อันใครๆ ก็ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นผู้หนีคดี ถูกศาลพิพากษาให้มีความผิดและถูกจำคุกจากคดีที่ดินรัชดาฯ ซึ่งขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ระหว่างการหลบหนีนอกจากนั้นแล้วยังมีคดีความที่ศาลยังไม่พิพากษาอีกหลายคดีเขาเป็นผู้บงการการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 และถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายอยู่เบื้องหลังเผาบ้านเผาเมืองและฆ่าคนตาย ฐานะของเขาก็คือ น.ช.ทักษิณ นี่คือความจริงที่เป็นอยู่
แต่ทั้งนี้เพราะทักษิณ มีเงินมหาศาลจากการโกงกินชาติใช่หรือไม่และเป็นผู้ทุ่มเงินช่วยเหลือพรรคเพื่อไทยให้ชนะการเลือกตั้ง เขาจึงเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดต่อพรรคเพื่อไทย ต่อคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่อย่างล้นเหลือ
หากมีการดำเนินการจริงก็แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้นี้เป็นอภิสิทธิชน ก็น่าจะเป็นจริงเช่นนั้นเพราะขนาด “มาร์ค” เป็นรัฐบาลกว่า 2 ปี ยังทำอะไรคุณทักษิณ ไม่ได้เลย แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินมีความผิดในคดีที่ดินรัชดาฯ และมีผลจำคุก 2 ปี มาแล้วก็ตาม และองค์กรที่เกี่ยวข้องต่อคดีของคุณทักษิณ ก็มีหลายองค์กร เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมสอบสวนพิเศษ อัยการ และศาล สภาความมั่นคงแห่งชาติ องค์กรเหล่านี้มีความเห็นอย่างไร หรือว่ายอมสยบต่อคนหนีอาญาแผ่นดินกันหมดแล้ว เพราะกระแสพรรคเพื่อไทยชนะท่วมท้น ถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็แสดงว่าประเทศนี้ล่มจมแล้ว และผู้มีอิทธิพลสูงสุด เป็นใหญ่สูงสุดก็คือคุณทักษิณนั่นเอง ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่าทักษิณเป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศไทยโดยพฤติกรรมไปแล้ว ที่เป็นดังนี้เพราะ...
อันที่จริงประเทศนี้จะว่าไปแล้วเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุด อ่อนแอในเรื่องของความเป็นธรรม อ่อนแอในเรื่องของความถูกต้อง และอ่อนแอในทุกด้าน ทั้งนี้เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการ อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว ณ วันนี้ศูนย์อำนาจอธิปไตยได้เปลี่ยนมือจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำมาอยู่ที่พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ อำนาจอธิปไตยที่แท้จริงจึงอยู่ในกำมือของพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เป็นจริงทั้งทางวิชาการ ทางพฤติกรรมและทางกฎหมาย แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เป็นได้เพียงในตัวหนังสือ
แม้ว่ารัฐบาลนั้นๆ จะมาจากการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งแบบไหนก็ตาม ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตยและเป็นของกลาง ถูกนำไปใช้ได้ในทุกระบอบ ประเทศเผด็จการระบบรัฐสภาก็นำไปใช้ เช่นไทย ประเทศคอมมิวนิสต์ก็นำไปใช้ เช่น จีน ลาว ประเทศประชาธิปไตยตะวันตกก็ใช้ เช่น อังกฤษ อเมริกา เป็นต้น
ระบอบเผด็จการ คือ ระบอบที่ไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) ขออนุญาตถามเพื่อนนักเขียน คอลัมนิสต์ทั้งหลายว่า ประเทศไทยมีไหมหลักการปกครอง ทุกคนก็ต้องตอบว่าไม่มี เมื่อไม่มีแล้วจะบอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร
มันก็มีแต่เพียง กฎหมายรัฐธรรมนูญ ระบบรัฐสภา มีการเลือกตั้ง เหล่านี้เป็นเพียงรูปการปกครอง ซึ่งเป็นวิธีการปกครองเท่านั้น การมีรัฐบาล มีฝ่ายค้าน มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นี่ก็เป็นเรื่องของระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ซึ่งไม่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย หากนักเขียน คอลัมนิสต์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย เข้าใจผิดหรือเพราะเชื่อหรือฟังตามๆ กันมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ นักวิชาการที่เรียนรู้ไม่ถึง แม้จะจบด็อกเตอร์มาจากนอก ก็เรียนรู้ได้แต่เพียงรูปแบบเท่านั้น “คนตายจะบอกว่าเป็นคนเป็นได้อย่างไร”
