ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากการก้าวขึ้นสู่อำนาจของพรรคเพื่อไทยภายใต้การบัญชาการของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” พร้อมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ที่ชื่อ “บิ๊กอ๊อด-พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” ก็เป็นที่จับตาของสังคมว่า จะมีการแก้แค้น เอาคืนด้วยการย้ายล้างบาง หรือจะจบลงด้วยความปรองดอง สมานฉันท์ในกองทัพ
เพราะเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า ในช่วงที่ผ่านมากองทัพยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนายใหญ่ของคนเสื้อแดงอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกันก็เป็นการพิสูจน์อำนาจและบารมีของ 2 ป้อมค่ายคือ ค่ายอำมาตย์และค่ายไพร่ไปในคราเดียวกันด้วยว่า การศึกครั้งนี้ค่ายอำมาตย์ภายใต้การนำของ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และค่ายไพร่ภายใต้การนำของ นช.ทักษิณ ว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ
พล.อ.ยุทธศักดิ์ที่ปวารณาตัวว่าเป็น “ลูกป๋า” และสามารถเข้านอกออกในบ้านสี่เสาเทเวศร์ได้จะรับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมภายใต้ยุทธศาสตร์ปรองดองของ นช.ทักษิณจริง หรือเข้ามาเพื่อปัดกวาดชำระล้างศัตรูของ นช.ทักษิณ ก็จะได้รับการพิสูจน์กันในครั้งนี้
**เด้งดาว์พงษ์-ล้างบางบูรพาพยัคฆ์
ในที่สุดสงครามแห่งการประลองกำลังก็ได้เริ่มสำแดงให้เห็นในบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2554 เพราะโผจากเหล่าทัพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองบัญชาการกองทัพไทย และสำนักปลัดกระทรวงกลาโหมได้ส่งตรงถึงมือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และฉับพลันทันทีที่โผรายชื่อของทุกเหล่าทัพถูกเปิดเผยออกมา ขบวนการเคลื่อนไหวทั้งบนดินและใต้ดิน ทั้งในฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านก็เปิดศึกห้ำหั่นเข้าใส่กันอย่างไม่รอช้า
สำหรับเหล่าทัพ ซึ่งเป็นที่จับตามองในการโยกย้ายในครั้งนี้มากที่สุดเห็นจะมีเพียงแค่ 2 เหล่าทัพเท่านั้นคือ กองทัพบกภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน และกองทัพอากาศภายใต้การนำของ “บิ๊กเฟื่อง-พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์” ผู้บัญชาการกองทัพอากาศคนปัจจุบัน
ในส่วนของกองทัพบก แหล่งข่าวด้านความมั่นคงยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ทำบัญชีรายชื่อเสร็จก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี และยังคงเป็นโผเดิม แม้ว่าพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะไม่ได้กลับมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยซ้ำไป ทั้งนี้ เพื่อวัดใจคำมั่นสัญญาที่ได้มีการเจรจากันในทางลับ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบโผของกองทัพบก พบว่า ตำแหน่งสำคัญๆ ในกองทัพที่ พล.อ.ประยุทธ์เสนอมาล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในมือของพี่น้องผองเพื่อนในสายบูรพาพยัคฆ์แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะเพื่อน “เตรียมทหารรุ่น 12(ตท.12)”
กล่าวคือ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ จะขยับจากตำแหน่ง เสธ.ทบ.ขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการกองทัพบก(รอง ผบ.ทบ.) รวมทั้งดึง “บิ๊กเยิ้ม” พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 และ พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 เข้าสู่ไลน์ของ 5 เสือ ทบ.ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก(ผช.ผบ.ทบ.)
