เรกูเลเตอร์ส่งสัญญาณค่าเอฟทีงวดใหม่ส่อแววปรับลด ขณะที่นโยบายลดเงินส่งกองทุนน้ำมันฯฉุดราคาดีเซล-เบนซิน 91-95 ลดฮวบ 3-8 บาทต่อลิตรเป็นเวลา 6 เดือน ชงกพช. 26 ส.ค. โดยให้กองทุนฯบริหารเงินไปก่อน ธ.ค.ค่อยมาดูว่าจะกู้หรือไม่
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)หรือเรกูเลเตอร์ เปิดเผยถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ เอฟทีงวดใหม่(กันยายน-ธันวาคม 2554 ) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาต้นทุนเชื้อเพลิงและปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะค่าเงินบาท เบื้องต้นมีแนวโน้มเอฟทีจะไม่ปรับขึ้น แต่จะปรับลดลงได้มากน้อยเพียงใดจะขอดูรายละเอียดต่างๆ อีกครั้งคาดว่าสัปดาห์หน้าคงได้ข้อสรุป
อย่างไรก็ตาม นโยบายการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือนฟรีที่ผ่านมากำหนดเป็นมาตรการถาวรโดยมีภาระคิดเป็นค่าเอฟที 12 สตางค์ต่อหน่วยได้เกลี่ยให้ผู้ใช้ทุกประเภทโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม เว้นผู้ใช้ไฟบ้านอยู่อาศัย กิจการขนาดเล็กและการสูบน้ำเพื่อการเกษตร แต่เพื่อลดผลกระทบจึงได้นำเงินจากการปรับลดการลงทุนที่ต่ำกว่าแผนของ 3 การไฟฟ้า(Claw Back) มาช่วยเหลือลดค่าเอฟที 6 สตางค์ต่อหน่วยให้กับทุกประเภทผู้ใช้ไฟ ดังนั้นค่าไฟรอบใหม่คงจะยึดกรอบนี้ไปก่อนจนกว่ารัฐบาลจะมีนโยบายเปลี่ยนแปลง
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้เตรียมข้อมูลเพื่อเสนอนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อหารือในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานวันที่ 26 ส.ค.นี้โดยเฉพาะเกี่ยวกับการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภาพรวมโดยเร่งด่วนคือการลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 3 ชนิดได้แก่ เบนซิน 91 เบนซิน 95 และดีเซลที่ขณะนี้จัดเก็บอยู่ 6.70 บาทต่อลิตร 7.54 บาทต่อลิตรและดีเซล 2.80 บาทต่อลิตรซึ่งคาดว่าจะมีผล 1 ก.ย.โดยจะดำเนินการในระยะ 6 เดือน
“ เงินกองทุนน้ำมันฯทางบัญชีมีอยู่ราว 1.5 หมื่นล้านบาทก็ให้บริหารไปก่อนแล้วเดือนธ.ค.จึงจะมาดูว่าจะกู้หรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกันก็อาจเลือกการตรึงราคาแอลพีจีภาคขนส่งและเอ็นจีวีไปก่อนแต่ระยะเวลายังไม่กำหนดตายตัว” แหล่งข่าวกล่าว
*** บางจากหวั่นยอดขายแก๊สโซฮอล์หด
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงนโยบายการยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชั่วคราวว่า คงต้องติดตามว่าจะส่งผลให้ประชาชนหันมาเติมน้ำมันเบนซินมากกว่า แก๊สโซฮอล์มากขึ้นเพียงใด เพราะส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน 91 แพงกว่าแก๊สโซฮอล์เพียง 23 สตางค์ หากทำให้จำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ลดลงมากกว่า 20% จะมีการพิจารณาในการกลับมาจำหน่ายน้ำมัน เบนซิน 91 เพิ่มขึ้น จากเดิมมีแผนที่จะยกเลิกการจำหน่ายทั้งหมดในช่วงต้นปี 2555
นอกจากนี้ การยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อาจส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นด้วย หากยอดจำหน่ายลดลง ทำให้มีปริมาณน้ำมันล้นโรงกลั่น อาจต้องหันไปส่งออกน้ำมัน และกระทบต่อยอดขายบ้าง แต่ไม่กระทบรายได้ของบางจากทั้งปี
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)หรือเรกูเลเตอร์ เปิดเผยถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ เอฟทีงวดใหม่(กันยายน-ธันวาคม 2554 ) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาต้นทุนเชื้อเพลิงและปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะค่าเงินบาท เบื้องต้นมีแนวโน้มเอฟทีจะไม่ปรับขึ้น แต่จะปรับลดลงได้มากน้อยเพียงใดจะขอดูรายละเอียดต่างๆ อีกครั้งคาดว่าสัปดาห์หน้าคงได้ข้อสรุป
อย่างไรก็ตาม นโยบายการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือนฟรีที่ผ่านมากำหนดเป็นมาตรการถาวรโดยมีภาระคิดเป็นค่าเอฟที 12 สตางค์ต่อหน่วยได้เกลี่ยให้ผู้ใช้ทุกประเภทโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม เว้นผู้ใช้ไฟบ้านอยู่อาศัย กิจการขนาดเล็กและการสูบน้ำเพื่อการเกษตร แต่เพื่อลดผลกระทบจึงได้นำเงินจากการปรับลดการลงทุนที่ต่ำกว่าแผนของ 3 การไฟฟ้า(Claw Back) มาช่วยเหลือลดค่าเอฟที 6 สตางค์ต่อหน่วยให้กับทุกประเภทผู้ใช้ไฟ ดังนั้นค่าไฟรอบใหม่คงจะยึดกรอบนี้ไปก่อนจนกว่ารัฐบาลจะมีนโยบายเปลี่ยนแปลง
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้เตรียมข้อมูลเพื่อเสนอนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อหารือในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานวันที่ 26 ส.ค.นี้โดยเฉพาะเกี่ยวกับการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภาพรวมโดยเร่งด่วนคือการลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 3 ชนิดได้แก่ เบนซิน 91 เบนซิน 95 และดีเซลที่ขณะนี้จัดเก็บอยู่ 6.70 บาทต่อลิตร 7.54 บาทต่อลิตรและดีเซล 2.80 บาทต่อลิตรซึ่งคาดว่าจะมีผล 1 ก.ย.โดยจะดำเนินการในระยะ 6 เดือน
“ เงินกองทุนน้ำมันฯทางบัญชีมีอยู่ราว 1.5 หมื่นล้านบาทก็ให้บริหารไปก่อนแล้วเดือนธ.ค.จึงจะมาดูว่าจะกู้หรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกันก็อาจเลือกการตรึงราคาแอลพีจีภาคขนส่งและเอ็นจีวีไปก่อนแต่ระยะเวลายังไม่กำหนดตายตัว” แหล่งข่าวกล่าว
*** บางจากหวั่นยอดขายแก๊สโซฮอล์หด
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงนโยบายการยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชั่วคราวว่า คงต้องติดตามว่าจะส่งผลให้ประชาชนหันมาเติมน้ำมันเบนซินมากกว่า แก๊สโซฮอล์มากขึ้นเพียงใด เพราะส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน 91 แพงกว่าแก๊สโซฮอล์เพียง 23 สตางค์ หากทำให้จำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ลดลงมากกว่า 20% จะมีการพิจารณาในการกลับมาจำหน่ายน้ำมัน เบนซิน 91 เพิ่มขึ้น จากเดิมมีแผนที่จะยกเลิกการจำหน่ายทั้งหมดในช่วงต้นปี 2555
นอกจากนี้ การยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อาจส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นด้วย หากยอดจำหน่ายลดลง ทำให้มีปริมาณน้ำมันล้นโรงกลั่น อาจต้องหันไปส่งออกน้ำมัน และกระทบต่อยอดขายบ้าง แต่ไม่กระทบรายได้ของบางจากทั้งปี