ASTVผู้จัดการรายวัน- โซลาร์ ตรอน เล็งจับมือพันธมิตรบุกตลาดอาเซียนประมูลงาน –ลงทุนสร้างโซลาฟาร์ม-ขายระบบ ส่งผลให้ผลประกอบการปี55กระโดด "ผู้บริหาร" เชื่อปีนี้พลิกมีกำไร หลังปรับแผนรับงานเอกชนมากขึ้นบวกต้นทุนการดำเนินงานต่ำ ส่งผลปีนี้ขาดทุนสะสมลดลง คาดใน 1-2ปีล้างขาดทุนสะสมหมด ช่วงนี้เชื่อนักลงทุนได้รับผลตอบแทนส่วนต่างราคาหุ้นแทนปันผล จากกระแสพลังงานทดแทนเติบโตดี ตั้งงบลงทุน 1-2 ปี 1 พันล้านบาท
นางปัทมา วงษ์ถ้วยทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการปี 55 จะเติบโตแบบก้าวกระโดดเนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะไปประมูลงานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศในแถบอาเซียน และจะมีการลงทุนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ โดยบริษัทจะถือหุ้นแต่อาจเป็นส่วนที่น้อย โดยการไปทำงานในต่างประเทศนั้น บริษัทจะมีการไปร่วมกับพันธมิตรของบริษัท คือ บริษัท ซันเทค จำกัด และบริษัท GCL Poly Energy Holding จำกัด (จีซีแอล) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเวเฟอร์ในการผลิตแผง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีต้นทุนในการผลิตแผงที่ต่ำ
ทั้งนี้ SOLAR ได้ตกลงกับพันธมิตรเมื่อประมูลงานได้จะต้องใช้แผงโซลาเซลล์ของ SOLAR จากเดิมที่ใช้ของพันธมิตร ซึ่งจะทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และมีสัดส่วนรายได้จากการขายแผงเพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันที่มี 10% ส่วนอีก 90% เป็นการบริหารจัดการโครงการ ขณะงานในประเทศนั้นบริษัทคาดว่าจะได้รับงานได้มากขึ้น หลังจากที่ได้รับงานก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ให้กับ บมจ. บางจาก หรือ BCP ซึ่งมีกำลังการผลิต 44 เมกกะวัตต์ จะทำให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แต่ยังไม่มีการก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวนมากและมั่นใจว่าจะมีการดำเนินโครงการมากขึ้น และการได้รับงานโครงการบางจากจะเป็นใบเบิกทางให้บริษัทจะได้รับงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
" ปีหน้าเราจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของตนเอง เนื่องจากพันธมิตรของเราต้องการระบายวัตถุดิบคือเวเฟอร์ และบริษัทมีการร่วมกับพันธมิตรไปบิดงานในต่างประเทศ รวมทั้งจำหน่ายแผงโซลาเซลล์และระบบในต่างประเทศ คือ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และปีหน้าจะขายที่อินโดนีเซีย ทำให้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มจากปัจจุบันที่ขายในประเทศถึง 90% "
สำหรับปี 54 คาดว่าจะมีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทหรือเติบโตเพิ่มขึ้นหลาย 100% จากปีก่อนที่บริษัทมีผลขาดทุน 40.51 ล้านบาท เพราะคาดว่าผลงานไตรมาส 2 ปีนี้น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่มีรายได้ 1 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 20.81 ล้านบาท จากการเติบโตของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น และบริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบต่ำ และรับรู้รายได้จากโครงการของบางจาก จะทำให้ปีนี้บริษัทพลิกมีกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุน และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี จะล้างขาดทุนหมด เพราะ บริษัทจะนำกำไรจากการดำเนินงานมาล้างขาดทุนแทนการลดทุน
นางปัทมากล่าวว่าแม้บริษัทจะยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่านักลงทุนน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากส่วนต่างราคาหุ้น เพราะธุรกิจพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์มีการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งจะส่งผลดีกับราคาหุ้นของบริษัท เพราะที่ผ่านมาบริษัทมีผลขาดทุนเนื่องจากบริษัทพึ่งพิงรายได้จากภาครัฐและช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไทย มีปัญหาทางการเมือง ทำให้โครงการภาครัฐชะลอออกไป ดังนั้น ช่วงไตรมาส 4 ปี 53 บริษัทจึงหันมารับงานเอกชนมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานดีขึ้น
ทั้งนี้ SOLAR มีแผนที่จะลงทุนภายใน 5 ปีข้างหน้า จำนวน 1,000 ล้านบาท ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศและประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการลงทุนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ด้วย โดยคาดว่าภายใน 1-2 ปี กำลังการผลิตจะเต็มกำลังแล้ว ส่วนเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากการเพิ่มทุน หรือกู้สถาบันทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งในเรื่องการเพิ่มทุนนั้นบริษัทจะทยอยเพิ่มทุนเพื่อให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
