xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

หยุดทำเพื่อแม้ว แก้ปัญหาปากท้อง โพลส่งสัญญาณเตือนถึงรัฐบาลปูแดง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับจากวันที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง จนทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ทั้งที่เพิ่งเข้ามาสู่สนามการเมืองด้วยเวลาเพียงไม่ถึง 2 เดือนด้วยซ้ำไป ถือเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองหน้าใหม่เลยทีเดียว

เรียกว่าการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศของเธอเรียกเสียงฮือฮาจากประชาชนไปพักใหญ่

และที่ประชาชนสนใจไม่แพ้กันก็เป็นนโยบายขายฝันอลังการทั้งหลายทั้งแหลที่ “ยิ่งลักษณ์” เคยประกาศระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้โดยง่ายเลยด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันความจริงที่รับรู้กันอย่างดีอีกก็คือการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาถึงจุดสูงสุดของชีวิตหาได้มาจากไหน หากแต่มาจากบุญเก่าของพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร ล้วนๆไม่มีอะไรเจือปน แถมการก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ยังมีข้อครหาเรื่องการมาปลดล็อกเพื่อช่วยพี่ชายหนีคดีเป็นยี่ห้ออีกต่างหาก

เรียกว่าทุกก้าวย่างของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับจากวันชนะเลือกตั้งจนมาถึงวันนี้ จึงถูกจับตาเป็นพิเศษจากทุกฝ่ายว่า ต้องการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ หรือเข้ามาเพื่อเห็นหุ่นเชิดให้กับพี่ชาย ตระกูล ตลอดรวมถึงพรรคพวกเพื่อนฝูงหรือไม่

ล่าสุด สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ “เรื่องความคิดเห็นของประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และความหวังต่อความปรองดองของคนในชาติ” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรปราการ พะเยา เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ นครพนม สกลนคร สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,193 ตัวอย่าง โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน

โดยในแต่ละข้อคำถามของผลสำรวจ เรียกว่าพุ่งเป้าเข้าไปแทงใจดำ ของรัฐบาลปูโคลนนิ่ง แทบทั้งสิ้น

เริ่มตั้งแต่คำถามที่ว่าเกรงว่าจะเกิดเหตุวุ่นวายรุนแรงขึ้นหลังการจุดประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาหรือไม่ โดยประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 52.7 เกรงว่าจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองรุนแรงขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 47.3 ไว้วางใจได้ว่า ไม่มีความวุ่นวายรุนแรงอะไรเกิดขึ้น

เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ พบว่า เกินครึ่งเล็กน้อยหรือร้อยละ 53.3 ไม่เห็นด้วย โดยร้อยละ 12.0 ไม่เห็นด้วยและจะชักชวนคนอื่นออกมาคัดค้าน และร้อยละ 41.3 ไม่เห็นด้วยแต่จะไม่ชักชวนคนอื่นออกมาคัดค้าน ในขณะที่ร้อยละ 46.7 เห็นด้วยโดยร้อยละ 11.0 เห็นด้วยและจะชักชวนคนอื่นออกมาเรียกร้องให้แก้ไข และร้อยละ 35.7 เห็นด้วยแต่จะไม่ชักชวนคนอื่นออกมาเรียกร้องอะไร

เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เป็นเรื่องเร่งด่วนต้องทำทันทีหรือเป็นเรื่องที่รอได้ ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.9 ระบุเป็นเรื่องที่รอได้ ไม่จำเป็นต้องทำทันทีตอนนี้ ในขณะที่ร้อยละ 23.1 ระบุเป็นเรื่องเร่งด่วนต้องทำทันที ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.1 เห็นว่าความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นความพยายามทำเพื่อผลประโยชน์ของคนบางคน บางกลุ่ม ในขณะที่ร้อยละ 44.9 เห็นว่า ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.1 เห็นว่าความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นความพยายามทำเพื่อผลประโยชน์ของคนบางคน บางกลุ่ม ในขณะที่ร้อยละ 44.9 เห็นว่า ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

