ร่างนโยบายรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 23-24 ส.ค.นี้ ไล่เรียงไปแล้วเห็นปมร้อน ประเด็นเสี่ยงๆ อยู่หลายข้อ
ทั้งนโยบายเมกกะโปรเจกต์ที่ต้องทำตามที่สัญญาไว้กับประชาชน งบประมาณจำนวนมหาศาล เช่น โครงการรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ที่คุยโม้โอ้อวด ว่าจะทำไปถึงเชียงใหม่ โคราช หัวหิน วันนี้เริ่มเงียบ ไม่พูดถึงกันซะแล้ว
ไหนจะมีเรื่องร้อนๆ ที่สังคม ภาคธุรกิจตั้งคำถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือนผู้จบปริญญาตรี15,000 บาท ถ้าทำแล้วจะเกิดผลลกระทบ เรื่องเงินเฟ้อ ข้าวของสินค้าแพงขึ้นหรือไม่
ลำพังแค่เรื่องแก้ปัญหาปากท้อง ก็นับว่าหนักหนาสาหัสแล้ว เพราะไปโพนทะนาไว้เยอะ ถ้าทำไม่ได้จริง คงหนีไม่พ้นโดนข้อหาเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ “ดีแต่พูด”
นโยบายที่ถูกขยายปมร้อนแรงถึงหมื่นฟาเรนไฮต์ ก็คือเรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ช่วงนี้เป็นประเด็นข่าวต่อเนื่องแทบไม่เว้นแต่ละวัน ฝ่ายค้านจ้องถล่มแบบไม่วางมือ เพราะหยิบมาเมื่อไหร่ ก็ตีกินได้เมื่อนั้น
การที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยโหมโรงบรรเลงเกมนี้ นัยหนึ่งก็อาจเป็นการหยั่งกระแสสังคม หยั่งกระแสแนวต้าน หากประเมินแล้วแรงเสียดทานมีไม่มากนัก อาจเดินหน้าใส่เกียร์ 5 ลุยแบบสุดลิ่มทิ่มประตู เพื่อพาพ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน!!
การเดินเกมตรงนี้ย่อมคาบเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย บรรจุการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบายเร่งด่วน จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะมันอาจเป็นส่วนหนึ่งในการปูทางให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ด้วยการสอดไส้เรื่องนิรโทษ อภัยโทษ
คนอย่างพ.ต.ท.ทักษิณมีหรือจะกลับประเทศโดยยอมติดคุกก่อน แล้วค่อยมาเจรจาหางทางประนีประนอม คนอีโก้สูง หยิ่งทรนงขนาดนั้นไม่มีทางเอาด้วยแน่ วิธีเดินหน้าล้างผิดให้ตัวเองคือคำตอบสุดท้าย ก็ต้องดูวิธีการว่าจะพยายามใช้ความนุ่มนวล หรือโผงผางรุนแรง
ต้องไม่ลืมว่าความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผ่านมาทำให้พรรคพลังประชาชนต้องโดนวิบากกรรม เสียงต่อต้านอื้ออึง จนเป็นชนวนเหตุให้เกิดแนวร่วมต่อต้านอย่างรุนแรง รัฐบาลของทั้งสมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมต้องบริหารประเทศท่ามกลางม็อบต่อต้าน จนต้องไร้ที่ทำงาน ทำเนียบรัฐบาลโดนยึด
ความเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งของพรรคเพื่อไทย อาจกลายเป็นชนวนเหตุความขัดแย้งรอบใหม่ แม้ในช่วงต้นนี้อาจจะยังไม่มีเสียงต่อต้านมากนัก เนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนหลังการเลือกตั้งใหม่ๆ จึงยังไม่มีใครกล้าออกหน้ามาขวางทาง
แต่หากพรรคเพื่อไทยย่ามใจ ใช้เสียงข้างมากลากไป แก้ไขรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจ เน้นแก้ไขล้างผิดให้คนเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สนใจฝ่ายตรงข้าม ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่ช้าไม่นานอาจเห็นม็อบต่อต้านตบเท้าออกมาอีกรอบ
การเมืองเดินเข้าสู่วังวนเดิมๆ สงครามกลางเมืองรอบใหม่มีโอกาสได้เกิดซ้ำรอย!!
ทั้งนโยบายเมกกะโปรเจกต์ที่ต้องทำตามที่สัญญาไว้กับประชาชน งบประมาณจำนวนมหาศาล เช่น โครงการรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ที่คุยโม้โอ้อวด ว่าจะทำไปถึงเชียงใหม่ โคราช หัวหิน วันนี้เริ่มเงียบ ไม่พูดถึงกันซะแล้ว
ไหนจะมีเรื่องร้อนๆ ที่สังคม ภาคธุรกิจตั้งคำถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือนผู้จบปริญญาตรี15,000 บาท ถ้าทำแล้วจะเกิดผลลกระทบ เรื่องเงินเฟ้อ ข้าวของสินค้าแพงขึ้นหรือไม่
ลำพังแค่เรื่องแก้ปัญหาปากท้อง ก็นับว่าหนักหนาสาหัสแล้ว เพราะไปโพนทะนาไว้เยอะ ถ้าทำไม่ได้จริง คงหนีไม่พ้นโดนข้อหาเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ “ดีแต่พูด”
นโยบายที่ถูกขยายปมร้อนแรงถึงหมื่นฟาเรนไฮต์ ก็คือเรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ ช่วงนี้เป็นประเด็นข่าวต่อเนื่องแทบไม่เว้นแต่ละวัน ฝ่ายค้านจ้องถล่มแบบไม่วางมือ เพราะหยิบมาเมื่อไหร่ ก็ตีกินได้เมื่อนั้น
การที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยโหมโรงบรรเลงเกมนี้ นัยหนึ่งก็อาจเป็นการหยั่งกระแสสังคม หยั่งกระแสแนวต้าน หากประเมินแล้วแรงเสียดทานมีไม่มากนัก อาจเดินหน้าใส่เกียร์ 5 ลุยแบบสุดลิ่มทิ่มประตู เพื่อพาพ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน!!
การเดินเกมตรงนี้ย่อมคาบเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย บรรจุการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบายเร่งด่วน จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะมันอาจเป็นส่วนหนึ่งในการปูทางให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ด้วยการสอดไส้เรื่องนิรโทษ อภัยโทษ
คนอย่างพ.ต.ท.ทักษิณมีหรือจะกลับประเทศโดยยอมติดคุกก่อน แล้วค่อยมาเจรจาหางทางประนีประนอม คนอีโก้สูง หยิ่งทรนงขนาดนั้นไม่มีทางเอาด้วยแน่ วิธีเดินหน้าล้างผิดให้ตัวเองคือคำตอบสุดท้าย ก็ต้องดูวิธีการว่าจะพยายามใช้ความนุ่มนวล หรือโผงผางรุนแรง
ต้องไม่ลืมว่าความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผ่านมาทำให้พรรคพลังประชาชนต้องโดนวิบากกรรม เสียงต่อต้านอื้ออึง จนเป็นชนวนเหตุให้เกิดแนวร่วมต่อต้านอย่างรุนแรง รัฐบาลของทั้งสมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมต้องบริหารประเทศท่ามกลางม็อบต่อต้าน จนต้องไร้ที่ทำงาน ทำเนียบรัฐบาลโดนยึด
ความเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งของพรรคเพื่อไทย อาจกลายเป็นชนวนเหตุความขัดแย้งรอบใหม่ แม้ในช่วงต้นนี้อาจจะยังไม่มีเสียงต่อต้านมากนัก เนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนหลังการเลือกตั้งใหม่ๆ จึงยังไม่มีใครกล้าออกหน้ามาขวางทาง
แต่หากพรรคเพื่อไทยย่ามใจ ใช้เสียงข้างมากลากไป แก้ไขรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจ เน้นแก้ไขล้างผิดให้คนเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สนใจฝ่ายตรงข้าม ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่ช้าไม่นานอาจเห็นม็อบต่อต้านตบเท้าออกมาอีกรอบ
การเมืองเดินเข้าสู่วังวนเดิมๆ สงครามกลางเมืองรอบใหม่มีโอกาสได้เกิดซ้ำรอย!!
