เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้เขียนแสดงมุทิตาจิตให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และขอให้เธอเห็นแก่ประเทศชาติ อย่าให้วุ่นวายเพราะพี่ชายเธอเลย และได้สื่อสารความรู้สึกให้สังคมได้รับรู้ไปแล้ว แม้ว่าเธอมีเสียงข้างมากก็ตามแต่เสียงส่วนน้อยที่บริสุทธิ์ก็มีสิทธิ์สมบูรณ์ในการประท้วงพฤติกรรมช่วยทักษิณ เธอตั้งแยกแยะชาติกับญาติพี่น้องให้ได้ และการแสดงมุทิตาจิตนั้นเป็นธรรมเนียมของอารยบุคคล ตามพุทธวจนะในธรรมบทว่าด้วยเรื่องพรหมวิหาร 4 ที่มนุษย์ควรมองโลกในแง่ดี และให้มีความรัก ความเมตตา ชื่นชมยินดี และนิ่งไว้ก่อนตามตามความเข้มข้นอุเบกขาของบุคคล และผู้เขียนได้แสดงอารยบุคคลไปแล้ว ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องที่จะเข้าใจยากก็ตาม
การมีนายกรัฐมนตรีสตรีนั้นเป็นเรื่องใหม่ของคนไทย และเธอเป็นสตรีอีกคนหนึ่งในทวีปเอเชียที่ได้รับตำแหน่งผู้นำประเทศ ซึ่งทั้งทวีปเอเชียมีจำนวน 7 คน รวมทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ ด้วย ที่ตามหลังนางคอราซอน อากีโน แห่งฟิลิปปินส์ นางอินทิรา คานธี แห่งอินเดีย นางเบนาซีร์ บุตโต แห่งปากีสถาน ตกเป็นเป้าสังหารเสียชีวิตด้วยระเบิด นางเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี แห่งอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบุตรีของอดีตประธานาธิบดีซูการ์โน ที่มีชื่อเสียง เป็นผู้จัดตั้งเพราะประเทศเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น และต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอินโดนีเซีย นางซิริมาโว บันดาวันไนเก แห่งศรีลังกา และนางชีคฮ์ ฮาชินา แห่งบังกลาเทศ
โดยสากลแล้วนับว่าคนไทยได้แสดงความเป็นอารยะทั้งทางการเมืองและสังคมเรื่องสิทธิสตรี แต่ประชาคมโลกก็รู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ที่ถูกรัฐประหารโค่นอำนาจ เพราะคนไทยพบว่าเขาได้ใช้อำนาจรัฐทุจริตคอร์รัปชัน ผิดกฎหมายซุกหุ้นและเอาเปรียบสังคมด้วยการเลี่ยงภาษีจากการค้ากำไรหุ้น
คนทั้งโลกโดยเฉพาะคนไทยกำลังเฝ้าดูพฤติกรรมหุ่นยนต์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ว่าจะทำตามคำสั่งทักษิณอย่างไร เมื่อไร และสนองตอบใครอีกนอกจากทักษิณพี่ชายตัวเอง มีเรื่องผุดออกมาว่าการที่สองประเทศ เยอรมนีและญี่ปุ่น ต่างแสดงความปรารถนาดีกับทักษิณ และอนุญาตให้เขาเข้าประเทศทั้งสองแล้ว
เรื่องเช่นนี้ใครๆ ก็เดาได้ว่ารัฐบาลทั้งสองประเทศทำเพื่ออะไร เมื่อธุรกิจคือการเมือง การเมืองคือธุรกิจ เพราะแนวคิดตะวันตกเรื่องการค้าเสรีเป็นประชาธิปไตย ยกเว้นสตาลิน ที่มองการเมืองเป็นเรื่องการควบคุมการผลิต แต่ไม่บรรลุความสำเร็จ แต่ทฤษฎีธุรกิจคือการเมือง การเมืองคือธุรกิจมีความเข้มแข็งมาก นักธุรกิจการเมืองยอมทำทุกอย่างเพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อสังคมแต่จะสร้างภาพให้ตัวเองว่าทำเพื่อประชาชน นักธุรกิจการเมืองไม่ยอมแม้แต่จะขาดทุนกำไร เห็นได้จากคดีซุกหุ้นของทักษิณที่นางสาวยิ่งลักษณ์เกี่ยวข้องด้วย แม้เป็นเรื่องเก่าแต่เป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ
นักธุรกิจเยอรมันและญี่ปุ่นรู้ดีว่าจะเข้าถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้อย่างไร การแสดงความปรารถนาดีพื้นฐานกับทักษิณ ด้วยการกดดันให้รัฐบาลของตนให้ออกมาแสดงความปรารถนาดีด้วยนั้น เป็น WIN-WIN-WIN แต่ผลประโยชน์ระยะยาวนั้นตกอยู่กับกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่ริเริ่มประสานงานและกดดันรัฐบาลของตนเอง เพราะโครงการยักษ์ๆ รออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงราคาแพงพวกเขารู้ว่าการขนส่งมวลชนเป็นกลไกแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ซึ่งผลาญพลังงานอย่างรุนแรงและเสียเปล่า
รัฐบาลญี่ปุ่นออกประกาศอนุญาตให้ทักษิณเข้าประเทศ ในจังหวะที่เหมาะเหม็งมาก เพราะนางสาวยิ่งลักษณ์ กำลังได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ
ขณะนี้รัฐมนตรีคนแรกต้องตกเป็นจำเลยสังคม ได้แก่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ เป็นบุคคลที่สังคมไทยมีความกังขามาตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนในฐานะตัวแทนรัฐไปเจรจาเรื่องการต่างประเทศ เพราะตลอดชีวิตเขาเป็นบุคคลที่รับคำสั่งเพียงอย่างเดียว ไม่มีกลไกสมองสั่งการคนอื่นได้เลย
นายสุรพงษ์ คงจะเอาแต่รับคำสั่ง คำร้องขอ และการยอมรับข้อเสนอจากต่างประเทศ เพียงอย่างเดียว
ภูมิปัญญาของนายสุรพงษ์ ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์ของชาติ วัตถุประสงค์ของชาติ นโยบายของชาติ และพลังอำนาจของชาตินั้นเขามีความรู้ลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหนคนไทยทุกคนก็เริ่มเห็นแล้ว เขามีอุดมการณ์รักชาติเข้มข้นขนาดไหนและเคยเสียสละอะไรให้กับชาติบ้านเมืองบ้างเป็นคำถามที่คนรักชาติทั้งหลายต้องถาม
วันนี้นายสุรพงษ์ ถูกพรรคประชาธิปัตย์ยื่นเสนอให้ ป.ป.ช.ถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะมีข่าวว่าเขาติดต่อกลุ่มนักธุรกิจญี่ปุ่นให้กดดันรัฐบาลอนุญาตให้ทักษิณเข้าประเทศได้
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีนโยบายร่วมกันแสวงผลประโยชน์จากต่างชาติ เพราะมีกระทรวงประสานงานธุรกิจ ที่จะไกล่เกลี่ยกันในกลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นที่จะลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศไม่ให้ขัดแย้งกัน หรือเอาชนะกัน หรือแข่งขันกัน แต่หน้าที่ให้กลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นแสวงผลประโยชน์ร่วมกันในต่างประเทศ ให้เป็น WIN-WIN-WIN คือ กลุ่มผลประโยชน์ญี่ปุ่นได้ประโยชน์ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประโยชน์ และประชาชนญี่ปุ่นได้ประโยชน์ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ รับได้และเป็นสัจธรรมของสังคมโลก