จะไม่เรียกว่าแทงใจดำรัฐบาลที่ถูกข้อครหาว่าเป็นรัฐบาลเพื่อพี่ชายได้อย่างไร เพราะเมื่อแยกเป็นข้อๆ แล้ว ก็จะเห็นภาพสะท้อนชัดเจนอย่างยิ่งในหลายกรณี เช่น ส่วนใหญ่เกินกว่าครึ่งคือ 52.7 เห็นว่าความรุนแรงทางการเมืองจะเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเป็นอันที่รับทราบกันเป็นอย่างดีถึงเป้าประสงค์สูงสุดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เพื่อภารกิจปลดล็อกให้ นายใหญ่ นช.ทักษิณ ชินวัตรให้หลุดพ้นบ่วงของคดีทั้งหลาย

และหนทางเดียวที่จะทำให้ความผิดยกพวงของนายใหญ่มลายหายไปได้ก็คือต้องรื้อ รัฐธรรมนูญปี 2550 เท่านั้น แน่นอนว่าหากพรรคเพื่อไทยเหิมเกริมทำเช่นนั้นจริงสักวันก็ต้องมีประชาชนผู้รักความถูกต้องออกมาเดินขบวนประท้วง อย่างเช่นที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคยออกมาขับไล่รัฐบาลนอมินี ของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาแล้ว

ที่สำคัญก็คือปัจจุบันประชาชนทั่วไปก็ย่อมทราบดีแล้วว่า รัฐบาลโคลนนิ่ง ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีเกราะกำบังทางการเมืองก็คือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่พร้อมจะหันซ้ายหันขวา ตามที่แกนนำเสื้อแดงในฐานะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กำหนดเกมให้เดินอยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถึงที่สุดแล้วอาจเกิดการปะทะกันรุนแรงระหว่างประชาชนที่คัดค้านกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกครอบงำมาให้เป็นเกราะป้องกันรัฐบาลปูแดง เรียกว่าความรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหากรัฐบาลดึงดันที่จะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวสารการเมืองที่ได้รับในเวลานี้ พบว่า ร้อยละ 40.9 ระบุรัฐบาลกำลังมุ่งช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร มากเกินไป ร้อยละ 24.9 ระบุรัฐบาลกำลังมุ่งช่วยเหลือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ร้อยละ 19.7 ระบุรัฐบาลกำลังมุ่งมั่นทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง และร้อยละ 14.5 ระบุรัฐบาลกำลังทำให้ประชาชนผิดหวังไปจากช่วงหาเสียงเพื่อชนะการเลือกตั้ง

ที่ชัดเจนที่สุดก็คือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.8 ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจของประชาชนมากกว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่เพียงร้อยละ 2.1 ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญมากกว่า และร้อยละ 18.1 ให้เร่งทำควบคู่กันไป

อาจกล่าวได้ว่า ผลโพลที่ออกมาก็หาได้คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำ เพราะในขณะที่รัฐบาลปูแดง ยังไม่ได้แถลงนโยบายอย่างเป็นทางการว่าจะทำสิ่งใดให้กับประเทศชาติ หางก็มาโผล่เอาเสียดื้อเข้าเสียแล้ว เพราะนอกจากประชาชนตาดำๆยังไม่ได้รับประโยชน์อันใดกับการตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทยให้เข้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศ สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์โชว์ผลงานชิ้นโบแดง ไปสดๆ ร้อนๆ ก็คือการดันก้นม้าใช้ อย่างนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ท่ามกลางเสียงยี้ดังระงมจากทุกฝ่าย มิหนำซ้ำยังโชว์ผลงานเสียโดยเร็วเพื่อตอบแทนให้ความจงรักภักดีต่อนายใหญ่ ด้วยการออกวีซ่า ให้ทักษิณ ชินวัตร ที่ติดคดีทุจริตคอรัปชั่นที่ก่อไว้กับประเทศไทยอีกบานตะไท เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นแบบสบายใจเฉิบ