ส่วน พล.ท.โปฎก บุนนาค ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษ(ผบ.นสศ.) เพื่อนรักอีกคนหนึ่งที่เดิมจะเสนอให้รับตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ก็เปลี่ยนใจด้วยการดันให้ขึ้นไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. อัตราจอมพลแทน เนื่องจากเกรงว่าจะมีปัญหาจากรัฐบาล เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมากำลังของ พล.ท.โปฎกมีส่วนสำคัญและเป็นกำลังหลักในการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ขณะที่ตำแหน่งเสนาธิการทหารบกซึ่งเดิมเป็นของ พล.อ.ดาว์พงษ์นั้น รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเสนอให้ พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสนาธิการทหารบกขึ้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบกแทน
นอกจากนี้ ตำแหน่งที่ฮือฮาและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดตำแหน่งหนึ่ง เห็นจะหนีไม่พ้น “แม่ทัพน้อยภาคที่ 3” เพราะเที่ยวนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล้าหาญชาญชัยที่จะดัน “พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา” รองแม่ทัพภาคที่ 3 น้องชายแท้ๆ ร่วมสายโลหิตขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพน้อยภาคที่ 3 เพื่อจ่อคิวเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ในการคุมพื้นที่ภาคเหนือในปีถัดไป
ทั้งนี้ การดันน้องชายขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยภาคที่ 3 ในอัตรา พล.ท.นั้น ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ พล.ต.ปรีชาอีกครั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ด้วยการข้ามหัวรุ่นพี่แบบค้านสายตาคนในกองทัพมาแล้ว โดยขยับจาก รอง เสธ.ทภ.3 เป็น เสธ.ทภ.3 ก่อนที่จะเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม นอกจากตำแหน่งสำคัญข้างต้นแล้วก็ยังมีอีกหลายตำแหน่งที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน ได้แก่ พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เป็นประธานที่ปรึกษา ทบ.(อัตราจอมพล) พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ แม่ทัพน้อยที่ 2 เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ต.ชาญชัย ภู่ทอง รองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 2
จากโผที่ออกมา เป็นที่ชัดเจนว่า บิ๊กตู่ต้องการดันพรรคพวกเพื่อนฝูงจากบูรพาพยัคฆ์ รวมทั้งน้องชายของตนเอง ให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญๆ เพื่อเป็นฐานค้ำบัลลังก์และรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงแค่โผที่ยังไม่มีความชัดเจน และอาจจะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อทำลายการเติบโตของบูรพาพยัคฆ์ แต่นั่นก็ย่อมไม่เป็นที่พอใจของ “ฝ่ายแค้น” ที่นำโดย นช.ทักษิณและผองเพื่อนตท.10 เป็นอย่างมาก เพราะหากยอมตามโผที่ออกมา ความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและการกลับคืนสู่ประเทศไทยของเขาก็มีสิทธิเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
และก็เป็นที่ชัดเจนว่า ก่อนที่จะขีดเส้นใต้สุดท้าย ผู้มีบารมีตัวจริงแห่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เวลานี้กำลังหนีคดีอยู่ในต่างประเทศจะขอตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดอีกครั้ง
และก็เป็นที่ชัดเจนว่า นช.ทักษิณไม่พอใจที่ พล.อ.ประยุทธ์เสนอเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 รวมทั้งนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ของกองทัพบก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องการผลักดันให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ ซึ่ง นช.ทักษิณถือเป็นศัตรูคนสำคัญเพราะมีบทบาทสำคัญในการกระชับพื้นที่คนเสื้อแดงในเหตุการณ์ชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง ขึ้นดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก โดยมีการปล่อยข่าวออกมาว่าจะมีการขยับ พล.อ.ดาว์พงษ์ให้พ้นจากไลน์แห่งอำนาจ โดยเด้งให้ไปกินอัตราจอพลในตำแหน่งเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยแทน
เช่นเดียวกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ที่ไม่เห็นชอบในทุกเก้าอี้ ในทุกตำแหน่งที่ผู้บัญชาการทหารบกเสนอมา โดยจะต้องมีการแก้ไขเพื่อกระชับอำนาจของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า เมื่อครั้งที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์นั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น ก็ได้ชื่อว่าเป็น “มือล้วง” ให้กับนายใหญ่ชนิดที่มองตาก็รู้ใจ
