xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ในที่สุด “กกต.” ก็กลายเป็น “กกน.” โดยสมบูรณ์แบบ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ “กกต.” ก็ได้กลายเป็น “กกน.”(คณะกรรมการไร้น้ำยา) โดยสมบูรณ์แบบ หลังจากมีมติด้วยเสียงข้างมากเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ให้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็น ส.ส. เดินเข้าสภาอย่างสง่าผ่าเผย สมเกียรติ และสมศักดิ์ศรีแกนนำคนเสื้อแดง ที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง และคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ !

เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่านอกจากคนเสื้อแดงที่ถูกล้างสมองแล้ว คนไทยหลายล้านคนทั่วประเทศคงรู้สึกกระอักกระอ่วนมวนในช่องท้อง “อยากอ้วก” ให้กับผลงานอัน “ห่วยแตก” ของ กกน. ชุดนี้เต็มทน!

ทั้งนี้ ถ้าหากใครติดตามการทำงานของ กกต. ทั้ง 5 คนที่ควบคุมดูแลและจัดการเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะเห็นถึงความ “ไร้มาตรฐาน” ที่ชัดเจนยิ่ง โดยเฉพาะการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่คนไทยทั้งประเทศมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่มีการทุจริตซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันอย่างมโหฬารมหาศาลที่สุดตั้งแต่มีการเลือกตั้งครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476

เพราะในช่วงการหาเสียงเต็มไปด้วยการข่มขู่คุกคามจากฝ่ายตรงข้าม มีเรื่องร้องเรียนการทุจริต และทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย แต่ กกต. กลับมองไม่เห็น หรือทำเป็นนิ่งเฉย ไม่มีการปราม ไม่มีการชูใบเหลือง และไม่มีการแจก ใบแดงก่อนการลงคะแนนเลือกตั้ง แม้แต่ใบเดียว!

เพิ่งจะมีก็ในตอนหลังเลือกตั้ง แต่ที่ทำไปก็เพราะต้องการ “แอ็กชั่น” สร้างภาพให้คนมองว่า 5 กกต. ไม่ใช่ตรายาง ไม่ใช่เสือกระดาษ แล้วก็จัดการเลือกตั้งใหม่ ที่หนองคาย เขต 2 และสุโขทัย เขต 3 และสุดท้ายก็รับรองด้วยมติเอกฉันท์ เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม ความห่วยแตกและไร้ประสิทธิภาพของ กกต. ชุดนี้มีมากมายเหลือเกิน และมันออกจะมากมายเกินไปด้วยซ้ำ จนเอามาสาธยายในที่นี้คงไม่หมด แถมยังเหลือจดจำเอาไว้เล่าขานกันจนชั่วลูกชั่วหลาน เอาเฉพาะที่เห็นผ่านตากันชัดเจนและตราตรึงอยู่ในจิตใจของประชาชนทั้งประเทศก็คือ การตัดสิทธิ์การเลือกตั้งของผู้ที่ขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกเขตเมื่อปี 2550 และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการแจ้งเตือนหรือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบ ทำให้ประชาชน 2 ล้านคนไม่สามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ดังกล่าวถือเป็นจำนวนและเป็นคะแนนที่มี “นัยสำคัญ” ต่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง!

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้งหลายคนที่มีปัญหาในเรื่อง “คุณสมบัติ” แต่ กกต. ไม่ยอมสกรีน แต่กลับปล่อยปละละเลยให้ผ่านไปได้ จนกระทั่งมีปัญหาในภายหลัง ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ ที่ต่อมาได้รับการเลือกตั้ง แต่ปรากฎว่าในช่วงที่ยื่นจดทะเบียนพรรคการเมืองเป็นบุคคลล้มละลาย รวมไปถึงกรณีของบรรดา “แกนนำคนเสื้อแดง” ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้าย มีคดีติดตัวมากมาย มีหมายขังโดยคำสั่งของศาล มีปัญหาในเรื่องของสมาชิกภาพ คนเหล่านี้ก็ยังได้รับประทับตรา “ให้ผ่าน” ไปแบบสบายๆ

พฤติกรรมอีกอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นเพียงกลุ่มก้อนเนื้อมีชีวิต แต่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพ และไม่มีคุณสมบัติของความเป็น กกต. นั่นก็คือ การพิจารณารับรอง ส.ส. หลังการเลือกตั้งให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน โดยเฉพาะการรับรองจำนวน ส.ส. ต้องให้ได้ครบจำนวน 95 เปอร์เซ็นต์ แต่เอาเข้าจริงกลับนำมาเป็นสาเหตุในการ “ปล่อยผี” ส.ส.ที่มีชนักติดหลัง รวมไปถึง ส.ส. ที่มีปัญหาในเรื่องการทุจริต ซื้อเสียงเข้าสภา โดยอ้างว่ามีหลักฐานมากมายจนพิจารณาไม่ทัน เหมือนกับว่าต้องปล่อยไปก่อน แล้วค่อย “ตามสอย” ทีหลัง ทำไมถึงทำอย่างนั้น!

