ASTVผู้จัดการรายวัน - บางจากปรับเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม(ไม่รวมสต็อกน้ำมัน) ขึ้นเป็น 7 พันล้านบาท หลัง 6 เดือนแรกปี54 มีEBITDAเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ เผยราคาน้ำมันที่อ่อนตัวช่วงนี้เกิดเพียงชั่วเวลาสั้น คาดไตรมาส 4 ราคาน้ำมันดีดขึ้นตามความต้องการใช้น้ำมันในฤดูหนาว ทำให้ค่าการกลั่นครึ่งปีหลังอยู่ที่ 5.5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลต่ำกว่าต้นปีนี้ มั่นใจทั้งปีนี้มีรายได้รวม 1.5 แสนล้านบาท
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับเป้าหมายกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA)ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทฯมีEBITDA(ไม่รวมสต็อก)อยู่ที่ 4.1 พันล้านบาทจากเป้าหมายEBITDAที่บริษัทฯตั้งไว้ในปีนี้ประมาณ 5-6 พันล้านบาท โดยประเมินว่า 6 เดือนหลังปีนี้ บริษัทฯน่าจะมี EBITDA(ไม่รวมสต็อก)จะต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงนี้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรป และการลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศสหรัฐจากAAA ลงเหลือAA+ ทำให้ครึ่งปีหลังบริษัทฯอาจจะไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมันเหมือนครึ่งปีแรกที่มีกำไรจากสต็อกน้ำมันถึง 5เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ในปี2554 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวม 1.5 แสนล้านบาท โดยผลดำเนินงานครึ่งปีนี้หลังจะใกล้เคียง 6 เดือนแรกปีนี้มีรายได้รวม 7.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯตั้งเป้าการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนบาร์เรล/วัน ดีกว่าครึ่งแรกของปีนี้ที่มีอัตราการกลั่นเฉลี่ย 8 หมื่นบาร์เรล/วัน ทำให้เฉลี่ยทั้งปีบริษัทฯมีอัตราการกลั่นวันละ 9.1 หมื่นบาร์เรล
ขณะที่ค่าการกลั่น(GRM)ไม่รวมผลกระทบสต็อกน้ำมันในครึ่งปีหลังคาดว่าจะอยู่ที่ 5.5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่ค่าการกลั่นเฉลี่ย 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยเฉพาะค่าการกลั่นในไตรมาส 3 นี้จะอ่อนตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันโลก แต่ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบในช่วง 2สัปดาห์นี้จะต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4 เพราะความต้องการใช้ดีเซลในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นค่าการกลั่น(ไม่รวมสต็อกน้ำมัน)เฉลี่ยปีนี้น่าจะอยู่ระดับ 6.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2554 บางจากฯมีกำไรสุทธิ 3,021 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 600%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายน้ำมัน 42,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 %เนื่องจากกลั่นน้ำมันมากขึ้น และถ้ารวมกับธุรกิจการตลาด ทำให้บางจากมีค่าการกลั่นรวมเพิ่มเป็น 14.48 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยครึ่งปีแรกมีค่าการกลั่นรวมอยู่ที่ 12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และ ในปีที่แล้ว บริษัทฯมี EBITDA (ไม่รวมสต็อก)อยู่ที่ 5.7 พันล้านบาท โดยต้นปีนี้บริษัทมีต้นทุนราคาน้ำมันที่ 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันเฉลี่ยเกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 118 เมกะวัตต์ว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟสแรก 38 เมกะวัตต์ ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา มีความคืบหน้ากว่า 85% และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้แล้ว 8 เมกะวัตต์ให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ตั้งแต่ 5 ส.ค.54 และจะจำหน่ายไฟฟ้าส่วนที่เหลือเพิ่มเติมให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในเดือน พ.ย.54 ทำให้บริษัทฯรับรู้กำไรก่อนหักดอกเบี้ยค่าเสื่อมและภาษีในปีนี้ 115 ล้านบาท และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 750 ล้านบาท
ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระยะ 2 ขนาด 32 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปลายปีนี้ ส่วนโครงการระยะที่ 3 อีก 48 เมกะวัตต์คาดว่าจะประมูลก่อสร้างได้ในปีหน้า ซึ่งหากดำเนินการครบทั้ง 118 เมกะวัตต์ จะมีEBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนจะลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเป็น 500 เมกะวัตต์หากรัฐเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเป็น 2,500 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯรับได้หากรัฐจะลดส่วนเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์(ADDER)ลงเหลือ 6.50 บาท/หน่วย และพิจารณาปรับค่าADDERเนื่องจากแนวโน้มราคาต้นทุนค่าแผงโซลาร์ลดลงมาก
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดทำให้มีกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 10%ของกำลังการกลั่นรวม 1 แสนบาร์เรล/วัน คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 3 พันล้านบาท
***จี้รัฐส่งเสริมพลังงานทดแทน
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่าไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เชื่อว่า รัฐบาลใหม่จะจัดสรรคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน ซึ่งสิ่งที่อยากฝากกับรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือดูแลโครงสร้างพลังงานให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยเฉพาะการอุดหนุนราคาน้ำมันที่จะต้องช่วยเหลือในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง เช่น กลุ่มขนส่งและประมง รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนให้เป็นรูปธรรม และเน้นหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานให้มากขึ้น โดยเห็นว่ารัฐบาลควรประกาศยกเลิกเบนซิน 91 ภายใน 1-2ปีนี้เพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอล ซึ่งไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายเอทานอลในภูมิภาคนี้ หากรัฐมีแผนชัดเจนในการส่งเสริมให้ประเทศเพื่อนบ้านหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เหมือนไทย
