ASTVผู้จัดการรายวัน-ส่งออกมิ.ย.โต 16.8% ทำสถิติมูลค่าทะลุ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐอีกครั้ง สินค้าเกษตร อาหาร เพิ่มขึ้น 48.9% ช่วยดันยอดกระฉูด ส่วนนำเข้าทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน “พรทิวา” มั่นใจยอดทั้งปีทะลุเป้า 15% แน่ ฝากรัฐบาลใหม่สานต่อผลักดันการส่งออก
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือนมิ.ย.2554 มีมูลค่า 21,074.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.8% สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งที่มูลค่าเกิน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ทำได้แล้วเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 633,708.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 19,806.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.1% ทำสถิติสูงที่สุดตั้งแต่มีการนำเข้าเช่นเดียวกัน และเมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 602,897.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% โดยได้ดุลการค้า 1,268.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 30,810.7 ล้านบาท
ส่วนการส่งออกรวม 6 เดือน 2554 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 114,977.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.6% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 3,461,755.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% การนำเข้ามีมูลค่า 111,530.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.5% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 3,399,108.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.3% โดยเกินดุลการค้ารวม 3,446.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 62,646.9 ล้านบาท
ทั้งนี้ การส่งออกในเดือนมิ.ย.ที่ยังคงขยายตัวได้ดี มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 48.9% โดยสินค้าสำคัญที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น ข้าว เพิ่มขึ้น 50.6% ยางพารา 48.5% สินค้าอาหาร เพิ่มขึ้น 50.5% เป็นต้น ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 6.1% เช่น สิ่งพิมพ์ 148.8% เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก 28.3% ผลิตภัณฑ์ยาง 32.3% อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) 20.8% เครื่องเดินทาง เครื่องหนัง 20.2% และเครื่องใช้ไฟฟ้า 12.5%
สินค้าที่ส่งออกได้ลดลง เช่น มันสำปะหลัง ลดลง 10.8% เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง และความต้องการใช้ในประเทศสูงขึ้น เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ลดลง 1.6% เป็นเพราะส่งออกไปยังจีน สหรัฐฯ ฮ่องกง และญี่ปุ่นได้ลดลง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ลดลง 10.9% จากการขาดแคลนไม้ในประเทศ และต้องแข่งขันกับจีน มาเลเซีย เวียดนามและไต้หวัน ของเล่น ลดลง 16.2% จากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ ขาดแคลนแรงงาน และมีการกีดกันในต่างประเทศ
สำหรับการส่งออกไปยังตลาดต่างๆ ยังคงขยายตัวได้ดี โดยตลาดหลัก เพิ่มขึ้น 19% เป็นการเพิ่มขึ้นของตลาดญี่ปุ่น 38% สหรัฐฯ 6% และสหภาพยุโรป 11.9% ตลาดศักยภาพสูง ส่งออกเพิ่มขึ้น 21.9% เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราสูงทุกตลาด ได้แก่ เกาหลีใต้ อินเดีย ไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ที่เพิ่มขึ้น 43.2%, 33.8%, 32.7%, 25.6% และ 25.6% ตามลำดับ ส่วนอาเซียน เพิ่มขึ้น 14.7% สำหรับตลาดศักยภาพรอง เพิ่มขึ้น 11.4% จากการส่งออกไปรัสเซียและ CIS แคนาดา และแอฟริกา เพิ่มขึ้น 88.8%, 36.7% และ 23% ส่งออกไปตะวันออกกลางและลาตินอเมริกา เพิ่มขึ้น 17.5% และ 10.5% ส่วนการส่งออกไปทวีปออสเตรเลียลดลง 12.3% เป็นการลดลงของการส่งออกไปออสเตรเลีย 13.8% จากการส่งออกทองคำที่ลดลง 100%
ทางด้านการนำเข้า ที่ขยายตัวได้ดีนั้น มาจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 38.3% สินค้าทุน 22.4% สินค้าเชื้อเพลิง 20.1% สินค้าอุปโภคบริโภค 10.1% สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 0.7%
นางพรทิวากล่าวว่า จากแนวโน้มการส่งออกครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้สูงถึง 23.6% ทำให้มั่นใจได้ว่าปีนี้ไทยจะส่งออกได้ตามเป้า 15% และมีความเป็นไปได้ที่การส่งออกจะขยายตัวได้มากกว่านี้ หลังจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น การส่งออกทำสถิติขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยตลอด และนโยบายส่งเสริมการส่งออกที่ได้ริเริ่มเอาไว้ได้ส่งผลดีต่อการส่งออก
อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากให้รัฐบาลใหม่ และรัฐมนตรีคนใหม่ ขอให้ช่วยเร่งรัดผลักดันการส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นส่วนที่จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศ โดยนโยบายที่ดีและได้ผลก็ควรจะสานต่อ เช่น การแก้ไขปัญหาการส่งออกผ่านหัวหน้ากลุ่มสินค้าที่รับผิดชอบสินค้าแต่ละตัว การขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ การผลักดันการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) การดูแลลูกค้าต่างประเทศ การพัฒนาระบบการค้าขายไปสู่ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือนมิ.ย.2554 มีมูลค่า 21,074.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.8% สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งที่มูลค่าเกิน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ทำได้แล้วเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 633,708.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 19,806.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.1% ทำสถิติสูงที่สุดตั้งแต่มีการนำเข้าเช่นเดียวกัน และเมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 602,897.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% โดยได้ดุลการค้า 1,268.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 30,810.7 ล้านบาท
ส่วนการส่งออกรวม 6 เดือน 2554 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 114,977.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.6% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 3,461,755.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% การนำเข้ามีมูลค่า 111,530.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.5% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 3,399,108.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.3% โดยเกินดุลการค้ารวม 3,446.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 62,646.9 ล้านบาท
ทั้งนี้ การส่งออกในเดือนมิ.ย.ที่ยังคงขยายตัวได้ดี มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 48.9% โดยสินค้าสำคัญที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น ข้าว เพิ่มขึ้น 50.6% ยางพารา 48.5% สินค้าอาหาร เพิ่มขึ้น 50.5% เป็นต้น ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 6.1% เช่น สิ่งพิมพ์ 148.8% เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก 28.3% ผลิตภัณฑ์ยาง 32.3% อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) 20.8% เครื่องเดินทาง เครื่องหนัง 20.2% และเครื่องใช้ไฟฟ้า 12.5%
สินค้าที่ส่งออกได้ลดลง เช่น มันสำปะหลัง ลดลง 10.8% เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง และความต้องการใช้ในประเทศสูงขึ้น เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ลดลง 1.6% เป็นเพราะส่งออกไปยังจีน สหรัฐฯ ฮ่องกง และญี่ปุ่นได้ลดลง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ลดลง 10.9% จากการขาดแคลนไม้ในประเทศ และต้องแข่งขันกับจีน มาเลเซีย เวียดนามและไต้หวัน ของเล่น ลดลง 16.2% จากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ ขาดแคลนแรงงาน และมีการกีดกันในต่างประเทศ
สำหรับการส่งออกไปยังตลาดต่างๆ ยังคงขยายตัวได้ดี โดยตลาดหลัก เพิ่มขึ้น 19% เป็นการเพิ่มขึ้นของตลาดญี่ปุ่น 38% สหรัฐฯ 6% และสหภาพยุโรป 11.9% ตลาดศักยภาพสูง ส่งออกเพิ่มขึ้น 21.9% เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราสูงทุกตลาด ได้แก่ เกาหลีใต้ อินเดีย ไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ที่เพิ่มขึ้น 43.2%, 33.8%, 32.7%, 25.6% และ 25.6% ตามลำดับ ส่วนอาเซียน เพิ่มขึ้น 14.7% สำหรับตลาดศักยภาพรอง เพิ่มขึ้น 11.4% จากการส่งออกไปรัสเซียและ CIS แคนาดา และแอฟริกา เพิ่มขึ้น 88.8%, 36.7% และ 23% ส่งออกไปตะวันออกกลางและลาตินอเมริกา เพิ่มขึ้น 17.5% และ 10.5% ส่วนการส่งออกไปทวีปออสเตรเลียลดลง 12.3% เป็นการลดลงของการส่งออกไปออสเตรเลีย 13.8% จากการส่งออกทองคำที่ลดลง 100%
ทางด้านการนำเข้า ที่ขยายตัวได้ดีนั้น มาจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 38.3% สินค้าทุน 22.4% สินค้าเชื้อเพลิง 20.1% สินค้าอุปโภคบริโภค 10.1% สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 0.7%
นางพรทิวากล่าวว่า จากแนวโน้มการส่งออกครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้สูงถึง 23.6% ทำให้มั่นใจได้ว่าปีนี้ไทยจะส่งออกได้ตามเป้า 15% และมีความเป็นไปได้ที่การส่งออกจะขยายตัวได้มากกว่านี้ หลังจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น การส่งออกทำสถิติขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยตลอด และนโยบายส่งเสริมการส่งออกที่ได้ริเริ่มเอาไว้ได้ส่งผลดีต่อการส่งออก
อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากให้รัฐบาลใหม่ และรัฐมนตรีคนใหม่ ขอให้ช่วยเร่งรัดผลักดันการส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นส่วนที่จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศ โดยนโยบายที่ดีและได้ผลก็ควรจะสานต่อ เช่น การแก้ไขปัญหาการส่งออกผ่านหัวหน้ากลุ่มสินค้าที่รับผิดชอบสินค้าแต่ละตัว การขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ การผลักดันการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) การดูแลลูกค้าต่างประเทศ การพัฒนาระบบการค้าขายไปสู่ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น