“ในโลกมีความวุ่นวายเพียงพอแล้ว” เป็นกระแสพระราชดำรัสของในหลวงที่ทรงปรารภกับนางสาวยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ความวุ่นวายรุนแรงเกิดกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีประชาชนต่อสู้กับรัฐบาลเรื้อรังจนวันนี้ ส่วนอังกฤษเป็นประเทศที่คุ้นเคยกับความวุ่นวาย การประท้วง การนัดหยุดงาน การต่อต้านต่างชาติโดยพวก Skinhead และการต่อต้านสงคราม แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่รุนแรงขนาดเผาบ้านเผาเมือง และปล้นสะดมร้านรวงต่างๆ ในหลายเมืองใหญ่ จากสาเหตุที่มีผู้ต้องสงสัยเป็นอาชญากรผิวดำชื่อ มาร์ค ดักแกน ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต ทำให้ชุมชนที่ไม่ใช่อังกฤษแท้ออกมาประท้วงตำรวจด้วยความรุนแรงไร้สำนึก
มีเกร็ดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับร้านขายเฟอร์นิเจอร์ราคาระดับกลางๆ สำหรับคนชั้นกลางชื่อ เฮาส์ ออฟ รีฟส์ ย่านครอยดอนในกรุงลอนดอน ประกอบกิจการมาเกือบ 140 ปีแล้ว ผ่านสงครามโลกสองครั้ง ที่อังกฤษถูกเยอรมนีบุกโจมตีทางอากาศ แต่ เฮาส์ ออฟ รีฟส์ รอดจากการถูกระเบิด แต่กลับไม่รอดจากความอุบาทว์ของสังคมเถื่อน ซึ่งคนอังกฤษอาจจะดูแคลนคนไทยกรณีกรุงเทพฯ ถูกเผาเมื่อพฤษภาคม 2553 และมองว่าคนไทยป่าเถื่อน สามารถเผาบ้านเผาเมืองตัวเองได้ด้วยความสะใจ
แต่มาวันนี้คนอังกฤษต้องสำนึกว่าคนถ่อยไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ถ่อยได้เสมอกัน แต่เรื่องนี้มีความแตกต่างตรงที่ว่ารัฐบาลอังกฤษและขบวนการทางกฎหมายเอาผิดจริงจังกับพวกเผาบ้านเผาเมือง ดูเหมือนจะแตกต่างกับเมืองไทย เมื่อนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ออกมาเอาใจประกันคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองในหลายจังหวัด
หากนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นเพียงหุ่นของทักษิณและคนถ่อยหัวรุนแรงเสื้อแดงในพรรคเพื่อไทยแล้ว ความวุ่นวายก็คงจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราอีกเหมือนสายล่อฟ้า และขอให้ดูอินเดียเป็นตัวอย่างที่ประชาชนออกมาประท้วงรัฐบาลและขอให้ปฏิรูปกฎหมายทุจริตคอร์รัปชัน แต่บ้านเรากับผ่อนปรนกับการคอร์รัปชัน
การมีนายกรัฐมนตรีสตรีนั้นเป็นเรื่องใหม่ของคนไทย และเธอเป็นสตรีอีกคนหนึ่งในทวีปเอเชียที่ได้รับตำแหน่งผู้นำประเทศ ซึ่งทั้งทวีปเอเชียมีจำนวน 7 คน รวมทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ ด้วย ที่ตามหลังนางคอราซอน อากีโน แห่งฟิลิปปินส์ นางอินทิรา คานธี แห่งอินเดีย นางเบนาซีร์ บุตโต แห่งปากีสถาน ตกเป็นเป้าสังหารเสียชีวิตด้วยระเบิด นางเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี แห่งอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบุตรีของอดีตประธานาธิบดีซูการ์โน ที่มีชื่อเสียง เป็นผู้จัดตั้งเพราะประเทศเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น และต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอินโดนีเซีย นางซิริมาโว บันดาวันไนเก แห่งศรีลังกา และนางชีคฮ์ ฮาชินา แห่งบังกลาเทศ
โดยสากลแล้วนับว่าคนไทยได้แสดงความเป็นอารยะทั้งทางการเมืองและสังคมเรื่องสิทธิสตรี แต่ประชาคมโลกก็รู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ที่ถูกรัฐประหารโค่นอำนาจ เพราะคนไทยพบว่าเขาได้ใช้อำนาจรัฐทุจริตคอร์รัปชัน ผิดกฎหมายซุกหุ้นและเอาเปรียบสังคมด้วยการเลี่ยงภาษีจากการค้ากำไรหุ้น