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับเป้าหมายกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA)ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทฯมีEBITDA(ไม่รวมสต็อก)อยู่ที่ 4.1 พันล้านบาทจากเป้าหมายEBITDAที่บริษัทฯตั้งไว้ในปีนี้ประมาณ 5-6 พันล้านบาท โดยประเมินว่า 6 เดือนหลังปีนี้ บริษัทฯน่าจะมี EBITDA(ไม่รวมสต็อก)จะต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงนี้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรป และการลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศสหรัฐจากAAA ลงเหลือAA+ ทำให้ครึ่งปีหลังบริษัทฯอาจจะไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมันเหมือนครึ่งปีแรกที่มีกำไรจากสต็อกน้ำมันถึง 5เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ในปี2554 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวม 1.5 แสนล้านบาท โดยผลดำเนินงานครึ่งปีนี้หลังจะใกล้เคียง 6 เดือนแรกปีนี้มีรายได้รวม 7.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯตั้งเป้าการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนบาร์เรล/วัน ดีกว่าครึ่งแรกของปีนี้ที่มีอัตราการกลั่นเฉลี่ย 8 หมื่นบาร์เรล/วัน ทำให้เฉลี่ยทั้งปีบริษัทฯมีอัตราการกลั่นวันละ 9.1 หมื่นบาร์เรล
ขณะที่ค่าการกลั่น(GRM)ไม่รวมผลกระทบสต็อกน้ำมันในครึ่งปีหลังคาดว่าจะอยู่ที่ 5.5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าครึ่งปีแรกที่ค่าการกลั่นเฉลี่ย 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยเฉพาะค่าการกลั่นในไตรมาส 3 นี้จะอ่อนตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันโลก แต่ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบในช่วง 2สัปดาห์นี้จะต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4 เพราะความต้องการใช้ดีเซลในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นค่าการกลั่น(ไม่รวมสต็อกน้ำมัน)เฉลี่ยปีนี้น่าจะอยู่ระดับ 6.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2554 บางจากฯมีกำไรสุทธิ 3,021 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 600%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายน้ำมัน 42,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 %เนื่องจากกลั่นน้ำมันมากขึ้น และถ้ารวมกับธุรกิจการตลาด ทำให้บางจากมีค่าการกลั่นรวมเพิ่มเป็น 14.48 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยครึ่งปีแรกมีค่าการกลั่นรวมอยู่ที่ 12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และ ในปีที่แล้ว บริษัทฯมี EBITDA (ไม่รวมสต็อก)อยู่ที่ 5.7 พันล้านบาท โดยต้นปีนี้บริษัทมีต้นทุนราคาน้ำมันที่ 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันเฉลี่ยเกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 118 เมกะวัตต์ว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟสแรก 38 เมกะวัตต์ ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา มีความคืบหน้ากว่า 85% และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้แล้ว 8 เมกะวัตต์ให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ตั้งแต่ 5 ส.ค.54 และจะจำหน่ายไฟฟ้าส่วนที่เหลือเพิ่มเติมให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในเดือน พ.ย.54 ทำให้บริษัทฯรับรู้กำไรก่อนหักดอกเบี้ยค่าเสื่อมและภาษีในปีนี้ 115 ล้านบาท และปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 750 ล้านบาท
ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระยะ 2 ขนาด 32 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปลายปีนี้ ส่วนโครงการระยะที่ 3 อีก 48 เมกะวัตต์คาดว่าจะประมูลก่อสร้างได้ในปีหน้า ซึ่งหากดำเนินการครบทั้ง 118 เมกะวัตต์ จะมีEBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนจะลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเป็น 500 เมกะวัตต์หากรัฐเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเป็น 2,500 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯรับได้หากรัฐจะลดส่วนเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์(ADDER)ลงเหลือ 6.50 บาท/หน่วย และพิจารณาปรับค่าADDERเนื่องจากแนวโน้มราคาต้นทุนค่าแผงโซลาร์ลดลงมาก
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดทำให้มีกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 10%ของกำลังการกลั่นรวม 1 แสนบาร์เรล/วัน คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 3 พันล้านบาท
***จี้รัฐส่งเสริมพลังงานทดแทน
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่าไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เชื่อว่า รัฐบาลใหม่จะจัดสรรคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน ซึ่งสิ่งที่อยากฝากกับรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือดูแลโครงสร้างพลังงานให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยเฉพาะการอุดหนุนราคาน้ำมันที่จะต้องช่วยเหลือในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง เช่น กลุ่มขนส่งและประมง รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนให้เป็นรูปธรรม และเน้นหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานให้มากขึ้น โดยเห็นว่ารัฐบาลควรประกาศยกเลิกเบนซิน 91 ภายใน 1-2ปีนี้เพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอล ซึ่งไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายเอทานอลในภูมิภาคนี้ หากรัฐมีแผนชัดเจนในการส่งเสริมให้ประเทศเพื่อนบ้านหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เหมือนไทย