ASTVผู้จัดการรายวัน – ยูโรเปี้ยน ฟู้ด วางหมากตั้งรับAEC เล็ง3-5ปีผุดโรงงานในประเทศอาเซียน พร้อมอัดงบ 50 ล้านบาท ชูกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ทุ่ม 300 ล้านบาทลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ หวังรายได้รวมทั้งปีโต 20% ในรอบ 8 ปี
นายสมชาย เวชากร ประธานกรรมการ บริษัท ยูโรเปี้ยน ฟู้ด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและการเมืองในปีนี้ถือว่าดีขึ้น บวกกับราคาพืชผลทางการเกษตรได้ราคาสูงขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อรากหญ้าดีขึ้น ล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ครึ่งปีแรกของบริษัทเติบโตขึ้นกว่า 20% โดยในครึ่งปีหลังนี้เชื่อว่าแนวโน้มจะไม่ต่างกัน หรือสิ้นปี
บริษัทจะมีรายได้ 3,100 ล้านบาท เติบโต 20% สูงสุดในรอบ 8 ปีได้
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ทางบริษัท มีแผนการดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นสร้างฐานตลาดในประเทศให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมตั้งรับกับการส่งออก และการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเฉพาะในย่านอาเซียน ซึ่งกำลังจะเข้าสู่การเปิดตลาดการค้าเสรีอาเซียน หรือ AEC ในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เบื้องต้นกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการที่จะมีโรงงานแห่งใหม่ในประเทศอาเซียน
โดยมองไว้ที่ประเทศเพื่อนบ้านก่อน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และลาว คาดว่าใน 3-5 ปีข้างหน้าจะสามารถสรุปความชัดเจนได้ ทั้งนี้มองว่าฐานการผลิตใหม่นี้ มีความเป็นไปได้ทั้งการลงทุนเอง เทคโอเวอร์ และร่วมทุน โดยขณะนี้เตรียมเม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นไว้แล้ว 200 ล้านบาท แต่ต้องขึ้นอยู่กับขนาดและสถานที่ด้วย เช่น ในเวียดนาม ประเมินแล้วถ้าจะทำ น่าจะใช้งบลงทุนราว 300
ล้านบาท
“AEC มีผลแค่เรื่องของการทำธุรกิจให้มีความง่ายขึ้น แต่ในแง่ของการขนส่งสินค่าแล้วยังไม่ดีขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ เราต้องสร้างความแข็งแกร่งในพื้นที่การขายในประเทศก่อน ส่วนการลงทุนในต่างประเทศนั้น ก็เพื่อช่วยในเรื่องของการลดขั้นตอนการขนส่ง เนื่องจากสินค้าของเรามีข้อจำกัดของการหมดอายุ”
สำหรับการโฟกัสตลาดในประเทศให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นนั้น ปีนี้บริษัทใช้งบการตลาดรวมกว่า 270 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 70 ล้านบาท ในทำการตลาดให้กับทุกหมวดสินค้าตลอดปี ล่าสุดใช้งบ 50 ล้านบาท เพื่อใช้กับ การทำตลาดใหม่ ครั้งแรกในรูปแบบของ สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เพื่อให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมาย ของผลิตภัณฑ์ยูโร่คัสตาร์ดเค้ก จากเดิมที่เป็นกลุ่มเด็ก
โดยการเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมสนับสนุนในการถ่ายทอดสดอย่างเป็นทางการให้กับศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกตลอดฤดูกาล รวมถึงการจัดทำรายการโทรทัศน์ชื่อ “ยูโร่ป่วนกวนสนาม”ออกอากาศทุกเย็นวันเสาร์เวลา 17.00-17.30 น. ทางช่องทรูสปอร์ต2 ทรูวิชั่น ส่วนสำคัญจะส่งให้การสร้างแบรนด์ยูโรคัสตาร์ดเค็กก้าวสู่ระดับโลกในระยะต่อไป พร้อมเล็งเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมสรฟุตบอลไทยอีก 4
สโมสรด้วย