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการ “แขวน” ว่าที่ ส.ส. นับร้อยคน ทำให้หลายคนลุ้นกันระทึกว่าจะมีจำนวน ส.ส. ไม่ครบ 475 คน ไม่พอเปิดสภาตามกำหนด แต่ในที่สุดมันก็เป็นเพียงแค่ “ปาหี่” ที่หลอกต้มประชาชนทั้งประเทศเท่านั้น เพราะในที่สุด กกต. ก็ “ปล่อยผี” เข้าสภา 500 ไปจนหมดเกลี้ยง!

อย่างกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็เป็นผลงานชิ้นล่าสุด ที่ กกต. บรรจงปลดปล่อยออกมา ทั้งที่แกนนำเสื้อแดงรายนี้มีปัญหาในเรื่องคุณสมบัติ ไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องคดีความ ไม่ว่าจะเป็นคดีก่อการร้าย คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และอีกสารพัด แต่สุดท้ายก็ให้การรับรองผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง เป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ไปในที่สุด

นอกจากนี้ ทั้งกรณีของนายจตุพร รวมไปถึง ส.ส. คนอื่นๆ อีกหลายคนที่ได้รับการรับรองเป็น ส.ส. ไปแล้วนั้น แม้ว่าในขั้นตอนต่อไป จะยังต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ต่างกรรมต่างวาระกันไป โดยเฉพาะกรณีของนายจตุพร จะต้องส่งเรื่องให้ประธานรัฐสภาให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในเรื่องคุณสมบัติ หากมีความผิดก็จะตามสอยทีหลังภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี แต่คำถามก็คือ ในฐานะที่เป็นคณะกรรมการเลือกตั้ง เป็นองค์กรอิสระที่ดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่กลับไม่กล้าชี้ขาด กลับส่งต่อไปให้ศาลชี้ขาด พฤติกรรมอย่างนี้มันจึงไม่ต่างจากการ “ปัดสวะ” ปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัวเองอย่างน่าตำหนิที่สุด!

อย่างไรก็ตาม ได้เห็นการทำหน้าที่ของ กกต. ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายแล้วก็เหนื่อยหน่ายใจ กกต.บางรายเอาแต่พูดเรื่อยเปื่อยเลื่อนเปื้อน ไร้สาระไปวันๆ เหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาที่มีอาการวิตกจริต โดยไม่รู้ตัวว่าความคิดและคำพูดคำจาของตัวเองนั้นได้สร้างความสับสน ทำให้ผู้คนวิตกวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ช่างเป็นอะไรที่ผกผันตรงกันข้ามกับผลงานการทำหน้าที่ กกต. ของตัวเองที่ออกมาเหลือเกิน

อย่างในรายของ กกต. ที่มีชื่อว่า นางสดศรี สัตยธรรม ที่บอกว่าเธอถูกขู่ฆ่าหากไม่รับรอง นายจตุพร พรหมพันธุ์ พูดแบบนี้ทำให้เข้าใจว่าเป็นฝีมือพวก “เสื้อแดง” โทรมาขู่ แต่เธอบอกว่าไม่กลัว และไปแจ้งตำรวจไว้แล้ว ต่อมาก็มาพูดให้เข้าใจใหม่ว่า เป็นฝีมือของนักข่าวทีวีดาวเทียมช่องหนึ่ง เนื่องจากมีการใช้คำถามถามนำจนผิดปกติ ตกลงไม่รู้ความจริงมันคืออะไรกันแน่ ระหว่างคนข่มขู่กับคนที่ถูกข่มขู่ และที่สำคัญไอ้คนร้ายนี้มันก็ดัน “ขู่ถูกคน” เสียด้วยสิ!

“ต่อให้มีการขู่ฆ่า จะเอาพวกเราไปฆ่าไปแกงอย่างไรเราก็ไม่กลัว เกิดมาจนอายุ 60 กว่ากันแล้ว ใกล้จะตายกันอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าถ้าฆ่า กกต. ตายหมดทั้ง 5 คนจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นในวันหรือสองวันนี้ คนเสื้อแดงต้องคิดให้ดีว่าต้องการเผด็จการกลับเข้ามาหรือไม่ หรือต้องการประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง บ้านเมืองกำลังไปได้ด้วยดี เรายินดีที่จะเห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นำรัฐบาล แต่ถ้าทำอะไรขึ้นมา รับรองว่ารัฐบาลปู 1 ไม่เกิดแน่” นี่แหละคือคำพูดของคนที่มีหน้าที่เป็นถึง กกต.