คนทั้งโลกโดยเฉพาะคนไทยกำลังเฝ้าดูพฤติกรรมหุ่นยนต์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ว่าจะทำตามคำสั่งทักษิณอย่างไร เมื่อไร และสนองตอบใครอีกนอกจากทักษิณพี่ชายตัวเอง มีเรื่องผุดออกมาว่าการที่สองประเทศ เยอรมนีและญี่ปุ่น ต่างแสดงความปรารถนาดีกับทักษิณ และอนุญาตให้เขาเข้าประเทศทั้งสองแล้ว
เรื่องเช่นนี้ใครๆ ก็เดาได้ว่ารัฐบาลทั้งสองประเทศทำเพื่ออะไร เมื่อธุรกิจคือการเมือง การเมืองคือธุรกิจ เพราะแนวคิดตะวันตกเรื่องการค้าเสรีเป็นประชาธิปไตย ยกเว้นสตาลิน ที่มองการเมืองเป็นเรื่องการควบคุมการผลิต แต่ไม่บรรลุความสำเร็จ แต่ทฤษฎีธุรกิจคือการเมือง การเมืองคือธุรกิจมีความเข้มแข็งมาก นักธุรกิจการเมืองยอมทำทุกอย่างเพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อสังคมแต่จะสร้างภาพให้ตัวเองว่าทำเพื่อประชาชน นักธุรกิจการเมืองไม่ยอมแม้แต่จะขาดทุนกำไร เห็นได้จากคดีซุกหุ้นของทักษิณที่นางสาวยิ่งลักษณ์เกี่ยวข้องด้วย แม้เป็นเรื่องเก่าแต่เป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ
นักธุรกิจเยอรมันและญี่ปุ่นรู้ดีว่าจะเข้าถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้อย่างไร การแสดงความปรารถนาดีพื้นฐานกับทักษิณ ด้วยการกดดันให้รัฐบาลของตนให้ออกมาแสดงความปรารถนาดีด้วยนั้น เป็น WIN-WIN-WIN แต่ผลประโยชน์ระยะยาวนั้นตกอยู่กับกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่ริเริ่มประสานงานและกดดันรัฐบาลของตนเอง เพราะโครงการยักษ์ๆ รออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงราคาแพงพวกเขารู้ว่าการขนส่งมวลชนเป็นกลไกแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ซึ่งผลาญพลังงานอย่างรุนแรงและเสียเปล่า
รัฐบาลญี่ปุ่นออกประกาศอนุญาตให้ทักษิณเข้าประเทศ ในจังหวะที่เหมาะเหม็งมาก เพราะนางสาวยิ่งลักษณ์ กำลังได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ
ขณะนี้รัฐมนตรีคนแรกต้องตกเป็นจำเลยสังคม ได้แก่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ เป็นบุคคลที่สังคมไทยมีความกังขามาตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนในฐานะตัวแทนรัฐไปเจรจาเรื่องการต่างประเทศ เพราะตลอดชีวิตเขาเป็นบุคคลที่รับคำสั่งเพียงอย่างเดียว ไม่มีกลไกสมองสั่งการคนอื่นได้เลย
นายสุรพงษ์ คงจะเอาแต่รับคำสั่ง คำร้องขอ และการยอมรับข้อเสนอจากต่างประเทศ เพียงอย่างเดียว
ภูมิปัญญาของนายสุรพงษ์ ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์ของชาติ วัตถุประสงค์ของชาติ นโยบายของชาติ และพลังอำนาจของชาตินั้นเขามีความรู้ลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหนคนไทยทุกคนก็เริ่มเห็นแล้ว เขามีอุดมการณ์รักชาติเข้มข้นขนาดไหนและเคยเสียสละอะไรให้กับชาติบ้านเมืองบ้างเป็นคำถามที่คนรักชาติทั้งหลายต้องถาม
วันนี้นายสุรพงษ์ ถูกพรรคประชาธิปัตย์ยื่นเสนอให้ ป.ป.ช.ถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะมีข่าวว่าเขาติดต่อกลุ่มนักธุรกิจญี่ปุ่นให้กดดันรัฐบาลอนุญาตให้ทักษิณเข้าประเทศได้