เคยกล่าวไว้หลายครั้งว่า ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ที่ทำลายประเทศของตนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคณะราษฎร ที่เริ่มต้นด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ นั่นก็หมายความว่าเริ่มต้นก็เริ่มบังคับประชาชนด้วยกฎหมาย กฎหมายซึ่งเป็นวิธีการปกครองหรือเครื่องมือในการปกครอง ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ร่างกฎหมายให้เป็นระบอบประชาธิปไตยได้ ผลของมันไทยเราจึงมีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก เราจมปลักอยู่กับการร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขัดแย้งเพราะรัฐธรรมนูญมา 18 ฉบับ และกำลังจะขัดแย้งกันรอบใหม่เพื่อจะร่างใหม่หรือจะนำเอารัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 นำกลับมาใช้ใหม่
หากว่าคณะราษฎร หรือใครๆ มีความรู้อย่างแท้จริงว่า การสร้างระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการประกาศสถาปนาหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย แล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญตามมาทีหลัง โดยมีหลักการปกครองเป็นแกนกลางและกฎหมายทุกชนิดมีหลักการปกครองเป็นแกนกลาง ป่านนี้ประเทศไทยก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว เชื่อว่าพอๆ กับประเทศญี่ปุ่น
ในไม่ช้ามันกำลังจะเกิดการต่อสู้ขัดแย้งกันระหว่างผู้ยึดรัฐธรรมนูญทั้งสองฝ่าย และก็ไม่ใช่ความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความถูกต้อง แต่เป็นความขัดแย้งของมิจฉาทิฐิทั้งสองฝ่าย
หากนักเขียน คอลัมนิสต์ เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าไทยเป็นระบอบเผด็จการ 79 ปี แล้วก็ช่วยกัน ร่วมมือเขียนผลักดันให้ความรู้ที่ถูกต้องว่า การเริ่มต้นอย่างถูกต้องทางการเมือง คือ การสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม ก่อนร่างรัฐธรรมนูญ ดังนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลกับการเมืองเผด็จการโดยพรรคหรือโดยบุคคลเช่นทักษิณอีกต่อไป เพราะการเมืองตกเป็นของปวงชน นั่นเอง “เรามาสัมมนาเรื่องนี้กันดีไหมท่านผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย”
แต่ทั้งนี้เพราะทักษิณ มีเงินมหาศาลจากการโกงกินชาติใช่หรือไม่และเป็นผู้ทุ่มเงินช่วยเหลือพรรคเพื่อไทยให้ชนะการเลือกตั้ง เขาจึงเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดต่อพรรคเพื่อไทย ต่อคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่อย่างล้นเหลือ
หากมีการดำเนินการจริงก็แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้นี้เป็นอภิสิทธิชน ก็น่าจะเป็นจริงเช่นนั้นเพราะขนาด “มาร์ค” เป็นรัฐบาลกว่า 2 ปี ยังทำอะไรคุณทักษิณ ไม่ได้เลย แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินมีความผิดในคดีที่ดินรัชดาฯ และมีผลจำคุก 2 ปี มาแล้วก็ตาม และองค์กรที่เกี่ยวข้องต่อคดีของคุณทักษิณ ก็มีหลายองค์กร เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมสอบสวนพิเศษ อัยการ และศาล สภาความมั่นคงแห่งชาติ องค์กรเหล่านี้มีความเห็นอย่างไร หรือว่ายอมสยบต่อคนหนีอาญาแผ่นดินกันหมดแล้ว เพราะกระแสพรรคเพื่อไทยชนะท่วมท้น ถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็แสดงว่าประเทศนี้ล่มจมแล้ว และผู้มีอิทธิพลสูงสุด เป็นใหญ่สูงสุดก็คือคุณทักษิณนั่นเอง ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่าทักษิณเป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศไทยโดยพฤติกรรมไปแล้ว ที่เป็นดังนี้เพราะ...