เช่นเดียวกับบรรดาเตรียมทหาร 10 เพื่อนร่วมรุ่นของ นช.ทักษิณที่ออกมาเขย่าโผกันชนิดเปิดหน้าชก พร้อมทั้งด่ากราดและตีกันอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโผที่ออกมาทำท่าว่า ศัตรูหมายเลข 1 ของพวกเขาและคนเสื้อแดงคือ “บูรพาพยัคฆ์” กำลังจะเติบโตยกแผง
ทั้ง พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี พล.อ.อำนวย ถิรชุณหะ พล.ท.มะ โพธิ์งาม
“ผมรู้สึกผิดหวังกับโผที่ออกมา เพราะการดันบูรพาพยัคฆ์ขึ้นไปยกแผงแบบนี้ นั่นเท่ากับเป็นการปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล คิดว่ารัฐบาลคงไม่กล้าจะไปปรับเปลี่ยนในตำแหน่งใดแล้วหลังจากโผบัญชีรายชื่อถูกส่งมาถึงมือนายกรัฐมนตรี เพราะเราคงไม่สามารถไปทำอะไรได้ ในเมื่อรัฐบาลเป็นคนตัดสินใจแต่งตั้ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ขึ้นเป็น รมว.กลาโหมเสียเอง ก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นผู้จัดการเอง....การแต่งตั้งในลักษณะนี้มันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่กองทัพของประชาชน แต่จะเป็นกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มอำมาตย์”พล.อ.อำนวยระบายความแค้นเข้าใส่หลังผิดหวังจากการดัน พล.อ.อ.สุเมธขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
สุดท้าย เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ได้ตามที่ตนเองต้องการ ดังสัญญาณที่ถูกส่งออกมาจากปากของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ที่ระบุชัดเจนว่า “จะมีการกระจายอำนาจให้กับทุกกลุ่ม ทุกรุ่น ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้บอกแล้ว และเราก็คุยกันกับผู้บังคับหน่วย ซึ่งท่านบอกว่าอะไรไม่ดีต้องปรับให้ดีขึ้น โดยไม่ได้มองว่าแต่ละคนมาจากไหน แต่ดูที่ความรู้ความสามารถ ความอาวุโส ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และถ้าหากมีความใกล้ชิดผูกพันกัน คิดว่าความเป็นรุ่นไม่น่ามีปัญหา”
หรือหมายความว่า ภาพของบูรพาพยัคฆ์ที่ยึดกองทัพบกมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะหมดสิ้นไปโดยสิ้นชิง
**บิ๊กเฟื่องจ่อถูกเชือดพ้น ทอ. “บิ๊กติ๊ด” ดันอาวุโสลำดับ 8 นั่ง ผบ.ทร.
ขณะที่ในส่วนของกองทัพอากาศ แม้ “บิ๊กเฟื่อง-พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์” ผู้บัญชาการทหารอากาศคนปัจจุบันจะยังไม่เกษียณอายุราชการ แต่ก็มีคำยืนยันที่น่าเชื่อถือได้ว่า จะถูกเด้งออกจากเก้าอี้ตัวนี้ด้วยข้อหาเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของนายใหญ่คนเสื้อแดง จากผลงานอันเอกอุในการส่งเครื่องบินเอฟ 16 ไล่บี้เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ขณะบินเข้ามายังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
กระนั้นก็ดีก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ถ้า พล.อ.อ.อิทธพรถูกเด้งจริง ใครจะมาเป็น ผบ.ทอ.แทน
สำหรับตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ในกองทัพอากาศ ได้แก่ พล.อ.อ.วินัย เปล่งวิทยา ผบ.กรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ(คปอ.) ขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.ท.ชนะ อยู่สถาพร รอง ผบ.คปอ.เป็น ผบ.คปอ. พล.อ.ท.วุฒิชัย คชาชีวะ รองเสธ.ทอ.เป็น หน.ฝสธ.ประจำ ผบช.(อัตราพลเอก) พล.อ.ท.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ รองเสธ.ทอ.เป็น ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) พล.อ.ท.ระพีพัฒน์ หลาบเลิศบุญ ผบ.หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน(อย.) เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทอ.(อัตราพลเอก) พล.อ.ท.อารยะ งามประมวญ ผช.เสธ.ทอ ฝขว.เป็น รองเสธ.ทอ. พล.อ.ท.ธวัชชัย ถนัดใช้ปืน ผช.เสธ.ทอ.ฝกพ. เป็นรองเสธ.ทอ. พล.อ.ท.วิโรจน์ นิสยันต์ รอง ผบ.คปอ.เป็น ผบ.อย. เป็นต้น
ด้านกองทัพเรือเป็นกองทัพที่ดูจะมีปัญหาน้อยที่สุด เนื่องจาก “บิ๊กติ๊ด-พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ” ผู้บัญชาการกองทัพเรือคนปัจจุบัน ได้เสนอชื่อ “บิ๊กหรุ่น-พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์” ที่ปรึกษาพิเศษ ทร.ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือคนใหม่
นัยว่า เพื่อเป็นการสืบทอดภารกิจจัดซื้อเรือดำน้ำ???