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สังคมไทยในตอนนี้กำลังตกอยู่ในภาวะของการ “ไร้บรรทัดฐาน” ทางสังคมอย่างรุนแรง ทั้งจากการใช้กฎหมู่และการข่มขู่คุกคามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและแพร่หลาย และทั้งจากการทำหน้าที่ขององค์กรทางสังคมเองก็ขาดหลักการและไม่คำนึงถึงพันธกิจของตนเอง สิ่งที่ผลักดันการกระทำของบุคคลในองค์กรต่างๆ อยู่บนพื้นฐานของความขลาดเขลา และมายาภาพของความเป็นกลาง

อย่างท่าทีของ กกต. เองก็ทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่า กกต. ทราบหรือไม่ว่า พันธกิจหลักของตนเองคืออะไร เพราะมี กกต. บางคน ได้ออกมากล่าวในที่สาธารณะว่า “จะให้การรับรอง ส.ส. ไปก่อน แล้วจะสอยทีหลัง” เพื่อให้ได้ ส.ส. ครบร้อยละ 95 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดในสภา ซึ่งจะทำให้เปิดประชุมสภาได้

ประโยคที่ว่า “รับรองก่อนแล้วจะสอยทีหลัง” หากกล่าวมาจากปากของนักการเมืองย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพวกเขาต้องการให้ตนเองได้รับประโยชน์และจะได้มีอำนาจโดยเร็วพลัน แต่หากประโยคนี้ออกมาจากปากของ กกต. ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน ซึ่ง กกต. อาจอ้างว่า ต้องรับรองการเป็นสมาชิกภาพของ ส.ส. ให้ครบตามกำหนดภายในสามสิบวันหลังเลือกตั้ง เพื่อให้รัฐสภาสามารถประชุมได้ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 127

แต่การใช้เหตุผลดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขกำหนดการรับรองสมาชิกภาพของ ส.ส. เป็นการใช้เหตุผลที่ไม่สอดคล้องกับพันธกิจของ กกต. ใช่หรือไม่ เพราะพันธกิจหลักของ กกต. คือ การจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ปลอดจากการทุจริต หากมีผู้สมัคร ส.ส. หรือว่าที่ ส.ส. ผู้ใดมีหลักฐานที่ควรเชื่อได้ว่าได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งมาโดยใช้วิธีการที่ทุจริต ฉ้อฉล ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตย กกต. ก็ไม่ควรรับรองผู้สมัครเหล่านั้นให้เป็น ส.ส. ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม

อย่างที่ ผศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “เหตุผลหลักที่ กกต.ควรใช้เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยว่า จะรับรองผู้สมัคร ส.ส. คนใดเป็น ส.ส. หรือ ไม่ ก็คือการที่พวกเขามีคุณสมบัติถูกต้องและได้รับชัยชนะมาอย่างสุจริต เที่ยงธรรม ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หาใช่รับรองเพราะต้องการให้ได้จำนวนครบเพื่อเปิดประชุมสภาได้แต่อย่างใด”

ดังนั้น การเปิดประชุมสภาได้หรือไม่ หาได้เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบหลักของ กกต. แต่เป็นเรื่องของพรรคและนักการเมือง หากพวกเขาได้รับชัยชนะการเลือกตั้งมาโดยการทุจริต พวกเขาก็ย่อมไม่มีสิทธิจะได้เป็น ส.ส. และไม่มีสิทธิในการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาทำเองและต้องรับผิดชอบเอง

หน้าที่ของ กกต. คือ การเอาคนดีเข้าสภา เพื่อให้ได้คนมาบริหารประเทศ แต่ถ้าหากว่าผู้สมัคร ส.ส. ส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี และมีหลักฐานที่ควรเชื่อได้ว่าคนเหล่านั้นไม่ดีจริง กกต. ก็ต้องใช้อำนาจอย่างกล้าหาญตามหลักกฎหมาย ในการที่จะไม่รับรองสมาชิกภาพของการเป็น ส.ส. ของบุคคลเหล่านั้น

แต่จากการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. เท่าที่ผ่านมา กลับเป็นไปในลักษณะหวั่นไหวกับเสียงข่มขู่ของอันธพาลเสื้อแดง และคล้อยตามความต้องการของนักการเมือง โดยนำเอาเรื่องที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของตนเองมาครอบงำพันธกิจหลักของ กกต. จนทำให้ กกต. กลายเป็นองค์กรที่ไร้บรรทัดฐาน ไม่รู้จักจำแนกแยกแยะว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ อะไรคือสิ่งที่ไม่สำคัญ อะไรคือสิ่งผิด อะไรคือสิ่งถูก

คำถามก็คือ กกต. ที่เห็นและเป็นอยู่ในเวลานี้ เป็นองค์กรที่มีความชอบธรรมในการดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่ เพราะ “กกต.” ที่ไม่อาจปฏิบัติพันธกิจที่สังคมคาดหวังและมอบหมายให้ทำได้ มันจะต่างอะไรกับ “กกน.” !
กำลังโหลดความคิดเห็น