมวลชนคนเสื้อแดงรุกไล่ทวงบุญคุณอย่างไม่ไว้หน้า
ที่สำคัญใน “นโยบายเร่งด่วน” ที่รัฐบาลแถลงไว้กับรัฐสภา ก็ยังระบุถึงแนวทางการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ไว้ในข้อแรกอีกด้วย ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์ ก็พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า “แก้ไข ไม่แก้แค้น” แต่เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ บรรยากาศของบ้านเมืองก็คงไปได้ด้วยดียากขึ้น เพราะแม้แต่สื่อมวลชนยังถูกคุกคามสิทธิเสรีภาพในการทำหน้าที่ขนาดนี้
**แล้วนับประสาอะไรกับประชาชนตาดำๆที่ไม่ได้สิ่งใดคุ้มกะลาหัวจะอยู่อย่างไร
เบื้องต้น “นักข่าวสาว” คงทำได้เพียงหันหน้าพึ่งผู้รักษากฎหมายบ้านเมืองอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามผู้กระผิดมาลงโทษตามกฎหมาย เพราะเนื้อความเข้าข่ายปองร้ายหมายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว
ส่วนรัฐบาลก็มีภาระหนักที่ต้องออกมาตรการควบคุมพฤติกรรมของ “คนเสื้อแดง” บางกลุ่มที่หลงใหลได้ปลื้มกับพรรคเพื่อไทย จนบางครั้งขาดสติ แล้วส่งผลเสียมาถึงรัฐบาล และผู้นำอย่างนายกฯยิ่งลักษณ์
**และอาจกลายเป็น “มะเร็งร้าย” ที่กัดกร่อนความมั่นคงของรัฐบาลลงทุกวันๆก็เป็นได้