อันที่จริงประเทศนี้จะว่าไปแล้วเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุด อ่อนแอในเรื่องของความเป็นธรรม อ่อนแอในเรื่องของความถูกต้อง และอ่อนแอในทุกด้าน ทั้งนี้เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการ อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว ณ วันนี้ศูนย์อำนาจอธิปไตยได้เปลี่ยนมือจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำมาอยู่ที่พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ อำนาจอธิปไตยที่แท้จริงจึงอยู่ในกำมือของพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เป็นจริงทั้งทางวิชาการ ทางพฤติกรรมและทางกฎหมาย แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เป็นได้เพียงในตัวหนังสือ
แม้ว่ารัฐบาลนั้นๆ จะมาจากการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งแบบไหนก็ตาม ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการประชาธิปไตยและเป็นของกลาง ถูกนำไปใช้ได้ในทุกระบอบ ประเทศเผด็จการระบบรัฐสภาก็นำไปใช้ เช่นไทย ประเทศคอมมิวนิสต์ก็นำไปใช้ เช่น จีน ลาว ประเทศประชาธิปไตยตะวันตกก็ใช้ เช่น อังกฤษ อเมริกา เป็นต้น
ระบอบเผด็จการ คือ ระบอบที่ไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) ขออนุญาตถามเพื่อนนักเขียน คอลัมนิสต์ทั้งหลายว่า ประเทศไทยมีไหมหลักการปกครอง ทุกคนก็ต้องตอบว่าไม่มี เมื่อไม่มีแล้วจะบอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร
มันก็มีแต่เพียง กฎหมายรัฐธรรมนูญ ระบบรัฐสภา มีการเลือกตั้ง เหล่านี้เป็นเพียงรูปการปกครอง ซึ่งเป็นวิธีการปกครองเท่านั้น การมีรัฐบาล มีฝ่ายค้าน มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นี่ก็เป็นเรื่องของระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ซึ่งไม่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย หากนักเขียน คอลัมนิสต์ผู้มีชื่อเสียงทั้งหลาย เข้าใจผิดหรือเพราะเชื่อหรือฟังตามๆ กันมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ นักวิชาการที่เรียนรู้ไม่ถึง แม้จะจบด็อกเตอร์มาจากนอก ก็เรียนรู้ได้แต่เพียงรูปแบบเท่านั้น “คนตายจะบอกว่าเป็นคนเป็นได้อย่างไร”
เคยกล่าวไว้หลายครั้งว่า ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ที่ทำลายประเทศของตนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคณะราษฎร ที่เริ่มต้นด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ นั่นก็หมายความว่าเริ่มต้นก็เริ่มบังคับประชาชนด้วยกฎหมาย กฎหมายซึ่งเป็นวิธีการปกครองหรือเครื่องมือในการปกครอง ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ร่างกฎหมายให้เป็นระบอบประชาธิปไตยได้ ผลของมันไทยเราจึงมีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก เราจมปลักอยู่กับการร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขัดแย้งเพราะรัฐธรรมนูญมา 18 ฉบับ และกำลังจะขัดแย้งกันรอบใหม่เพื่อจะร่างใหม่หรือจะนำเอารัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 นำกลับมาใช้ใหม่
หากว่าคณะราษฎร หรือใครๆ มีความรู้อย่างแท้จริงว่า การสร้างระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการประกาศสถาปนาหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย แล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญตามมาทีหลัง โดยมีหลักการปกครองเป็นแกนกลางและกฎหมายทุกชนิดมีหลักการปกครองเป็นแกนกลาง ป่านนี้ประเทศไทยก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว เชื่อว่าพอๆ กับประเทศญี่ปุ่น
ในไม่ช้ามันกำลังจะเกิดการต่อสู้ขัดแย้งกันระหว่างผู้ยึดรัฐธรรมนูญทั้งสองฝ่าย และก็ไม่ใช่ความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความถูกต้อง แต่เป็นความขัดแย้งของมิจฉาทิฐิทั้งสองฝ่าย
หากนักเขียน คอลัมนิสต์ เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าไทยเป็นระบอบเผด็จการ 79 ปี แล้วก็ช่วยกัน ร่วมมือเขียนผลักดันให้ความรู้ที่ถูกต้องว่า การเริ่มต้นอย่างถูกต้องทางการเมือง คือ การสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม ก่อนร่างรัฐธรรมนูญ ดังนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลกับการเมืองเผด็จการโดยพรรคหรือโดยบุคคลเช่นทักษิณอีกต่อไป เพราะการเมืองตกเป็นของปวงชน นั่นเอง “เรามาสัมมนาเรื่องนี้กันดีไหมท่านผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย”