ASTVผู้จัดการรายวัน – บางจากแนะรัฐบาลใหม่ทบทวนการตรึงราคาดีเซล โดยเสนอจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลอีกครั้งหลังสิ้นสุดนโยบายในเดือนก.ย.นี้ หากต้องการอุดหนุนให้เลือกช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มแทน เหตุแนวโน้มครึ่งปีหลังนี้คาดราคาน้ำมันดิบสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล บางจากฯไม่สามารถแบกภาระขาดทุนได้มาก หลังค่าการกลั่นหดตัวลงเหลือ 5.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
แต่เชื่อทั้งปีผลดำเนินงานบริษัทฯยังดีอยู่
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)(BCP)เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในครึ่งปีหลังนี้ เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในระดับมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากหลายฝ่ายกังมีความกังวลปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและปัจจัยประกอบอื่นๆของโลกที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันโดยประเมินว่าราคาน้ำมันดีเซลในไตรมาส 3 นี้มีแนวโน้มอ่อนตัวลงก่อนจะราคาดีดตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4/2554 จากนโยบายรัฐบาลให้ตรึงราคามันดีเซลตรึงไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรถึงก.ย.นี้ เชื่อว่ารัฐบาลใหม่คงจะยังตรึงราคาพลังงานต่อไปจึงถึงสิ้นปีนี้ แม้ว่ากรมสรรพสามิตแจ้งว่าการตรึงราคาน้ำมันดีเซลทำให้การจัดเก็บภาษีหายไป 8 หมื่นล้านบาทเท่ากับลงทุนสร้างรถไฟฟ้าได้ 1สาย ซึ่งในส่วนตัวเห็นว่าอยากให้รัฐบาลกลับมาเก็บภาษีน้ำมันเช่นเดิม เพื่อให้ราคาดีเซลเป็นไปตามกลไกตลาด ส่วนการให้ความช่วยเหลืออาจช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มแทน อาทิ ภาคการเกษตร เพื่อลดภาระการใช้เงินของรัฐ
“ราคาน้ำมันดีเซลในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ จะปรับตัวลดลง เนื่องจากไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวและเป็นฤดูฝน ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ดีเซลลดลง แต่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้น ส่วนราคาเบนซินเริ่มปรับตัวสูงขึ้น หลังสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ช่วงท่องเที่ยว แต่ได้มีการสำรองน้ำมันไว้แล้ว “
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการประชุมของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)วานนี้ (23 มิ.ย.) ในการเรียกเก็บเงินของดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมนั้น ทางบริษัทผู้ค้าน้ำมันมีความกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจเรียกเก็บเงินกองทุนฯ เพราะเมื่อราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลง ทางกบง.จะพิจารณาเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯทันที แต่เมื่อใดที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น ก็จะพิจารณาค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ย 5 วันในการช่วยเหลือผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งกระทบต่อการทำธุรกิจมาก จึงอยากเรียกร้องให้รัฐมีความเป็นธรรมในการดูแลค่าการตลาดอย่างเหมาะสมควรอยู่ที่ 1.50 บาท/ลิตร
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บางจากต้องแบกรับภาระขาดทุนจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท หากหากรัฐบาลตรึงไปถึงสิ้นปีจะขาดทุนรวมกว่า 1,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรก บริษัทฯยังแบกรับภาระการขาดทุนจากการตรึงราคาดีเซลได้อยู่ แต่ครึ่งปีหลังนี้ไม่มั่นใจว่าจะแบกรับภาระเพิ่มได้อีกหรือไม่ เนื่องจากค่าการกลั่นได้อ่อนตัวลงจากไตรมาส 1/2554ค่าการกลั่นอยู่ที่ 9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ไม่รวมกำไรจากสต็อกน้ำมัน) ปัจจุบันค่าการกลั่นอ่อนตัวมาอยู่ที่ 5.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 2/2554 ของบางจาก อยู่ในระดับค่อนข้างดี ค่าการกลั่นเฉลี่ยไตรมาสนี้อยู่ที่ 5.7-5.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เชื่อว่าไตรมาส 3 ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบกับน้ำมันดีเซล (สเปรด)ในไตรมาส 3 แคบลงจากไตรมาส 1 /2554 ที่น้ำมันดีเซลมีสเปรดสูงถึง 21 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าไตรมาส 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลจะดีขึ้น
“เชื่อว่าครึ่งปีหลังราคาน้ำมันดิบจะยังสูงระดับกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บางจากยังมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ปีนี้ยังเป็นปีที่บางจากฯมีผลการดำเนินงานดีต่อเนื่องจากปีก่อน ”
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า จากการดำเนินทางไปโรดโชว์ที่สหรัฐฯ พบว่ากองทุนต่างชาติยังให้ความสนใจที่จะมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากราคาหุ้นยังต่ำ เพียงแต่ช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะกังวลเกี่ยวกับการเมืองหลังการเลือกตั้งว่าจะวุ่นวายหรือไม่ หากหลังการเลือกตั้งการเมืองนิ่งขึ้น เชื่อว่ากองทุนฯจะหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ กองทุนฯต่างชาติยังให้ความสนใจหุ้นบางจากฯหลังรับฟังแนวทางการดำเนินธุรกิจที่บางจากเน้นพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะเป้าหมายการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้ 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิต 118 เมกะวัตต์ หากรัฐบาลประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติมจาก 500เมกะวัตต์เป็น 1500 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯยังรอความชัดเจนจากรัฐบาลเกี่ยวกับราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) พลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีการกำหนดระบบใหม่ที่มาแทนแอดเดอร์ คือ ระบบ Feed In Tariffs โดยเฉพาะในส่วนของการสนับสนุนการลงทุนการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนหลังคาบ้านเรือนและอาคารสถานที่