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น กระทรวงการคลังและกรมสรรพากร ก็ยังโชว์ผลงานงามหน้าด้วยการตัดสินใจคืนเงินภาษีที่อายัดไว้จำนวน 12,000 ล้านบาทให้กับ นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร โดยที่ไม่อุทธรณ์อีกด้วยซ้ำ มันก็ช่างประจวบเหมาะเสียนี่กระไรกับการเข้ามาเป็นรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคพวกนายใหญ่ ที่ยิ่งตอกย้ำให้เห็นชัดถึงภารกิจทวงคืนทรัพย์สินของตัวเองคืนให้ชัดเจนเข้าไปอีก

อย่างไรก็ดี ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือกว่าร้อยละ 79.8 ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่มากที่สุดของผลสำรวจ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจของประชาชนมากกว่าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ถามว่าหากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญประชาชนคนใดจะเดือดร้อนมากขึ้นหรือไม่ แน่นอนคงไม่มีประชาชนคนใดเดือดเนื้อร้อนใจ เท่ากับ นช.ทักษิณ ชินวัตรเป็นแน่แท้ ซึ่งหากรัฐบาลยิ่งลักษณ์กวาดตามองปัญหาของประชาชนก็คงพอจะเข้าใจว่า ทำไมประชาชนถึงเร่งให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นวาระเร่งด่วนที่สุด เพราะในขณะนี้ราคาสินค้าที่กระทบต่อความเดือดร้อนต่อปากท้องของประชาชนอย่างเนื้อหมู ก็ปาเข้าไปตกที่กิโลกรัมละเกือบ 200 บาทเข้าไปแล้ว ไม่นับรวมราคาไก่ ก็เกือบไปแตะที่กิโลกรัมละ 100บาทเข้าไปทุกที ซึ่งรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ คงจะต้องสำเหนียกอย่างหนึ่งว่าการที่ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลก็เพราะว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถแก้ปัญหาสินค้าแพงได้เป็นชิ้นเป็นอัน และความหวังของประชาชนก็คือการที่ได้เห็นรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวให้หมดสิ้นไป

นอกจากนี้ คำถามที่จี๊ดโดนใจอีกก็คือเมื่อถามถึงการวางบทบาทของทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้พบว่าร้อยละ 68.9 ระบุ ควรนิ่ง ปล่อยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจด้วยตนเอง

แปลไทยเป็นไทยก็คือ ประชาชนก็เริ่มจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของยิ่งลักษณ์ ว่าเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดแทนทักษิณ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะรัฐมนตรี โดยล่าสุดทักษิณ ก็ยังหลุดปากเองบอกว่ามีส่วนช่วยตั้ง ครม.เสียด้วยซ้ำ

แต่ที่ต้องโฟกัสก็คงเป็นที่ประชาชนอยากจะเห็นภาวะผู้นำที่แท้จริงจากยิ่งลักษณ์ เสียมากกว่า เพราะที่เห็นกันตำตาประชาก็คือ หากเจอคำถามที่เกี่ยวกับการบริหารประเทศซึ่งถ้ายากเกินความสามารถที่จะตอบเธอก็จะเดินหนีเอาดื้อๆ เช่นนี้แล้วจึงอย่าได้แปลกใจหากประชาชนอยากจะเห็นฝีมือของยิ่งลักษณ์ด้วยตัวเอง ที่ปราศจากการช่วยเหลือต่างๆ ของทีมงานของพี่ชายที่รายล้อมตัว

อย่างไรก็ตาม จากผลโพลที่สะท้อนออกมาก็ทำให้เห็นชัดว่า แสดงว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้ทันนักการเมืองมากขึ้น เพราะแต่ละพฤติกรรมของรัฐบาลก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานและประชาชนก็ถือว่ามีการติดตามข่าวสารการเมืองอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ประชาชนเริ่มที่จะกระตุ้นเตือนสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกไม่ควร ที่สำคัญก็คือความเห็นของประชาชนที่แสดงออกผ่านการสำรวจของสำนักโพลต่างๆ คงจะเป็นเสียงเตือนรัฐบาลให้เร่งทำสิ่งที่สัญญาไว้กับประชาชน เพราะหากมัวแต่ลุแก่อำนาจ ไม่เห็นหัวประชาชนแล้ว อายุรัฐบาลอาจสั้นกว่าเวลาอันควร
ทักษิณ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น