ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์”เผยวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ-อียู ไม่กระทบยอดส่งออก เตรียมแผนเพิ่มยอดทุ่มกำลังบุกเจาะตลาดอาเซียน จีน อินเดีย เอเชียใต้ มั่นใจยอดทั้งปีทะลุ 15% แน่
นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มีการติดตามสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) อย่างใกล้ชิด โดยพบว่า ในส่วนของสหรัฐฯ แม้ว่ากำลังซื้อจะลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่หากรัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การออกมาตรการ Quantitative Easing-QE3 ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 หรือหากเกิดกรณีเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ประสบปัญหา ก็เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไม่มากนัก เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เหลือเพียง 9.5% ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ประเมินว่าในระยะสั้น ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของไทย น่าจะเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากเงินเหรียญสหรัฐ มีแนวโน้มที่อ่อนค่าลง ส่วนสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เสื้อเผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น
ขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจในอียู ล่าสุดธนาคารกลางของอียูได้ตกลงพยุงเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาโดยการซื้อพันธบัตรของประเทศที่ประสบปัญหาเพื่อปกป้องชาติที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน (ยูโรโซน) ทำให้ระยะสั้นปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปจะไม่ลุกลามออกไป ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีผลกระทบเกิดขึ้น แต่กรมฯ ก็ได้มีการติดตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดแล้ว
นายวุฒิชัยกล่าวว่า แม้สหรัฐฯ และอียู ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทย จะประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ แต่การส่งออกในภาพรวมจะยังคงขยายตัวเป็นบวกได้ โดยมั่นใจว่าเป้าหมายการส่งออก 15% มูลค่า 2.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 7 ล้านล้านบาท จะทำได้แน่นอน เพราะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอื่นๆ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยยังคงขยายตัวได้ดี ทั้งอาเซียน ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และลาตินอเมริกา ขณะเดียวกัน สินค้าไทยยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก มีความได้เปรียบสินค้าจากจีนที่ยังคงประสบปัญหาในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน รวมทั้งยังมีโอกาสในการส่งออกไปยังประเทศที่ไทยได้ทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแผนที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการบุกเจาะตลาดช่วงครึ่งปีหลัง โดยมุ่งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพและมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน จีน อินเดีย และเอเชียใต้ โดยมีกิจกรรมที่จะบุกเจาะตลาดเหล่านี้มากกว่า 45 โครงการ จาก 155 โครงการที่ต้องดำเนินการ เช่น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในตลาดอาเซียน 3 งาน จีน 11 งาน อินเดียและเอเชียใต้ 2 งาน การจัดงานแสดงสินค้าไทย 6 โครงการที่ เวียดนาม มาเลเซีย พม่า และอินเดีย และการจัดคณะผู้แทนการค้าไปขยายตลาดต่างประเทศในอาเซียน 8 คณะ จีน 2 คณะ อินเดียและเอเชียใต้ 2 คณะ เป็นต้น
นายวุฒิชัยกล่าวว่า ในการรับมือกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศส่งออกสำคัญของไทย กรมฯ ยังได้มีการประชุมหารือร่วมกับผู้ส่งออกเป็นรายกลุ่มสินค้า โดยมีหัวหน้ากลุ่มสินค้า (Chief of Product) เข้ามารับผิดชอบในการประเมินสถานการณ์และแนวโน้มการส่งออก และช่วยในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น และยังได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าในตลาดที่ตนเองดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ปรับตัวได้ทัน รวมทั้งขอให้มีการเผยแพร่ข้อมูลตลาดเชิงลึกให้ผู้ประกอบการไทย และแจ้งเตือนภัยกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยรับมือได้ล่วงหน้า
นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มีการติดตามสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) อย่างใกล้ชิด โดยพบว่า ในส่วนของสหรัฐฯ แม้ว่ากำลังซื้อจะลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่หากรัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การออกมาตรการ Quantitative Easing-QE3 ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 หรือหากเกิดกรณีเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ประสบปัญหา ก็เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไม่มากนัก เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เหลือเพียง 9.5% ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ประเมินว่าในระยะสั้น ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของไทย น่าจะเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากเงินเหรียญสหรัฐ มีแนวโน้มที่อ่อนค่าลง ส่วนสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เสื้อเผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น
ขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจในอียู ล่าสุดธนาคารกลางของอียูได้ตกลงพยุงเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาโดยการซื้อพันธบัตรของประเทศที่ประสบปัญหาเพื่อปกป้องชาติที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน (ยูโรโซน) ทำให้ระยะสั้นปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปจะไม่ลุกลามออกไป ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีผลกระทบเกิดขึ้น แต่กรมฯ ก็ได้มีการติดตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดแล้ว
นายวุฒิชัยกล่าวว่า แม้สหรัฐฯ และอียู ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทย จะประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ แต่การส่งออกในภาพรวมจะยังคงขยายตัวเป็นบวกได้ โดยมั่นใจว่าเป้าหมายการส่งออก 15% มูลค่า 2.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 7 ล้านล้านบาท จะทำได้แน่นอน เพราะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอื่นๆ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยยังคงขยายตัวได้ดี ทั้งอาเซียน ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และลาตินอเมริกา ขณะเดียวกัน สินค้าไทยยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก มีความได้เปรียบสินค้าจากจีนที่ยังคงประสบปัญหาในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน รวมทั้งยังมีโอกาสในการส่งออกไปยังประเทศที่ไทยได้ทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแผนที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการบุกเจาะตลาดช่วงครึ่งปีหลัง โดยมุ่งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพและมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน จีน อินเดีย และเอเชียใต้ โดยมีกิจกรรมที่จะบุกเจาะตลาดเหล่านี้มากกว่า 45 โครงการ จาก 155 โครงการที่ต้องดำเนินการ เช่น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในตลาดอาเซียน 3 งาน จีน 11 งาน อินเดียและเอเชียใต้ 2 งาน การจัดงานแสดงสินค้าไทย 6 โครงการที่ เวียดนาม มาเลเซีย พม่า และอินเดีย และการจัดคณะผู้แทนการค้าไปขยายตลาดต่างประเทศในอาเซียน 8 คณะ จีน 2 คณะ อินเดียและเอเชียใต้ 2 คณะ เป็นต้น
นายวุฒิชัยกล่าวว่า ในการรับมือกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศส่งออกสำคัญของไทย กรมฯ ยังได้มีการประชุมหารือร่วมกับผู้ส่งออกเป็นรายกลุ่มสินค้า โดยมีหัวหน้ากลุ่มสินค้า (Chief of Product) เข้ามารับผิดชอบในการประเมินสถานการณ์และแนวโน้มการส่งออก และช่วยในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น และยังได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าในตลาดที่ตนเองดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ปรับตัวได้ทัน รวมทั้งขอให้มีการเผยแพร่ข้อมูลตลาดเชิงลึกให้ผู้ประกอบการไทย และแจ้งเตือนภัยกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยรับมือได้ล่วงหน้า
