นายสุรงค์ บูลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือTOP เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมปรับเป้าหมายกำไรจากการดำเนินงานในปีนี้เพิ่มขึ้น หลังจากครึ่งปีแรกบริษัทฯมีกำไรจากการดำเนินงานเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8 พันล้านบาท โดยครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯ บริษัทฯตั้งเป้าหมายกลั่นน้ำมันได้เต็มกำลังการผลิต 2.75 แสนบาร์เรล/วันและการกลั่น(GRM)เฉลี่ยปีนี้น่าจะอยู่ที่ 8 หรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบทั้งปีเฉลี่ย 105 -110เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2554 บริษัทฯคาดมีกำไรจากการดำเนินงานใกล้เคียงไตรมาส 2/2554 ที่มีกำไรประมาณ 3.24 พันล้านบาท โดยค่าการกลั่นอยู่ที่ 4-5 เหรียสหรัฐ/บาร์เรล และราคาพาราไซลีนในไตรมาสนี้อาจปรับตัวลดลงบ้าง เนื่องจากอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน และโรงงานผลิตพีทีเอของจีนไม่สามารถเดินเครื่องจักรได้เต็มที่จากปัญหาขาดแคลนกระแสไฟฟ้าทำให้ความต้องการใช้พาราไซลีนลดลง แต่คาดว่าต้นไตรมาส 4 นี้จะดีขึ้น เนื่องจากมีคำสั่งซื้อพาราไซลีนจากจีนเข้ามาเพิ่ม
นอกจากนี้ บริษัทฯยังปรับกลยุทธ์หันมารุกธุรกิจสินค้าพิเศษเฉพาะ(Specialty Product)มากขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนายางมะตอยให้เป็นยางมะตอยเกรดพิเศษ รวมทั้งการนำแว็กที่ได้จากโรงงานน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมาใช้ผลิตเป็นเทียนไข คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
ส่วนความหน้าโครงการขยายกำลังการผลิตพาราไซลีนเพิ่มขึ้นโดยการเพิ่มมูลค่าโทลูอีน มูลค่าเงินลงทุน 40-50 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนกำหนดเดิมที่ตั้งไว้เดือนต.ค.55 เป็นเดือนก.ค. 55 ทำให้บริษัทฯมีปริมาณพาราไซลีนเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนตันจากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ 4.89 แสนตัน/ปี ซึ่งปัจจุบันส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับคอนเดนเสท(สเปรด)อยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีกว่าสเปรดโทลูอีนอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นายสุรงค์ กล่าวว่าจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงอย่างแรงในช่วงนี้ เกิตจากความกังวลปัญหาการลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และปัญหาหนี้สินในยุโรป ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันยังมีความผันผวนอยู่มาก แต่เชื่อว่าคงไม่ส่งผลกระทบมาโดยตรง เนื่องจากเอเชียไม่มีปัญหาเศรษฐกิจเหมือนสหรัฐฯและยุโรปส่วนผลกระทบกับไทยอาจจะมีผลเรื่องการส่งออกและค่าเงินบาทบ้าง
" คิดว่าปีนี้ยังเป็นปีทองของไทยออยล์ เพราะได้ประโยชน์จากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและTDAE ขนาดกำลังผลิต 5-6 หมื่นตัน/ปี มีมาร์จินดีมากในปีนี้ ส่วนราคาพาราไซลีนในไตรมาส 3 นี้อาจจะอ่อนตัวลง ขณะที่ครึ่งปีหลังคาดว่าจะไม่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน หลังจากไตรมาสแรกบริษัทฯมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันถึง 3.5 พันล้านบาท "
ทั้งนี้ TOP แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่ามีกำไรสุทธิ 3,245 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,079 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2,166 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นกว่า 700% เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในเอเชียหลายแห่งล้วนผลักดันให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ในระดับสูง
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2554 บริษัทฯคาดมีกำไรจากการดำเนินงานใกล้เคียงไตรมาส 2/2554 ที่มีกำไรประมาณ 3.24 พันล้านบาท โดยค่าการกลั่นอยู่ที่ 4-5 เหรียสหรัฐ/บาร์เรล และราคาพาราไซลีนในไตรมาสนี้อาจปรับตัวลดลงบ้าง เนื่องจากอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน และโรงงานผลิตพีทีเอของจีนไม่สามารถเดินเครื่องจักรได้เต็มที่จากปัญหาขาดแคลนกระแสไฟฟ้าทำให้ความต้องการใช้พาราไซลีนลดลง แต่คาดว่าต้นไตรมาส 4 นี้จะดีขึ้น เนื่องจากมีคำสั่งซื้อพาราไซลีนจากจีนเข้ามาเพิ่ม
นอกจากนี้ บริษัทฯยังปรับกลยุทธ์หันมารุกธุรกิจสินค้าพิเศษเฉพาะ(Specialty Product)มากขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนายางมะตอยให้เป็นยางมะตอยเกรดพิเศษ รวมทั้งการนำแว็กที่ได้จากโรงงานน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมาใช้ผลิตเป็นเทียนไข คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
ส่วนความหน้าโครงการขยายกำลังการผลิตพาราไซลีนเพิ่มขึ้นโดยการเพิ่มมูลค่าโทลูอีน มูลค่าเงินลงทุน 40-50 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนกำหนดเดิมที่ตั้งไว้เดือนต.ค.55 เป็นเดือนก.ค. 55 ทำให้บริษัทฯมีปริมาณพาราไซลีนเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนตันจากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ 4.89 แสนตัน/ปี ซึ่งปัจจุบันส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับคอนเดนเสท(สเปรด)อยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีกว่าสเปรดโทลูอีนอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นายสุรงค์ กล่าวว่าจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงอย่างแรงในช่วงนี้ เกิตจากความกังวลปัญหาการลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และปัญหาหนี้สินในยุโรป ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันยังมีความผันผวนอยู่มาก แต่เชื่อว่าคงไม่ส่งผลกระทบมาโดยตรง เนื่องจากเอเชียไม่มีปัญหาเศรษฐกิจเหมือนสหรัฐฯและยุโรปส่วนผลกระทบกับไทยอาจจะมีผลเรื่องการส่งออกและค่าเงินบาทบ้าง
" คิดว่าปีนี้ยังเป็นปีทองของไทยออยล์ เพราะได้ประโยชน์จากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและTDAE ขนาดกำลังผลิต 5-6 หมื่นตัน/ปี มีมาร์จินดีมากในปีนี้ ส่วนราคาพาราไซลีนในไตรมาส 3 นี้อาจจะอ่อนตัวลง ขณะที่ครึ่งปีหลังคาดว่าจะไม่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน หลังจากไตรมาสแรกบริษัทฯมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันถึง 3.5 พันล้านบาท "
ทั้งนี้ TOP แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่ามีกำไรสุทธิ 3,245 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,079 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2,166 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นกว่า 700% เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในเอเชียหลายแห่งล้วนผลักดันให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ในระดับสูง