แต่เชื่อทั้งปีผลดำเนินงานบริษัทฯยังดีอยู่
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)(BCP)เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในครึ่งปีหลังนี้ เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในระดับมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากหลายฝ่ายกังมีความกังวลปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและปัจจัยประกอบอื่นๆของโลกที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันโดยประเมินว่าราคาน้ำมันดีเซลในไตรมาส 3 นี้มีแนวโน้มอ่อนตัวลงก่อนจะราคาดีดตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4/2554 จากนโยบายรัฐบาลให้ตรึงราคามันดีเซลตรึงไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรถึงก.ย.นี้ เชื่อว่ารัฐบาลใหม่คงจะยังตรึงราคาพลังงานต่อไปจึงถึงสิ้นปีนี้ แม้ว่ากรมสรรพสามิตแจ้งว่าการตรึงราคาน้ำมันดีเซลทำให้การจัดเก็บภาษีหายไป 8 หมื่นล้านบาทเท่ากับลงทุนสร้างรถไฟฟ้าได้ 1สาย ซึ่งในส่วนตัวเห็นว่าอยากให้รัฐบาลกลับมาเก็บภาษีน้ำมันเช่นเดิม เพื่อให้ราคาดีเซลเป็นไปตามกลไกตลาด ส่วนการให้ความช่วยเหลืออาจช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มแทน อาทิ ภาคการเกษตร เพื่อลดภาระการใช้เงินของรัฐ
“ราคาน้ำมันดีเซลในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ จะปรับตัวลดลง เนื่องจากไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวและเป็นฤดูฝน ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ดีเซลลดลง แต่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้น ส่วนราคาเบนซินเริ่มปรับตัวสูงขึ้น หลังสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ช่วงท่องเที่ยว แต่ได้มีการสำรองน้ำมันไว้แล้ว “
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการประชุมของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)วานนี้ (23 มิ.ย.) ในการเรียกเก็บเงินของดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมนั้น ทางบริษัทผู้ค้าน้ำมันมีความกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจเรียกเก็บเงินกองทุนฯ เพราะเมื่อราคาน้ำมันโลกปรับตัวลดลง ทางกบง.จะพิจารณาเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯทันที แต่เมื่อใดที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น ก็จะพิจารณาค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ย 5 วันในการช่วยเหลือผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งกระทบต่อการทำธุรกิจมาก จึงอยากเรียกร้องให้รัฐมีความเป็นธรรมในการดูแลค่าการตลาดอย่างเหมาะสมควรอยู่ที่ 1.50 บาท/ลิตร
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บางจากต้องแบกรับภาระขาดทุนจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท หากหากรัฐบาลตรึงไปถึงสิ้นปีจะขาดทุนรวมกว่า 1,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรก บริษัทฯยังแบกรับภาระการขาดทุนจากการตรึงราคาดีเซลได้อยู่ แต่ครึ่งปีหลังนี้ไม่มั่นใจว่าจะแบกรับภาระเพิ่มได้อีกหรือไม่ เนื่องจากค่าการกลั่นได้อ่อนตัวลงจากไตรมาส 1/2554ค่าการกลั่นอยู่ที่ 9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ไม่รวมกำไรจากสต็อกน้ำมัน) ปัจจุบันค่าการกลั่นอ่อนตัวมาอยู่ที่ 5.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 2/2554 ของบางจาก อยู่ในระดับค่อนข้างดี ค่าการกลั่นเฉลี่ยไตรมาสนี้อยู่ที่ 5.7-5.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เชื่อว่าไตรมาส 3 ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบกับน้ำมันดีเซล (สเปรด)ในไตรมาส 3 แคบลงจากไตรมาส 1 /2554 ที่น้ำมันดีเซลมีสเปรดสูงถึง 21 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าไตรมาส 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลจะดีขึ้น
“เชื่อว่าครึ่งปีหลังราคาน้ำมันดิบจะยังสูงระดับกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บางจากยังมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ปีนี้ยังเป็นปีที่บางจากฯมีผลการดำเนินงานดีต่อเนื่องจากปีก่อน ”
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า จากการดำเนินทางไปโรดโชว์ที่สหรัฐฯ พบว่ากองทุนต่างชาติยังให้ความสนใจที่จะมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากราคาหุ้นยังต่ำ เพียงแต่ช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะกังวลเกี่ยวกับการเมืองหลังการเลือกตั้งว่าจะวุ่นวายหรือไม่ หากหลังการเลือกตั้งการเมืองนิ่งขึ้น เชื่อว่ากองทุนฯจะหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ กองทุนฯต่างชาติยังให้ความสนใจหุ้นบางจากฯหลังรับฟังแนวทางการดำเนินธุรกิจที่บางจากเน้นพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะเป้าหมายการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้ 500 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิต 118 เมกะวัตต์ หากรัฐบาลประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติมจาก 500เมกะวัตต์เป็น 1500 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯยังรอความชัดเจนจากรัฐบาลเกี่ยวกับราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) พลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีการกำหนดระบบใหม่ที่มาแทนแอดเดอร์ คือ ระบบ Feed In Tariffs โดยเฉพาะในส่วนของการสนับสนุนการลงทุนการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนหลังคาบ้านเรือนและอาคารสถานที่
