นายครรชิต ควะชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ WORK เปิดเผยว่าบริษัทคาดว่ารายได้รวมปีนี้จะอยู่ที่ 1,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,353 ล้านบาท เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 1,019 ล้านบาท และทั้งปีคาดว่ามีกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท ขณะครึ่งปีแรกมีกำไรแล้ว 201 ล้านบาท
โดยบริษัทมีแผนจะผลิตรายการทีวีอีก 2 รายได้ จากปัจจุบันที่มี 15 รายการ จะส่งผลทำให้มีรายได้จากโฆษณาเพิ่ม และช่วงที่เหลือปีนี้บริษัทมีภาพยนต์ที่จะเข้าฉายอีก 2 เรื่อง และบริษัทมีรายได้จากการจัดกิจกรรมทางการตลาด และปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัวนิตยสารเกาหลี พร้อมกับเปิดสำนักพิมพ์ของตนเองชื่อกิมชิค และในเดือนตุลาคมนี้จะออกอากาศช่องทีวีดาวเทียมของตนด้วย
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ปีนี้แบ่งเป็นรายได้จากรายการทีวีอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกมีรายได้รวมแล้ว 740 ล้านบาทแบ่งเป็น รายได้จากการจัดกิจกรรมการตลาด ( อีเวนมาร์เกตติ้ง ) 200 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้ 137 ล้านบาท ส่วนรายได้จากสื่อสิ่งพิมพ์ 75 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้ 43 ล้านบาท และรายได้จากภาพยนตร์ 100 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 13.36 ล้านบาท จากภาพยนตร์ 2 เรื่อง
สำหรับ ทิศทางรายได้ช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากครึ่งแรกของปีนี้ได้รับผลดีจากการเลือกตั้งทำให้มีงบในการโฆษณาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น)ปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 16-17 % ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 24% ถือว่ามีสูงกว่าปี53 ที่อยู่ที่ 14%
นายครรชิตกล่าวว่า บริษัทยังคงมีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราเท่าเดิมที่ 70% ของกำไรสุทธิ ซึ่งเดือนกันยายนนี้บริษัทจะเสนอคณะกรรมการ(บอร์ด) บริษัทพิจารณาการจ่ายเงินปันผลระหว่างการสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 54 ซึ่งบริษัทยังคงจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้รวมปี 55 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1,800 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากธุรกิจทีวี 1,650 ล้านบาท และรายได้จากทีวีดาวเทียม 50 ล้านบาท รายได้จากสื่อสิ่งพิมพ์ 100 ล้านบาท รายได้จากอีเวนท์มาร์เกตติ้ง 200-250 ล้านบาท และรายได้จากภาพยนตร์ 120 ล้านบาท โดยคาดว่าอน็ตมาร์จิ้นปีหน้าจะอยู่ที่ 20%
สำหรับ ปัจจุบันบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนปริมาณหุ้นหมุนเวียน (ฟรีโฟลท) ของบริษัทเพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบันที่ 25% ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากบริษัทจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะต้องการให้มีนักลงทุนสามารถเข้ามาซื้อขายหุ้นของบริษัทได้สะดวกขึ้น และบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาอาจจะขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงให้กับพันธมิตรในการทำเข้ามาทำธุรกิจร่วมบริษัท หลังพบว่ามีผู้สนใจอยากจะลงทุน
โดยบริษัทมีแผนจะผลิตรายการทีวีอีก 2 รายได้ จากปัจจุบันที่มี 15 รายการ จะส่งผลทำให้มีรายได้จากโฆษณาเพิ่ม และช่วงที่เหลือปีนี้บริษัทมีภาพยนต์ที่จะเข้าฉายอีก 2 เรื่อง และบริษัทมีรายได้จากการจัดกิจกรรมทางการตลาด และปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัวนิตยสารเกาหลี พร้อมกับเปิดสำนักพิมพ์ของตนเองชื่อกิมชิค และในเดือนตุลาคมนี้จะออกอากาศช่องทีวีดาวเทียมของตนด้วย
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ปีนี้แบ่งเป็นรายได้จากรายการทีวีอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกมีรายได้รวมแล้ว 740 ล้านบาทแบ่งเป็น รายได้จากการจัดกิจกรรมการตลาด ( อีเวนมาร์เกตติ้ง ) 200 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้ 137 ล้านบาท ส่วนรายได้จากสื่อสิ่งพิมพ์ 75 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้ 43 ล้านบาท และรายได้จากภาพยนตร์ 100 ล้านบาท ครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 13.36 ล้านบาท จากภาพยนตร์ 2 เรื่อง
สำหรับ ทิศทางรายได้ช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากครึ่งแรกของปีนี้ได้รับผลดีจากการเลือกตั้งทำให้มีงบในการโฆษณาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น)ปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 16-17 % ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 24% ถือว่ามีสูงกว่าปี53 ที่อยู่ที่ 14%
นายครรชิตกล่าวว่า บริษัทยังคงมีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราเท่าเดิมที่ 70% ของกำไรสุทธิ ซึ่งเดือนกันยายนนี้บริษัทจะเสนอคณะกรรมการ(บอร์ด) บริษัทพิจารณาการจ่ายเงินปันผลระหว่างการสำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 54 ซึ่งบริษัทยังคงจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้รวมปี 55 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1,800 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากธุรกิจทีวี 1,650 ล้านบาท และรายได้จากทีวีดาวเทียม 50 ล้านบาท รายได้จากสื่อสิ่งพิมพ์ 100 ล้านบาท รายได้จากอีเวนท์มาร์เกตติ้ง 200-250 ล้านบาท และรายได้จากภาพยนตร์ 120 ล้านบาท โดยคาดว่าอน็ตมาร์จิ้นปีหน้าจะอยู่ที่ 20%
สำหรับ ปัจจุบันบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนปริมาณหุ้นหมุนเวียน (ฟรีโฟลท) ของบริษัทเพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบันที่ 25% ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากบริษัทจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะต้องการให้มีนักลงทุนสามารถเข้ามาซื้อขายหุ้นของบริษัทได้สะดวกขึ้น และบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาอาจจะขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงให้กับพันธมิตรในการทำเข้ามาทำธุรกิจร่วมบริษัท หลังพบว่ามีผู้สนใจอยากจะลงทุน