xs
xsm
sm
md
lg

ทองคำจ่อ26,000 USไม่จบฝรั่งเศสมาอีก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – วิกฤตสหรัฐฯยังไม่ทันหาย ฝรั่งเศสจ่อถูกลดอันดับเครดิตอีก กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนอยู่ในแดนลบ ด้านหุ้นไทยยังแกร่งปิดบวกได้ 1.86 จุด แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ ขณะที่ทองคำเมื่อความกังวลมีเพิ่ม ราคาทองยิ่งปรับขึ้นสร้างสถิติใหม่ต่อ ล่าสุดเพิ่มอีก 500 บาทต่อทองคำ 1 บาท เป็น 25,400 บาท ดันรูปพรรณจ่อถึง 26,000 บาท โบรกฯแนะนำลดพรอื๖ลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง
สถานการณ์ทองคำในประเทศวานนี้ (11ส.ค.) ยังค่อนข้างผันผวน โดยมีการปรับราคาขึ้นลงรวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง ส่งผลให้ราคาทองคำปิดตลาดรับซื้อยู่ที่ 25,300 บาท ขายออก 25,400 บาทรูปพรรณรับซื้อ 24,938.20 บาท ขายออก 25,800 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 500 บาทจากวันที่ 10 ส.ค. เป็นผลจากนักลงทุนหันมาเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจำนวนมาก หลังจากมีกระแสข่าวว่าฝรั่งเศสอาจจะเป็นประเทศถัดไป ที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ประกับความไม่แน่นอนเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯและยุโรป ยังมีออกมาต่อเนื่อง
นาย ธนสิน กลีบลำเจียก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเช้านี้ราคาทองคำใน ประเทศทำสถิติสูงสุดที่ 25400/25500 ต่อบาทและทองคำต่างประเทศสูงสุดที่ $1,814 ต่อทรอยออนซ์ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาทองยังปรับเพิ่มขึ้นจากความกังวลเรื่องวิกฤต สินเชื่อภาครัฐทั่วโลกที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมไปถึงความน่าเชื่อถือต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย
ขณะเดียวกัน การคาดการณ์ของนักลงทุนที่รอมาตรการอัดฉีดเพิ่มเติมของเฟด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อราคาทองคำในทิศทางบวกต่อไปในระยะสั้น ส่วนปัจจัยที่จะกระทบในการซื้อขายคือเรื่องการปรับเพิ่มการเรียกเก็บหลักประกันของ gold futures ของตลาดสหรัฐฯ ที่อาจจะเกิดแรงขายสั้นๆ ได้หลังการขึ้นหลักประกันและบ้านเรามีวันหยุดยาว ตลาดทองคำเมืองนอกเปิดปกติ แนะนำให้ลดความเสี่ยงโดยการลดพอร์ตการลงทุนช่วงสุดสัปดาห์นี้
สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (11ส.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนตลอดทั้งวันจากปัจจัยลบที่สหรัฐฯ และยุโรป โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,409.67 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 465.08 ด้านสถาบ้านซื้อสุทธิ2,234.24 ล้านบาท ทำให้ดัชนีปิดที่ระดับ 1,062.07 จุด เพิ่มขึ้น 1.86 จุด หรือ 0.18% มูลค่าการซื้อขาย 30,361.98 ล้านบาท
ระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุด 1,063.41 จุด และต่ำสุดที่ 1,054.03 จุด หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 253 หลักทรัพย์ ลดลง 242 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 116 หลักทรัพย์
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค พบว่า ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวันปรับตัวลง 17.23 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 7,719.09 จุด , ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวลบ 56.80 จุด หรือ 0.63% ปิดที่ 8,981.94 จุด , ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้น 32.33 จุด หรือ 1.27% ปิดที่ 2,581.51 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นพุ่ง 177.91 จุด หรือ 1.55% ปิดที่ 11,627.49 จุด และ ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงลบ 188.53 จุด หรือ 0.95% ปิดที่ 19,595.14 จุด
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ แต่ถือว่าแข็งแกร่งภายใต้ปัจจัยลบต่างประเทศหลายด้านที่เข้ามากระทบ โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับลดลงแรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากช่วง 2-3 วันตลาดหุ้นปรับลดลงแรงสะท้อนปัจจัยด้านจิตวิทยาการลงทุนลงมาทดสอบที่ระดับ 1,048 จุด
การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในแดนบวกได้นั้น มองว่าเกิดจากจากแรงสนับสนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในไตรมาส 2/54 ที่ส่วนใหญ่ออกมาดี นอกจากนี้ มองว่าการที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งยุโรป-สหรัฐมีปัญหาอ่อนแอจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นภูมิภาค รวมทั้งไทย เพราะ Fund Flow จะไหลเข้ามามากขึ้นในช่วง 1 - 2 เดือนข้างหน้า
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ต้องติดตามนโยบายบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในช่วงสั้น แต่ในทางปฎิบัติต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศต่อไป เพราะจะส่งผลทำให้เกิดความผันผวนได้ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า(15 ส.ค.) ดัชนีคงจะแกว่งตัวในกรอบแคบ และแนะนำให้ติดตามผลประกอบการบจ.วันสุดท้าย แต่ก็เชื่อว่ายังแข็งแกร่งตามการเติบโตของจีดีพี พร้อมให้แนวรับไว้ในช่วง 1,040-1,050 จุด ส่วนแนวต้าน 1,100 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น