นางปัทมา วงษ์ถ้วยทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการปี 55 จะเติบโตแบบก้าวกระโดดเนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะไปประมูลงานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศในแถบอาเซียน และจะมีการลงทุนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ โดยบริษัทจะถือหุ้นแต่อาจเป็นส่วนที่น้อย โดยการไปทำงานในต่างประเทศนั้น บริษัทจะมีการไปร่วมกับพันธมิตรของบริษัท คือ บริษัท ซันเทค จำกัด และบริษัท GCL Poly Energy Holding จำกัด (จีซีแอล) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเวเฟอร์ในการผลิตแผง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีต้นทุนในการผลิตแผงที่ต่ำ
ทั้งนี้ SOLAR ได้ตกลงกับพันธมิตรเมื่อประมูลงานได้จะต้องใช้แผงโซลาเซลล์ของ SOLAR จากเดิมที่ใช้ของพันธมิตร ซึ่งจะทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และมีสัดส่วนรายได้จากการขายแผงเพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันที่มี 10% ส่วนอีก 90% เป็นการบริหารจัดการโครงการ ขณะงานในประเทศนั้นบริษัทคาดว่าจะได้รับงานได้มากขึ้น หลังจากที่ได้รับงานก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ให้กับ บมจ. บางจาก หรือ BCP ซึ่งมีกำลังการผลิต 44 เมกกะวัตต์ จะทำให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แต่ยังไม่มีการก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวนมากและมั่นใจว่าจะมีการดำเนินโครงการมากขึ้น และการได้รับงานโครงการบางจากจะเป็นใบเบิกทางให้บริษัทจะได้รับงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
" ปีหน้าเราจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของตนเอง เนื่องจากพันธมิตรของเราต้องการระบายวัตถุดิบคือเวเฟอร์ และบริษัทมีการร่วมกับพันธมิตรไปบิดงานในต่างประเทศ รวมทั้งจำหน่ายแผงโซลาเซลล์และระบบในต่างประเทศ คือ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และปีหน้าจะขายที่อินโดนีเซีย ทำให้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มจากปัจจุบันที่ขายในประเทศถึง 90% "
สำหรับปี 54 คาดว่าจะมีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทหรือเติบโตเพิ่มขึ้นหลาย 100% จากปีก่อนที่บริษัทมีผลขาดทุน 40.51 ล้านบาท เพราะคาดว่าผลงานไตรมาส 2 ปีนี้น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่มีรายได้ 1 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 20.81 ล้านบาท จากการเติบโตของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น และบริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบต่ำ และรับรู้รายได้จากโครงการของบางจาก จะทำให้ปีนี้บริษัทพลิกมีกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุน และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี จะล้างขาดทุนหมด เพราะ บริษัทจะนำกำไรจากการดำเนินงานมาล้างขาดทุนแทนการลดทุน
นางปัทมากล่าวว่าแม้บริษัทจะยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่านักลงทุนน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากส่วนต่างราคาหุ้น เพราะธุรกิจพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์มีการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งจะส่งผลดีกับราคาหุ้นของบริษัท เพราะที่ผ่านมาบริษัทมีผลขาดทุนเนื่องจากบริษัทพึ่งพิงรายได้จากภาครัฐและช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไทย มีปัญหาทางการเมือง ทำให้โครงการภาครัฐชะลอออกไป ดังนั้น ช่วงไตรมาส 4 ปี 53 บริษัทจึงหันมารับงานเอกชนมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานดีขึ้น
ทั้งนี้ SOLAR มีแผนที่จะลงทุนภายใน 5 ปีข้างหน้า จำนวน 1,000 ล้านบาท ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศและประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการลงทุนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ด้วย โดยคาดว่าภายใน 1-2 ปี กำลังการผลิตจะเต็มกำลังแล้ว ส่วนเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากการเพิ่มทุน หรือกู้สถาบันทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งในเรื่องการเพิ่มทุนนั้นบริษัทจะทยอยเพิ่มทุนเพื่อให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