ทั้งนี้ เป็นที่คาดหมายกันว่า ด้วยความเป็นเพื่อน ตท. 10 ของ นช.ทักษิณ และเคยปรากฏชื่อเป็นตัวเต็งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือก็คงจะไม่พลิกโผจากที่บิ๊กติ๊ดเสนออย่างแน่นอน
แต่คำถามใหญ่ที่ พล.ร.อ.กำธรจะต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจก็คือ เหตุผลในการเสนอชื่อ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ขึ้นสืบทอดอำนาจนั้นอยู่ที่ตรงไหน เพราะต้องไม่ลืมว่า เมื่อทอดสายตาไปตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธินั่งเก้านี้ตัวนี้ มิใช่มีเพียงแค่ พล.ร.อ.สุรศักดิ์เพียงคนเดียวเท่านั้น หากยังมีอีกหลายคนที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นใหญ่ในทัพเรือเช่นกัน
มิหนำซ้ำหากวัดความอาวุโสแล้ว ก็ปรากฏว่า พล.ร.อ.สุรศักดิ์ต่อแถวอยู่ในลำดับสุดท้ายคือลำดับที่ 8 เสียด้วยซ้ำไป
โดยทั้ง 8 คนเรียงลำดับตามอาวุโสได้ดังนี้ 1.พล.ร.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เชิดบุญเมือง(ตท.12) 2.พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม(ตท.12) 3.พล.ร.อ.รุ่งรัตน์ บุญรัตพันธุ์(ตท.11) 4.พล.ร.อ.วีรพล กิจสมบัติ(ตท.13) 5.พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ(ตท.12) 6.พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง(ตท.13) 7.พล.ร.อ.ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ(ตท.13) และ 8. พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์(ตท.13)
ดังนั้น กองทัพเรือที่ทำท่าว่าจะราบรื่น ก็อาจจะมีคลื่นใต้น้ำที่มีความรุนแรงไม่แพ้เหล่าทัพอื่นเช่นกัน เพราะในช่วงที่ผ่านมาปัญหาในการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพเรือก็ดูว่าจะมีปัญหา และเป็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูมาแล้ว และครั้งนี้ก็กำลังย่ำรอยเดิมอยู่เช่นกัน
ขณะที่ตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ที่ปรากฏตามโผว่า พล.ร.อ.กำธรเสนอขึ้นมา ได้แก่ พล.ร.อ.ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. เป็น รองผบ.ทร. พล.ร.อ.วีรพล กิจสมบัติ หน.คณะฝสธ.ประจำ ผบช. เป็น ประธานคณะที่ปรึกษา ทร.(อัตราจอมพล) พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. เป็น ผช.ผบ.ทร. พล.ร.ท.พลวัฒน์ สิโรดม รอง เสธ.ทร. เป็น เสธ.ทร. พล.ร.ท.ฆนัท ทองพูล ผบ.กองทัพเรือภาคที่ 1 เป็น ผบ.กองเรือยุทธการ พล.ร.ท.ชุมนุม อาจวงษ์ ผบ.กองทัพเรือภาคที่ 3 เป็น ผบ.ฐานทัพเรือสัตหีบ พล.ร.ท.จักรชัย ภู่เจริญยศ ผช.เสธ.ทร.ฝขว.เป็น รองเสธ.ทร. พล.ร.ท.ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร ผบ.ร.ร.นายเรือ เป็น รองเสธ.ทร. พล.ร.ต.สุรชัย สังขพงศ์ เสธ.กองเรือยุทธการ เป็น ผบ.กองทัพเรือภาคที่ 1 เป็นต้น
**ปลัดกห.-ผบ.ส.ส. บิ๊กอ๊อดดับฝันเด็กป๋าป้อม
อย่างไรก็ตาม นอกจากกองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศแล้ว ในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและกองบัญชาการกองทัพไทยก็มีโผโยกย้ายที่สร้างความฮือฮาและเป็นที่จับตามองไม่น้อยเช่นกัน
กล่าวคือในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น “บิ๊กหมู” พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบันซึ่งเป็นน้องรักของ “ป๋าป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ได้เสนอชื่อ “พล.อ.คณิต สาพิทักษ์” อดีตแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ปัจจุบันถูกเด้งเข้ากรุไปรับตำแหน่งประธานที่ปรึกษา กห.ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมแทนตนเอง