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีนโยบายร่วมกันแสวงผลประโยชน์จากต่างชาติ เพราะมีกระทรวงประสานงานธุรกิจ ที่จะไกล่เกลี่ยกันในกลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นที่จะลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศไม่ให้ขัดแย้งกัน หรือเอาชนะกัน หรือแข่งขันกัน แต่หน้าที่ให้กลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นแสวงผลประโยชน์ร่วมกันในต่างประเทศ ให้เป็น WIN-WIN-WIN คือ กลุ่มผลประโยชน์ญี่ปุ่นได้ประโยชน์ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประโยชน์ และประชาชนญี่ปุ่นได้ประโยชน์ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ รับได้และเป็นสัจธรรมของสังคมโลก
“ในโลกมีความวุ่นวายเพียงพอแล้ว” เป็นกระแสพระราชดำรัสของในหลวงที่ทรงปรารภกับนางสาวยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ความวุ่นวายรุนแรงเกิดกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีประชาชนต่อสู้กับรัฐบาลเรื้อรังจนวันนี้ ส่วนอังกฤษเป็นประเทศที่คุ้นเคยกับความวุ่นวาย การประท้วง การนัดหยุดงาน การต่อต้านต่างชาติโดยพวก Skinhead และการต่อต้านสงคราม แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่รุนแรงขนาดเผาบ้านเผาเมือง และปล้นสะดมร้านรวงต่างๆ ในหลายเมืองใหญ่ จากสาเหตุที่มีผู้ต้องสงสัยเป็นอาชญากรผิวดำชื่อ มาร์ค ดักแกน ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต ทำให้ชุมชนที่ไม่ใช่อังกฤษแท้ออกมาประท้วงตำรวจด้วยความรุนแรงไร้สำนึก
มีเกร็ดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับร้านขายเฟอร์นิเจอร์ราคาระดับกลางๆ สำหรับคนชั้นกลางชื่อ เฮาส์ ออฟ รีฟส์ ย่านครอยดอนในกรุงลอนดอน ประกอบกิจการมาเกือบ 140 ปีแล้ว ผ่านสงครามโลกสองครั้ง ที่อังกฤษถูกเยอรมนีบุกโจมตีทางอากาศ แต่ เฮาส์ ออฟ รีฟส์ รอดจากการถูกระเบิด แต่กลับไม่รอดจากความอุบาทว์ของสังคมเถื่อน ซึ่งคนอังกฤษอาจจะดูแคลนคนไทยกรณีกรุงเทพฯ ถูกเผาเมื่อพฤษภาคม 2553 และมองว่าคนไทยป่าเถื่อน สามารถเผาบ้านเผาเมืองตัวเองได้ด้วยความสะใจ
แต่มาวันนี้คนอังกฤษต้องสำนึกว่าคนถ่อยไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ถ่อยได้เสมอกัน แต่เรื่องนี้มีความแตกต่างตรงที่ว่ารัฐบาลอังกฤษและขบวนการทางกฎหมายเอาผิดจริงจังกับพวกเผาบ้านเผาเมือง ดูเหมือนจะแตกต่างกับเมืองไทย เมื่อนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ออกมาเอาใจประกันคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองในหลายจังหวัด
หากนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นเพียงหุ่นของทักษิณและคนถ่อยหัวรุนแรงเสื้อแดงในพรรคเพื่อไทยแล้ว ความวุ่นวายก็คงจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราอีกเหมือนสายล่อฟ้า และขอให้ดูอินเดียเป็นตัวอย่างที่ประชาชนออกมาประท้วงรัฐบาลและขอให้ปฏิรูปกฎหมายทุจริตคอร์รัปชัน แต่บ้านเรากับผ่อนปรนกับการคอร์รัปชัน