นอกจากนี้ในส่วนของช่องทางขาย ยังได้เพิ่มหน่วยรถเคลื่อนที่ MBS หรือ Mobile Sale วิ่งตรงถึงกลุ่มผู้บริโภคในระดับหมู่บ้าน เขตชุมชน และโรงเรียนด้วย ซึ่งมีอยู่ 100 คัน ถือเป็นช่องทางขายใหม่ที่จะทำให้สินค้าของบริษัทเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมทุกพื้นที่
ขณะเดียวกันในแง่การลงทุน ปีนี้ใช้งบราว 300 ล้านบาท ลงทุนด้านเครื่องจักร คลังสินค้า รวมถึงช่วงไตรมาสสี่ที่จะออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเค้กอีก 1 แบรนด์ จากปัจจุบันรายได้กว่า 3,100 ล้านบาท มาจากผลิตภัณฑ์กลุ่มเค้กที่มีอยู่ 3 แบรนด์ 60% และอีก 40% มาจากผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ เช่น เยลลี่ เวเฟอร์ และลูกอม ขณะที่ยูโรคัสตาร์ดเค้กมีส่วนแบ่งในตลาดเค้กที่มีอายุยาวนานมูลค่า 1,200
ล้านบาท ประมาณ 35-40% โดยในแง่ของยอดขายจากการส่งออกอยู่ที่ 15% ของรายได้รวม ส่งออกในอาเซียนเป็นหลัก 70% และอีก 30% ส่งออกไปยังอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป และมิดเดิ้ลอีส เป็นต้น
นายสมชาย กล่าวต่อถึง นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันว่า เห็นด้วย แต่รัฐบาลควรที่จะพัฒนาฝีมือแรงงานให้ดีขึ้นเช่นกัน และการเห็นด้วยนั้น เชื่อว่าระดับรากหญ้าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนที่บอกว่าจะทำให้ข้าวของแพงขึ้น เดิมมันก็ขึ้นราคากันอยู่แล้ว ขณะที่ที่ผ่านมาค่าแรงไม่เคยปรับขึ้นเลย
การปรับขึ้นครั้งนี้น่าจะช่วยให้ดีมานด์และซัพพรายอยู่ระดับที่ใกล้เคียงกัน ส่วนจะกระทบการส่งออกอีกนั้น คิดว่ามีเพียงส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่การส่งออกจะเป็นโออีเอ็มให้แบรนด์อื่นๆมากกว่า เราได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นน่าจะเป็นสิ่งดี ถึงแม้จะมีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านแทนก็น่าจะมีเพียง 50% เท่านั้น
เพราะเชื่อว่ายังมีนักลงทุนที่มองเห็นถึงคุณภาพแรงงานไทยที่ดีกว่าแน่นอน
นายสมชาย เวชากร ประธานกรรมการ บริษัท ยูโรเปี้ยน ฟู้ด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและการเมืองในปีนี้ถือว่าดีขึ้น บวกกับราคาพืชผลทางการเกษตรได้ราคาสูงขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อรากหญ้าดีขึ้น ล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ครึ่งปีแรกของบริษัทเติบโตขึ้นกว่า 20% โดยในครึ่งปีหลังนี้เชื่อว่าแนวโน้มจะไม่ต่างกัน หรือสิ้นปี
บริษัทจะมีรายได้ 3,100 ล้านบาท เติบโต 20% สูงสุดในรอบ 8 ปีได้
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ทางบริษัท มีแผนการดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นสร้างฐานตลาดในประเทศให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมตั้งรับกับการส่งออก และการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเฉพาะในย่านอาเซียน ซึ่งกำลังจะเข้าสู่การเปิดตลาดการค้าเสรีอาเซียน หรือ AEC ในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เบื้องต้นกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการที่จะมีโรงงานแห่งใหม่ในประเทศอาเซียน
โดยมองไว้ที่ประเทศเพื่อนบ้านก่อน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และลาว คาดว่าใน 3-5 ปีข้างหน้าจะสามารถสรุปความชัดเจนได้ ทั้งนี้มองว่าฐานการผลิตใหม่นี้ มีความเป็นไปได้ทั้งการลงทุนเอง เทคโอเวอร์ และร่วมทุน โดยขณะนี้เตรียมเม็ดเงินลงทุนเบื้องต้นไว้แล้ว 200 ล้านบาท แต่ต้องขึ้นอยู่กับขนาดและสถานที่ด้วย เช่น ในเวียดนาม ประเมินแล้วถ้าจะทำ น่าจะใช้งบลงทุนราว 300
