ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เพียงแค่สัปดาห์แรกหลังจากคณะรัฐมนตรี “ปู 1” เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณรับหน้าที่บริหารชาติบ้านเมือง ก็ได้แสดงพฤติกรรมอันสะท้อนชัดว่าเป็นรัฐบาล “เพื่อพี่ชาย”อย่างชัดเจนโจ่งแจ้งโดยแท้
นั่นเพราะ รัฐมนตรี หรือ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยหลายคน แสดงอาการเร่งรีบช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งคนเสื้อแดงที่ช่วยให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล มากกว่าที่จะทำงานเพื่อประชาชน
จะเห็นได้ว่า ขณะที่นโยบายต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ว่าจะทำได้ทันที อาทิ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เงินเดือนผู้จบปริญญาตรีเริ่มต้น 15,000 บาท รถไฟฟ้าอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย แจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้เด็กนักเรียนทุกคน ยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ฯลฯ ถูกยื้อออกไป ไม่สามารถทำได้ทันทีตามที่เคยหาเสียง
แต่ การช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวกกันเองกลับเป็นไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่รัฐมนตรีบางคนเท้ายังไม่เหยียบเข้ากระทรวงแต่งานรับใช้ “นายใหญ่” ก็รุดหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
รัฐมนตรีที่แสดงบทบาท “ข้ารับใช้”ได้อย่างเข้าตานายใหญ่คงไม่มีใครเกินนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปเจรจากับทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม และในวันต่อมา เลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้ให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าวต่างประเทศยืนยันว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นกรณีพิเศษตามคำร้องขอของรัฐบาลไทย เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ในช่วงวันที่ 22-28 สิงหาคมนี้
ถึงแม้ว่า นายสุรพงษ์จะปฏิเสธแบบข้างๆ คูๆ ว่าเขาไม่ได้ร้องขอ แต่เมื่อดูจากกฎหมายเข้าเมืองของประเทศญี่ปุ่นที่ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกมากกว่า 1 ปีเดินทางเข้าประเทศ กรณีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีที่ดินรัชดา และมีหมายจับติดตัวอีกหลายคดี ถ้าไม่มีการร้องขอหรือการรับรองจากรัฐบาลไทย จะมีการยกเว้นให้เดินทางเข้าประเทศเป็นกรณีพิเศษให้ได้อย่างไร
การกระทำของนายสุรพงษ์จึงเข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดให้หลบหนี และถูก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งจะถูกยื่นถอดถอนจากตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ยังได้โยนหินถามทางเรื่องการคืนหนังสือเดินทางทางการทูต หรือ พาสปอร์ตแดงให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างว่าไม่ใช่นโยบาย แต่ถ้ามีการเสนอขึ้นมา ก็จะพิจารณาตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ทั้งที่ตามระเบียบการออกหนังสือเดินทางนั้น กระทรวงการต่างประเทศจะไม่มีการออกให้แก่ผู้ที่กำลังต้องคดี ไม่ว่าศาลจะพิพากษาให้เป็นที่สิ้นสุดหรือไม่ก็ตาม กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่มีสิทธิที่จะถือพาสปอร์ตใดๆ ทั้งสิ้น
ในเรื่องความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา แทนที่นายสุรพงษ์จะเร่งเจรจากับรัฐบาลนายฮุนเซน ให้ปล่อยตัวนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาล้วงความลับทั้งที่อยู่ในเขตแดนไทยจังหวัดสระแก้วและถูกคุมขังอยู่ที่กรุงพนมเปญตั้งแต่ปลายปี 2553 แต่กลับเร่งรีบที่จะเจราเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทย ตามเอ็มโอยู. 2544 ที่ทำไว้เมื่อครั้งทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้เจ้าหน้าที่นำข้อมูลมาให้ดูตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม
นายสุรพงษ์อ้างเป็นเสียงเดียวกันกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่า กรณีของนายวีระและนางสาวราตรีนั้น ถ้าจะขอพระราชทานอภัยโทษจะต้องรับโทษจำคุกให้ถึง 2 ใน 3 ก่อน และขณะนี้ขั้นตอนทางคดีก็อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์ จึงไม่มีสามารถปล่อยตัวออกมาได้
หากเปรียบเทยบกับกรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกจับกุมเมื่อปี 2552 ด้วยข้อหาล้วงความลับเช่นกัน แต่กลับสามารถปล่อยตัวออกมาได้ทันที หลังจากถูกจำคุกไม่กี่วัน นั่นเพราะมารดาของนายศิวรักษ์มีความสนิทสนมกับนักการเมืองจากพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างดี ต่างจากนายวีระที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณมาตั้งแต่ต้น พรรคเพื่อไทยจึงไม่สนใจที่จะช่วยเหลือ
ขณะที่การหาทางช่วยเหลือนายใหญ่ในเวทีต่างประเทศเป็นไปอย่างเร่งรีบ ในประเทศเอง ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งหมดแทนที่จะมุ่งไปที่การทำนโยบายรัฐบาลเพื่อแถลงต่อรัฐสภา แต่ ส.ส.ที่มาจากแกนนำคนเสื้อแดงกลับเร่งสร้างผลงานเอาหน้ากับมวลชนของตัวเอง ด้วยการออกมาเรียกร้องค่าชดเชยให้แก่คนเสื้อแดงที่เสียชีวิตระหว่างการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 รายละ 10 ล้านบาท รวมทั้งเร่งให้การประกันตัวคนเสื้อแดงประมาณ 100 กว่าคนที่ถูกจับกุมในข้อหาต่างๆ เช่น ก่อการร้าย เผาสถานที่ราชการ ระหว่างการชุมนุมและปัจจุบันยังถูกคุมขังอยู่ ซึ่งก็มีการขานรับทั้งจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขณะที่กระแสสังคมโดยทั่วไปเริ่มออกมาต่อต้าน
เท่านั้นยังไม่พอ คำพูดที่ว่าจะมาเพื่อแก้ไขไม่แก้แค้นที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ท่องบ่นในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ก็เริ่มจะกลายเป็นเพียงแค่ลมปาก เมื่อส่อเค้าว่าจะมีการย้ายล้างบางเกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเร็วๆ นี้ โดยมีการเชือดไก่ให้ลิงดู ด้วยการย้าย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา สบ. 10 รักษาราชการแทน ผบช.ภ.1 แล้วให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 คนใกล้ชิดทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาทำหน้าที่แทน โดยมีกระแสข่าวว่าก่อนหน้านั้น พล.ต.ต.คำรณวิทย์ได้เดินทางไปพบทักษิณ ชินวัตรที่ดูไบมาแล้ว พร้อมกับโผโยกย้ายนายตำรวจที่จะออกมาในเดือนกันยายนนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ทางฟากของกระทรวงที่คุมงานด้านเศรษฐกิจ นายธีรชัย ภูวนารถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เคยให้การช่วยเหลือคนตระกูลชินวัตรกรณี “ซุกหุ้นภาค 3” และออกมาปกป้องกรมสรรพากรที่ไม่อุทธรณ์การคืนภาษีให้ “โอ๊ค-เอม”ลูกชาย-ลูกสาวของทักษิณ ชินวัตร ก็ได้แต่งตั้งนางรวิฐา พงศ์นุชิต อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลังและอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ให้เป็นผู้ประสานงานส่วนตัวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือ “Chief of Staff” เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวงการคลัง นัยว่าเพื่อเป็นการสมณาคุณที่นางรวิฐาเคยช่วยเหลือเรื่องภาษี “โอ๊ค-เอม”
ในส่วนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็โยนหินถามทางเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยคงเพียงมาตรา 1 2 และ 3 เอาไว้ ส่วนมาตราอื่นจะเอาเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2540 มาใส่แทน ซึ่งจะสามารถทำให้เสร็จภายใน 3 เดือนโดยไม่ต้องทำประชามติ
นัยของการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามแนวคิดของนายสมศักดิ์ ก็คือการล้มมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งมีผลเท่ากับการลบล้างความผิดให้แก่ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง ซึ่งจะทำให้สังคมยอมรับไม่ได้ และหากยังดึงดันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญตามแนวทางนี้ก็จะเข้าเงื่อนไขการออกมาชุมนุมขับไล่ตามที่แกนนำพันธมิตรประชาชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศเอาไว้ นั่นจะทำให้รัฐบาลปูแดง 1 อายุสั้นกว่าที่คาดการณ์เอาไว้