ASTVผู้จัดการรายวัน – เอ็น.ซี.คาดไตรมาส 4 ราคาบ้านปรับขึ้นแน่ 5- 7% ตามต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ระบุหากปล่อยเงินเฟ้อขึ้นต่อเนื่อง ดันราคาอสังหาฯปรับตาม เชื่อ
ครึ่งปีหลังแนวโน้มตลาดเติบโต เตรียมเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 3,200 ล้านบาทรับกำลังซื้อ คาดทั้งปีกวาดยอดขาย 3,000 ล้านบาท
นายแพทย์สมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีแรก 54 ที่ผ่านมาว่า บริษัทฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ล้วนมีผลประกอบการที่ดี มีอัตราการเติบโตกว่าปี 53 ถึงกว่า 10% ขณะเดียวกันบริษัทฯอสังหาฯรายกลาง-เล็ก ก็มียอดขายที่ดีด้วยเช่นกัน เพราะมาตรการของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็ช่วยส่งเสริมดี เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง54 นี้น่าจะมีแนวโน้มโตขึ้นกว่าเดิม นักลงทุนชาวต่างชาติที่เคยชะลอตัวไปก็จะกลับมาลงทุนมากขึ้น แต่ยอมรับว่ายอดรับรู้รายได้อาจไม่เติบโตทุกรายเพราะเกณฑ์การรับรู้รายได้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก คาดว่าในไตรมาส 4 ปีนี้ผู้ประกอบการธุรกิจบ้านจัดสรรน่าจะมีการปรับราคาบ้านอีกประมาณ 5-7% ซึ่งในส่วนของบริษัทนั้นคาดว่าน่าจะปรับเพิ่มอีกประมาณ 7% เช่นกัน เนื่องจากวัสดุก่อสร้างมีการปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะราคาเหล็กเส้นที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่กก.ละ 22 บาท จากเดิมราคากก.ละ 10 บาทเท่านั้น และมีแนวโน้มว่าในช่วงปลายปีราคาเหล็กเส้นน่าจะมาอยู่ที่กก.ละกว่า 30 บาท ส่วนคอนกรีตผสมเสร็จราคาก็ปรับเพิ่มไปมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นอกจากราคาบ้านจะปรับสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว หากรัฐยังปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน พิจารณาจากในอดีตสมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี อัตราเงินเฟ้อปรับสูง จนส่งผลให้ราคาอสังหาฯในช่วงนั้นราคาถีบตัวสูงขึ้นไปค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า ยอดรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท สูงกว่าครึ่งปีแรกที่มียอดรับรู้รายได้ 752 ล้านบาท และทั้งปีคาดว่าจะมียออดรับรู้รายได้ 1,700 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนตามเป้าหมาย เนื่องจากบริษัทมีบ้านพร้อมโอนมูลค่า 500 ล้านบาทที่ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความนิยม และยังมียอดขายรอโอน(backlog)อีก 500 ล้านบาท
ส่วนยอดขายคาดว่ามีโอกาสที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายไปที่ 3,000 ล้านบาทในปีนี้ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 2,400 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมียอดขายแล้ว 1,680 ล้านบาท เนื่องจากมาตรการของรัฐบาลใหม่ที่จะนำออกมาใช้ โดยเฉพาะเงินกู้บ้านหลังแรก 0% 5 ปี จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้านมากขึ้น
สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 3,200 ล้านบาท โดยเป็นโครงการบ้านเดี่ยวทั้งหมด ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทมีโครงการเหลือขายในมือรวม 10 โครงการมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นสินค้าต่ำกว่า 5 ล้าน 50% และที่เหลือเป็นสินค้าราคาเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนสินค้าที่ขายได้ในปัจจุบันพบว่า 55% เป็นสินค้าต่ำกว่า 5 ล้านบาท ส่วนสินค้าราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปขายในสัดส่วน 45%.
ครึ่งปีหลังแนวโน้มตลาดเติบโต เตรียมเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 3,200 ล้านบาทรับกำลังซื้อ คาดทั้งปีกวาดยอดขาย 3,000 ล้านบาท
นายแพทย์สมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีแรก 54 ที่ผ่านมาว่า บริษัทฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ล้วนมีผลประกอบการที่ดี มีอัตราการเติบโตกว่าปี 53 ถึงกว่า 10% ขณะเดียวกันบริษัทฯอสังหาฯรายกลาง-เล็ก ก็มียอดขายที่ดีด้วยเช่นกัน เพราะมาตรการของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็ช่วยส่งเสริมดี เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง54 นี้น่าจะมีแนวโน้มโตขึ้นกว่าเดิม นักลงทุนชาวต่างชาติที่เคยชะลอตัวไปก็จะกลับมาลงทุนมากขึ้น แต่ยอมรับว่ายอดรับรู้รายได้อาจไม่เติบโตทุกรายเพราะเกณฑ์การรับรู้รายได้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก คาดว่าในไตรมาส 4 ปีนี้ผู้ประกอบการธุรกิจบ้านจัดสรรน่าจะมีการปรับราคาบ้านอีกประมาณ 5-7% ซึ่งในส่วนของบริษัทนั้นคาดว่าน่าจะปรับเพิ่มอีกประมาณ 7% เช่นกัน เนื่องจากวัสดุก่อสร้างมีการปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะราคาเหล็กเส้นที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่กก.ละ 22 บาท จากเดิมราคากก.ละ 10 บาทเท่านั้น และมีแนวโน้มว่าในช่วงปลายปีราคาเหล็กเส้นน่าจะมาอยู่ที่กก.ละกว่า 30 บาท ส่วนคอนกรีตผสมเสร็จราคาก็ปรับเพิ่มไปมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นอกจากราคาบ้านจะปรับสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว หากรัฐยังปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน พิจารณาจากในอดีตสมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี อัตราเงินเฟ้อปรับสูง จนส่งผลให้ราคาอสังหาฯในช่วงนั้นราคาถีบตัวสูงขึ้นไปค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า ยอดรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท สูงกว่าครึ่งปีแรกที่มียอดรับรู้รายได้ 752 ล้านบาท และทั้งปีคาดว่าจะมียออดรับรู้รายได้ 1,700 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนตามเป้าหมาย เนื่องจากบริษัทมีบ้านพร้อมโอนมูลค่า 500 ล้านบาทที่ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความนิยม และยังมียอดขายรอโอน(backlog)อีก 500 ล้านบาท
ส่วนยอดขายคาดว่ามีโอกาสที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายไปที่ 3,000 ล้านบาทในปีนี้ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 2,400 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมียอดขายแล้ว 1,680 ล้านบาท เนื่องจากมาตรการของรัฐบาลใหม่ที่จะนำออกมาใช้ โดยเฉพาะเงินกู้บ้านหลังแรก 0% 5 ปี จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบ้านมากขึ้น
สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 3,200 ล้านบาท โดยเป็นโครงการบ้านเดี่ยวทั้งหมด ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทมีโครงการเหลือขายในมือรวม 10 โครงการมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นสินค้าต่ำกว่า 5 ล้าน 50% และที่เหลือเป็นสินค้าราคาเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนสินค้าที่ขายได้ในปัจจุบันพบว่า 55% เป็นสินค้าต่ำกว่า 5 ล้านบาท ส่วนสินค้าราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปขายในสัดส่วน 45%.