ล้านบาท
“AEC มีผลแค่เรื่องของการทำธุรกิจให้มีความง่ายขึ้น แต่ในแง่ของการขนส่งสินค่าแล้วยังไม่ดีขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ เราต้องสร้างความแข็งแกร่งในพื้นที่การขายในประเทศก่อน ส่วนการลงทุนในต่างประเทศนั้น ก็เพื่อช่วยในเรื่องของการลดขั้นตอนการขนส่ง เนื่องจากสินค้าของเรามีข้อจำกัดของการหมดอายุ”
สำหรับการโฟกัสตลาดในประเทศให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นนั้น ปีนี้บริษัทใช้งบการตลาดรวมกว่า 270 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 70 ล้านบาท ในทำการตลาดให้กับทุกหมวดสินค้าตลอดปี ล่าสุดใช้งบ 50 ล้านบาท เพื่อใช้กับ การทำตลาดใหม่ ครั้งแรกในรูปแบบของ สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เพื่อให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมาย ของผลิตภัณฑ์ยูโร่คัสตาร์ดเค้ก จากเดิมที่เป็นกลุ่มเด็ก
โดยการเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมสนับสนุนในการถ่ายทอดสดอย่างเป็นทางการให้กับศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกตลอดฤดูกาล รวมถึงการจัดทำรายการโทรทัศน์ชื่อ “ยูโร่ป่วนกวนสนาม”ออกอากาศทุกเย็นวันเสาร์เวลา 17.00-17.30 น. ทางช่องทรูสปอร์ต2 ทรูวิชั่น ส่วนสำคัญจะส่งให้การสร้างแบรนด์ยูโรคัสตาร์ดเค็กก้าวสู่ระดับโลกในระยะต่อไป พร้อมเล็งเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมสรฟุตบอลไทยอีก 4
สโมสรด้วย
นอกจากนี้ในส่วนของช่องทางขาย ยังได้เพิ่มหน่วยรถเคลื่อนที่ MBS หรือ Mobile Sale วิ่งตรงถึงกลุ่มผู้บริโภคในระดับหมู่บ้าน เขตชุมชน และโรงเรียนด้วย ซึ่งมีอยู่ 100 คัน ถือเป็นช่องทางขายใหม่ที่จะทำให้สินค้าของบริษัทเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมทุกพื้นที่
ขณะเดียวกันในแง่การลงทุน ปีนี้ใช้งบราว 300 ล้านบาท ลงทุนด้านเครื่องจักร คลังสินค้า รวมถึงช่วงไตรมาสสี่ที่จะออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเค้กอีก 1 แบรนด์ จากปัจจุบันรายได้กว่า 3,100 ล้านบาท มาจากผลิตภัณฑ์กลุ่มเค้กที่มีอยู่ 3 แบรนด์ 60% และอีก 40% มาจากผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ เช่น เยลลี่ เวเฟอร์ และลูกอม ขณะที่ยูโรคัสตาร์ดเค้กมีส่วนแบ่งในตลาดเค้กที่มีอายุยาวนานมูลค่า 1,200
ล้านบาท ประมาณ 35-40% โดยในแง่ของยอดขายจากการส่งออกอยู่ที่ 15% ของรายได้รวม ส่งออกในอาเซียนเป็นหลัก 70% และอีก 30% ส่งออกไปยังอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป และมิดเดิ้ลอีส เป็นต้น
นายสมชาย กล่าวต่อถึง นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันว่า เห็นด้วย แต่รัฐบาลควรที่จะพัฒนาฝีมือแรงงานให้ดีขึ้นเช่นกัน และการเห็นด้วยนั้น เชื่อว่าระดับรากหญ้าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนที่บอกว่าจะทำให้ข้าวของแพงขึ้น เดิมมันก็ขึ้นราคากันอยู่แล้ว ขณะที่ที่ผ่านมาค่าแรงไม่เคยปรับขึ้นเลย
การปรับขึ้นครั้งนี้น่าจะช่วยให้ดีมานด์และซัพพรายอยู่ระดับที่ใกล้เคียงกัน ส่วนจะกระทบการส่งออกอีกนั้น คิดว่ามีเพียงส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่การส่งออกจะเป็นโออีเอ็มให้แบรนด์อื่นๆมากกว่า เราได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นน่าจะเป็นสิ่งดี ถึงแม้จะมีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านแทนก็น่าจะมีเพียง 50% เท่านั้น
เพราะเชื่อว่ายังมีนักลงทุนที่มองเห็นถึงคุณภาพแรงงานไทยที่ดีกว่าแน่นอน
