ASTVผู้จัดการรายวัน - "เอเจนซี่" ชี้นโยบายที่อยู่อาศัยของรัฐบาลยังไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ย้ำมาตรการควรใช้ในช่วงวิกฤต แนะจำกัดราคาบ้านหลังแรกที่จะซื้อเป็นเงิน 1-1.5 ล้านบาท ขณะที่การกำหนดรายได้ของผู้ซื้อต้องไม่เกิน 15,000-25,000 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ต้องรวมหรือเน้นเฉพาะบ้านมือสองเป็นสำคัญ
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ (AREA)กล่าวว่า ความเห็นต่อนโยบายบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% นาน5ปี ของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งระบุว่ายกเว้นดอกเบี้ยให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปีแรกนั้น นโยบายดังกล่าวสมควรได้รับการทบทวนอีกครั้ง
ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดอสังหาในปัจจุบัน ยังเป็นช่วงขาขึ้น “ ซื้อง่ายขายคล่อง ” จึงไม่มีความจำเป็นต้องสนับสนุนการซื้อบ้านหลังแรกในขณะนี้ นอกจากนี้ผลการประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบริษัทมหาชน ซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดที่อยู่อาศัยราว 2 ใน 3 หรือกว่า 70% ยังมีการขยายตัวและกำไรเติบโตในทิศทางที่ดีตามปกติ ซึ่งการสนับสนุนตลาดอสังหาฯ ด้วยมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในขณะนี้จะเป็นประโยชน์เฉพาะผู้ที่จะซื้อบ้านในช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ก็จะกลายเป็นเพียงผู้โชคดี ที่ได้รับรางวัลจากรัฐบาล ในห้วงเวลาที่ผู้บริโภคยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ
สำหรับราคาบ้านที่กำหนดไว้ไม่เกิน 3 ล้านบาทนั้น ถือเป็นเพดานที่สูงเกินไป ผู้ที่สามารถซื้อบ้านในราคา 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่ต้องมีรายได้ต่อครัวเรือน 60,000 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อยที่รัฐบาลต้องให้การสนับสนุน ในการซื้อบ้านหลังแรก ดังนั้น หากจะช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรกโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ควรได้รับการช่วยเหลือ ควรกำหนดราคาไว้ไม่เกิน 1-1.5 ล้านบาท
นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดรายได้ของผู้ซื้อบ้านหลังแรกด้วย ไม่เช่นนั้นกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ก็จะมีสิทธิ และเข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือด้วย ซึ่งจำทำให้มาตรการที่ออกมานี้ไม่ได้มุ่งช่วยผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาส ดังนั้นจึงควรกำหนดรายได้ต่อครัวเรือนของผู้ซื้อบ้านหลังแรกไว้ไม่เกิน 15,000-25,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน
" ในอนาคตหากถึงเวลาที่รัฐบาลจะใช้มาตรการนี้ รัฐบาลควรกำหนดความหมายของบ้านหลังแรกไว้ชัดเจน ว่าหมายเฉพาะถึงบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ห้องชุด ที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย ไม่เช่นนั้นหากมีผู้ซื้ออาคารชุดตากอากาศในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ก็อาจถูกรวมอยู่ในกลุ่มผู้ได้รับการช่วยเหลือด้วย ซึ่งถือว่าไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย" นายโสภณ กล่าว
นอกจากนี้ มาตรการบ้านหลังแรกควรรวมหรืออาจเน้นเฉพาะบ้านมือสองที่ยังมีขายกันอยู่มากมายในท้องตลาด เพื่อการผ่องถ่ายขายทรัพย์สิน เพื่อแก้ไขปัญหาการสูญเสียทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรดำเนินการเช่นรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่เน้นการช่วยเหลือการซื้อบ้านมือหนึ่งจากผู้ประกอบการเป็นสำคัญ.
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ (AREA)กล่าวว่า ความเห็นต่อนโยบายบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% นาน5ปี ของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งระบุว่ายกเว้นดอกเบี้ยให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปีแรกนั้น นโยบายดังกล่าวสมควรได้รับการทบทวนอีกครั้ง
ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดอสังหาในปัจจุบัน ยังเป็นช่วงขาขึ้น “ ซื้อง่ายขายคล่อง ” จึงไม่มีความจำเป็นต้องสนับสนุนการซื้อบ้านหลังแรกในขณะนี้ นอกจากนี้ผลการประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบริษัทมหาชน ซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดที่อยู่อาศัยราว 2 ใน 3 หรือกว่า 70% ยังมีการขยายตัวและกำไรเติบโตในทิศทางที่ดีตามปกติ ซึ่งการสนับสนุนตลาดอสังหาฯ ด้วยมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในขณะนี้จะเป็นประโยชน์เฉพาะผู้ที่จะซื้อบ้านในช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ก็จะกลายเป็นเพียงผู้โชคดี ที่ได้รับรางวัลจากรัฐบาล ในห้วงเวลาที่ผู้บริโภคยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ
สำหรับราคาบ้านที่กำหนดไว้ไม่เกิน 3 ล้านบาทนั้น ถือเป็นเพดานที่สูงเกินไป ผู้ที่สามารถซื้อบ้านในราคา 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่ต้องมีรายได้ต่อครัวเรือน 60,000 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อยที่รัฐบาลต้องให้การสนับสนุน ในการซื้อบ้านหลังแรก ดังนั้น หากจะช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรกโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ควรได้รับการช่วยเหลือ ควรกำหนดราคาไว้ไม่เกิน 1-1.5 ล้านบาท
นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดรายได้ของผู้ซื้อบ้านหลังแรกด้วย ไม่เช่นนั้นกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ก็จะมีสิทธิ และเข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือด้วย ซึ่งจำทำให้มาตรการที่ออกมานี้ไม่ได้มุ่งช่วยผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาส ดังนั้นจึงควรกำหนดรายได้ต่อครัวเรือนของผู้ซื้อบ้านหลังแรกไว้ไม่เกิน 15,000-25,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน
" ในอนาคตหากถึงเวลาที่รัฐบาลจะใช้มาตรการนี้ รัฐบาลควรกำหนดความหมายของบ้านหลังแรกไว้ชัดเจน ว่าหมายเฉพาะถึงบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ห้องชุด ที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัย ไม่เช่นนั้นหากมีผู้ซื้ออาคารชุดตากอากาศในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ก็อาจถูกรวมอยู่ในกลุ่มผู้ได้รับการช่วยเหลือด้วย ซึ่งถือว่าไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย" นายโสภณ กล่าว
นอกจากนี้ มาตรการบ้านหลังแรกควรรวมหรืออาจเน้นเฉพาะบ้านมือสองที่ยังมีขายกันอยู่มากมายในท้องตลาด เพื่อการผ่องถ่ายขายทรัพย์สิน เพื่อแก้ไขปัญหาการสูญเสียทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรดำเนินการเช่นรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่เน้นการช่วยเหลือการซื้อบ้านมือหนึ่งจากผู้ประกอบการเป็นสำคัญ.