แต่ที่เด็ดที่สุดคือ ภายหลังการส่งโผให้กับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ พล.อ.กิตติพงษ์ก็ทำหนังสือไปราชการเกือบทั้งเดือน แถมยังไม่เข้าร่วมงานรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ด้วย
ข้อหานี้ถือว่าหนักหนาสาหัสพอสมควร ดังนั้น การก้าวขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.คณิตน่าจะไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เนื่องจากแว่วว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ได้สั่งให้มีการทบทวนตำแหน่งต่างๆ ในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดย “ตัวเต็ง” เบียดกันมาชนิดลมหายใจรดต้นคอมีอยู่ 2 นายพลคือ “บิ๊กอู๊ด-พล.อ.วิทวัส รัชตะนันทน์” รองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์เห็นดีเห็นงามให้นั่งตำแหน่งนี้ ส่วนอีก 1 นายพลคือ “พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์” เจ้ากรมเสมียนตรานั้น ถูกดันหลังโดย พล.อ.ประยุทธ์และผองเพื่อน ตท.12
แต่สุดท้ายแล้ว เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เก้าอี้ตัวนี้จะตกเป็นของ พล.อ.วิทวัสอย่างแน่นอน เพราะ พล.อ.ยุทธศักดิ์ได้เปรยกับ ผบ.เหล่าทัพชัดเจนแล้วว่า “ในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาดโหม ผมต้องเป็นคนเลือก เพราะต้องมาทำงานร่วมกับผม”
ด้านกองบัญชาการกองทัพไทย เก้าอี้ที่ร้อนแรงและกำลังขับเคี่ยวกันอย่างหนักก็คือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ที่จะว่างลงจากการเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กตุ้ย-พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์”
โดยเที่ยวนี้ตัว พล.อ.ทรงกิตติ อีกหนึ่งตัวเต็งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนรักของ นช.ทักษิณ ส่งชื่อ “บิ๊กเปี๊ยก-พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์”ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย(บก.ทท.) เตรียมทหารรุ่น 11 ให้รับตำแหน่ง ผบ.สส. เพื่อปิดทาง “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร” เสธ.ทหาร เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ส่งเข้าประกวด
ทั้งนี้ สาเหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์ดันสุดตัวให้ พล.อ.ธนะศักดิ์เป็น ผบ.สส.ก็เพราะมีอายุราชการถึงปี 2557 เท่ากับตนเอง เนื่องจากเกรงว่า ถ้าเก้าอี้ตัวอี้ตกเป็น พล.อ.เสถียร ก็จะเป็นช่องโหว่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ถูกย้ายฟ้าผ่าจากเก้าอี้ ผบ.ทบ.ไปเข้ากรุ ผบ.สส.ก็เป็นได้ เนื่องจาก พล.อ.เสถียรจะเกษียณอายุราชการในปี 2555
แน่นอน งานนี้ย่อมมีการเจรจาต่อรอง เพราะเป็นไปไม่ได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะสมหวังในทุกรายชื่อที่ผลักดัน รวมถึงเก้าอี้สำคัญอื่นๆ ในทุกเหล่าทัพ เพราะนี่ไม่ใช่แค่การแต่งตั้งโยกย้ายธรรมดา หากแต่เป็นเกมชิงบ้านชิงเมืองวัดอำนาจกันระหว่างอำมาตย์-ไพร่ว่าใครจะมีบารมีมากกว่ากัน ซึ่งสุดท้ายถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็จะต้องอาศัยการยกมือโหวตเพื่อเป็นการตัดสินตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบของกระทรวงกลาโหมที่ระบุว่า การโยกย้ายนายทหารระดับชั้นนายพลอยู่ภายใต้คณะกรรมการตามมาตรา 25 ซึ่งประกอบไปด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม
และเมื่อตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิยกมือแล้วก็จะเห็นว่า พลังของฝ่ายไพร่และฝ่ายอำมาตย์เวลานี้กำลังก้ำกึ่งกันยิ่งนัก
แต่จะอย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะชี้เป็นชี้ตายในท้ายที่สุดของทั้งสองฝ่ายก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ทั้งสิ้นว่า จะตัดสินใจเช่นไร
งานนี้ บอกได้คำเดียวว่าระทึกใจอย่างยิ่ง